อินดี้ ที่อินโด.......โบรโม่ คนเดียวเที่ยวโคตรมัน ตอนที่ 3 ตายไม่เสียชาติเกิด
สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านครับ ชื่อตอนนี้อาจจะดูโหดไปสักหน่อย แต่เชื่อผมเถอะครับว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาครับ
02.45 น. นาฬิกาปลุกดังขึ้น ดังพอจะปลุกได้ทั้งโรงแรมแน่นอน เป็นการนอนที่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเพราะอากาศหนาวมาก แถมจิตใจก็ไม่ได้อยู่บนที่นอนเลย ตื่นทั้งคืน หลังจากตื่นนอนก็ล้างหน้าแปรงฟัน ความจริงไม่อยากจะโดนน้ำเลย แต่เพื่อความสดชื่น(ขีดสุด) หลังจากนั้นก็ตรวจเช็คอุปกรณ์ที่อุตส่าแบกมาอย่างหนักคือ กล้อง และขาตั้ง สำหรับกล้องที่ผมใช้ก็แสนจะธรรมดามากครับ ซื้อมานาน อยู่กันมานานหลายปีเลยทีเดียวถ้าพูดถึงรุ่นนี้ก็ตกรุ่นไปนานแล้วครับ ที่ผมใช้อยู่ก็คือ Cannon 550D ซึ่งถ้าดูสเปคเครื่อง ก็ล้าหลังไปมากแล้ว แต่ทำไงได้เรามันจน 55555 ถึงมีตังค์ก็ไม่ซื้อเครื่องใหม่ครับ ในความรู้สึกของผมเนี่ยคือ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมานาน บันทึกภาพความทรงจำดีๆมากมายมาหลายปีแล้ว(โรแมนติกจริงๆ5555)ก็ลุยกันต่อไป แต่ก็มีของดีติดมาด้วยคือ เลนส์ Canon EF 24-105mm f/4L ถึงแม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไร แต่ผู้รู้หลายคนบอกว่าเพียงพอแน่นอนสำหรับมือสมัครเล่น ซึ่งผมได้จัดหามาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ต้องขอกราบ 8 ครั้ง พี่เสนาะ ช่างภาพรุ่นใหญ่(พุงใหญ่) แซวเล่นนะครับ พี่เสนาะนี่รุ่นใหญ่จริงๆ ทำงานในวงการถ่ายภาพและวีดีโอมายาวนาน ที่จัดหามาให้ในราคาโคตรถูก กราบงามๆๆๆ และยังเป็นผู้ที่แนะนำการถ่ายภาพให้ผมอีกด้วย แต่ฝีมือลุกศิษย์แลจะไม่เข้าขั้น เวิ้นเว้อซะยาวเลย ต่อๆครับ
นอกจากกล้องแล้วก็มีไฟคาดหัวเหมือนไฟส่องกบอะครับ แต่เบา ใช้ง่ายกว่ามาก ได้รับการจัดหาจากพี่ไข่ ฝ่ายเทคนิคของโหมโรงเดอะมิวสิคคัล ในราคา 120 บาท ถูกจัดเลย แต่ก็ยังเอาไฟฉายที่เตรียมมาไปด้วยเผื่อฉุกเฉิน และที่สำคัญคือน้ำดื่ม 1 ขวดใส่เป้ไปด้วย หลังจากเตรียมของเรียบร้อยก็เริ่มออกเดินจากที่พักคือโรงแรมคาเมร่าอินดา มุ่งหน้าสู่จุดชมวิว ที่ต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ตอนที่ออกจากที่พักนั้นเงียบมาก หนาวมาก ประมาณ 11 องศา เดินออกมาเรื่อยๆตอนแรกก็ไม่เหนื่อย แหม่สบายจริงๆทางเดินสบายไม่ชันอย่างที่คิด ไม่ทันเกิน 1 นาที ทางเดินเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเหนื่อย จากอากาศที่หนาวจัดตอนนี้สบายละเริ่มอุ่น หลังจากเดินไปประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ก็เริ่มได้ยินเสียงรถยนต์และรถมอเตอร์ไซใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกไม่นานนักขบวนรถจิ๊บสีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน ก็ผ่านไปนับ 10 คัน นั่นคือไกค์ที่พานักท่องเที่ยวมานั่นเอง ผมก็เริ่มหนักใจเพราะไม่รู้อีกไกลแค่ไหนถึงจะใกล้บอกที(เพลงก็มา) และห่วงว่าจะไม่ได้ที่ถ่ายรูปสวยๆ จากนั้นก็สวมวิญญาณนักวิ่งเก่าจ้ำอ้าวเลยครับ แต่ด้วยความชันและลักษณะถนนนั้นเป็นอุปสรรคอย่างมาก และร่างกายก็ไม่ได้ดีเหมือนสมัยหนุ่มๆ เต็มที่คือเดินเร็วๆเท่านั้นเอง พอเดินมาได้สักระยะ ก็เห็นรถจิ๊บจอดเต็มไปหมดข้างทาง ตอนแรกคิดว่าน่าจะถึงจุดชมวิวแล้วแต่ไม่ใช่ คือรถไม่สามารถขึ้นไปต่อได้ทุกคนต้องเดินต่อเอง ผมก็ไม่รอช้าครับรีบเดินแซงเลยอยากได้จุดที่ถ่ายภาพสวยๆ ข้างทางนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าเล็กๆขายพวก กาแฟ โอวัลติน ของกินเต็มไปหมด มีตลอดเลย สังเกตเห็นนักท่องเที่ยวเยอะแยะนั่งกินบ้าง นั่งคุยบ้างตลอดทาง ไม่กินไรทั้งนั้นกรูรีบ
เดินมาสักพักก็เจอกับน้อง 2 คนข้างห้องอยู่ข้างหน้า เดินในความมืดก็เลยทักทายกันไป ดูจากสภาพแล้วแลจะเหนื่อยก็เลยแบ่งน้ำที่เตรียมมาให้กิน ตามประสาคนไทยด้วยกัน และยังได้ใช้ประโยชน์ไฟฉายที่เตรียมมาอีก1กระบอก เพราะทางขึ้นนั้นมืดมาก ชันและยังลื่นด้วย ไม่นานนักก็มาถึงจุดชมวิวสะที บอกเลยขากับข้อเท้าล้ามาก แต่พอมาถึงก็พบว่ามีผู้คนมาจับจองที่สำหรับถ่ายรูปกันเต็มไปหมดแล้ว ผมนึกขึ้นได้ว่าในรีวิวมีคนเคยเขียนว่าถ้าอยากได้มุมสวยๆให้ปีนเขาขึ้นไปอีกจะเจอสถานที่ในการถ่ายรูปสวยๆแต่ทางขึ้นชันนิดนึงเพราะเป็นภูเขาหิน เอาว่ะนึกในใจ รอล่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วมันต้องไปให้สุด ก็เลยแบกกล้องพร้อมขาตั้งปีนเขาต่อไปอีกหน่อย และแล้วที่อ่านมาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โอ้โห.....ใครจะรู้ว่ามีที่ที่สามารถตั้งกล้องและปักหลักถ่ายภาพสวยๆอยู่บนนี้ ผมไม่รอช้าครับ กางขาตั้งกล้องติดกล้องรอเวลาเลย
มองดูนาฬิกาเวลาประมาณ 04.20 น. ท้องฟ้ายังมืด แต่แสงดาวบนนั้นส่องแสงสกาววาววับสวยงามมาก ท้องฟ้าโปร่งมาก วันนี้คือวันที่ดีมากจริงๆ บรรยากาศก็เป็นใจเย็นสบายไม่มีเมฆมาบดบังท้องฟ้าเลยสักนิดเดียว ในความรู้สึกตอนนั้น แค่ได้นั่งดูดาวผมก็ว่าคุ้มค่ากับการเดินทางข้ามน้ำ ข้ามเขามาแล้วครับ หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศได้สักพัก ผมก้เริ่มเช็ตกล้องรอเวลา แต่ด้วยความไม่ชำนาญในการถ่ายภาพเวลากลางคืน ภาพที่ได้ก็จะห่วยๆหน่อย 55555 พออีกสักแปบน้อง 2 คนก็ตามขึ้นมาสมทบ ไม่น่าเชื่อว่าการแต่งตัวสไตล์นั้นจะขึ้นมาได้ 5555 (แอบแซวน้องหยงนิดนึง) เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ ในขระเดียวกันพื้นด้านล่างใกล้ภูเขาไฟโบรโม่ ก็มีขบวนรถจิ๊บวิ่งผ่านเพื่อจะไปจุดชมวิวอีกที่หนึ่ง รถจิ๊บ วิ่งต่อกันเป็นขบวน แสงไฟหน้ารถตัดกับสายหมอกหนาทึบด้านล่างสวยงามมาก ไม่นานนักเวลาที่รอคอยก็มาถึง แสงอาทิตย์สีทองแตะขอบฟ้าอีกด้านหนึ่งให้มองเห็นเป็นเส้นราวกับผ้าม่าน ค่อยๆเคลื่อนออกจากสายหมอกและยอดเขาขึ้นมา โอ้พระเจ้า นี่มันสวรรค์ชัดๆ ภาพที่เห็นในดวงตามันสวยมาก สวยจนไม่สามารถจะบรรยายได้หมด กล้องที่เตรียมไปได้แค่บันทึกเอาเศษเสี้ยวของบรรยากาศทั้งหมดมาเท่านั้น และเวลาที่สวยที่สุดก็มาถึง แสงอาทิตย์แตะกับภูเขาไฟโบรโม่ ส่องสายหมอกหนาทึบบนพื้นดิน เป็นเกลียวคลื่นสีขาวราวคลื่นทะเลสวยจับใจ แสงแรกนั้นทำให้ผมน้ำตาซึมเลยทีเดียว ไม่รู้เพราะอะไร ไม่รู้เพราะความสวยของโบรโม่ หรือ เพราะบรรยากาศทั้งหมดพาไป หลังจากรอเวลามา 1 ปี ที่ตั้งใจจะมาตั้งแต่ปีที่แล้ว วันนี้เรามาแล้ว ถึงแม้จะมาพร้อมกับเรื่องราวในใจที่อัดเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เมื่อถึงเวลานี้ก็ได้เวลาปล่อยทุกอย่างไว้ตรงนั้นสะที ปล่อยพื้นที่ในใจให้เต็มไปด้วยความสุขจากตรงนี้ ในใจคิดว่า ตายไม่เสียชาติเกิดคนเดียวกรูก็มาได้ และนั้นก็เป็นความรู้สึกทั้งหมดนะจุดชมวิวตรงนั้น.................
สักครั้งในชีวิต ความฝันของนักท่องเที่ยวเกือบทุกคน ที่อยากสัมผัสความงามของโบรโม่ แต่สำหรับผม โบรโม่ ไม่ได้งามเพราะเสียงอาทิต ไม่ได้งามเพราะหมอกสีขาวบนพื้นดิน แต่มันงามเพราะความมุ่งมั่นที่จะมา งามเพราะอุปสรรคในการเดินทาง งามเพราะระยะทางในการเดิน งามเพราะมิตรภาพจากคนรอบข้าง และมันงามที่สุด ที่ปลดเปลื้องความทุกข์จากใจเราไป...................... โปรดติดตามตอนต่อไป กับภารกิจพิชิตยอดโบรโม่ มันกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สายเดิน เพลินจนกลับเกือบไม่ได้ 55555
โบรโม่ อินดี้ ที่อินโด.......โบรโม่ คนเดียวเที่ยวโคตรมัน ตอนที่ 3 ตายไม่เสียชาติเกิด
อินดี้ ที่อินโด.......โบรโม่ คนเดียวเที่ยวโคตรมัน ตอนที่ 3 ตายไม่เสียชาติเกิด
สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านครับ ชื่อตอนนี้อาจจะดูโหดไปสักหน่อย แต่เชื่อผมเถอะครับว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาครับ
02.45 น. นาฬิกาปลุกดังขึ้น ดังพอจะปลุกได้ทั้งโรงแรมแน่นอน เป็นการนอนที่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเพราะอากาศหนาวมาก แถมจิตใจก็ไม่ได้อยู่บนที่นอนเลย ตื่นทั้งคืน หลังจากตื่นนอนก็ล้างหน้าแปรงฟัน ความจริงไม่อยากจะโดนน้ำเลย แต่เพื่อความสดชื่น(ขีดสุด) หลังจากนั้นก็ตรวจเช็คอุปกรณ์ที่อุตส่าแบกมาอย่างหนักคือ กล้อง และขาตั้ง สำหรับกล้องที่ผมใช้ก็แสนจะธรรมดามากครับ ซื้อมานาน อยู่กันมานานหลายปีเลยทีเดียวถ้าพูดถึงรุ่นนี้ก็ตกรุ่นไปนานแล้วครับ ที่ผมใช้อยู่ก็คือ Cannon 550D ซึ่งถ้าดูสเปคเครื่อง ก็ล้าหลังไปมากแล้ว แต่ทำไงได้เรามันจน 55555 ถึงมีตังค์ก็ไม่ซื้อเครื่องใหม่ครับ ในความรู้สึกของผมเนี่ยคือ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมานาน บันทึกภาพความทรงจำดีๆมากมายมาหลายปีแล้ว(โรแมนติกจริงๆ5555)ก็ลุยกันต่อไป แต่ก็มีของดีติดมาด้วยคือ เลนส์ Canon EF 24-105mm f/4L ถึงแม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไร แต่ผู้รู้หลายคนบอกว่าเพียงพอแน่นอนสำหรับมือสมัครเล่น ซึ่งผมได้จัดหามาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ต้องขอกราบ 8 ครั้ง พี่เสนาะ ช่างภาพรุ่นใหญ่(พุงใหญ่) แซวเล่นนะครับ พี่เสนาะนี่รุ่นใหญ่จริงๆ ทำงานในวงการถ่ายภาพและวีดีโอมายาวนาน ที่จัดหามาให้ในราคาโคตรถูก กราบงามๆๆๆ และยังเป็นผู้ที่แนะนำการถ่ายภาพให้ผมอีกด้วย แต่ฝีมือลุกศิษย์แลจะไม่เข้าขั้น เวิ้นเว้อซะยาวเลย ต่อๆครับ
นอกจากกล้องแล้วก็มีไฟคาดหัวเหมือนไฟส่องกบอะครับ แต่เบา ใช้ง่ายกว่ามาก ได้รับการจัดหาจากพี่ไข่ ฝ่ายเทคนิคของโหมโรงเดอะมิวสิคคัล ในราคา 120 บาท ถูกจัดเลย แต่ก็ยังเอาไฟฉายที่เตรียมมาไปด้วยเผื่อฉุกเฉิน และที่สำคัญคือน้ำดื่ม 1 ขวดใส่เป้ไปด้วย หลังจากเตรียมของเรียบร้อยก็เริ่มออกเดินจากที่พักคือโรงแรมคาเมร่าอินดา มุ่งหน้าสู่จุดชมวิว ที่ต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ตอนที่ออกจากที่พักนั้นเงียบมาก หนาวมาก ประมาณ 11 องศา เดินออกมาเรื่อยๆตอนแรกก็ไม่เหนื่อย แหม่สบายจริงๆทางเดินสบายไม่ชันอย่างที่คิด ไม่ทันเกิน 1 นาที ทางเดินเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเหนื่อย จากอากาศที่หนาวจัดตอนนี้สบายละเริ่มอุ่น หลังจากเดินไปประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ก็เริ่มได้ยินเสียงรถยนต์และรถมอเตอร์ไซใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกไม่นานนักขบวนรถจิ๊บสีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน ก็ผ่านไปนับ 10 คัน นั่นคือไกค์ที่พานักท่องเที่ยวมานั่นเอง ผมก็เริ่มหนักใจเพราะไม่รู้อีกไกลแค่ไหนถึงจะใกล้บอกที(เพลงก็มา) และห่วงว่าจะไม่ได้ที่ถ่ายรูปสวยๆ จากนั้นก็สวมวิญญาณนักวิ่งเก่าจ้ำอ้าวเลยครับ แต่ด้วยความชันและลักษณะถนนนั้นเป็นอุปสรรคอย่างมาก และร่างกายก็ไม่ได้ดีเหมือนสมัยหนุ่มๆ เต็มที่คือเดินเร็วๆเท่านั้นเอง พอเดินมาได้สักระยะ ก็เห็นรถจิ๊บจอดเต็มไปหมดข้างทาง ตอนแรกคิดว่าน่าจะถึงจุดชมวิวแล้วแต่ไม่ใช่ คือรถไม่สามารถขึ้นไปต่อได้ทุกคนต้องเดินต่อเอง ผมก็ไม่รอช้าครับรีบเดินแซงเลยอยากได้จุดที่ถ่ายภาพสวยๆ ข้างทางนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าเล็กๆขายพวก กาแฟ โอวัลติน ของกินเต็มไปหมด มีตลอดเลย สังเกตเห็นนักท่องเที่ยวเยอะแยะนั่งกินบ้าง นั่งคุยบ้างตลอดทาง ไม่กินไรทั้งนั้นกรูรีบ
เดินมาสักพักก็เจอกับน้อง 2 คนข้างห้องอยู่ข้างหน้า เดินในความมืดก็เลยทักทายกันไป ดูจากสภาพแล้วแลจะเหนื่อยก็เลยแบ่งน้ำที่เตรียมมาให้กิน ตามประสาคนไทยด้วยกัน และยังได้ใช้ประโยชน์ไฟฉายที่เตรียมมาอีก1กระบอก เพราะทางขึ้นนั้นมืดมาก ชันและยังลื่นด้วย ไม่นานนักก็มาถึงจุดชมวิวสะที บอกเลยขากับข้อเท้าล้ามาก แต่พอมาถึงก็พบว่ามีผู้คนมาจับจองที่สำหรับถ่ายรูปกันเต็มไปหมดแล้ว ผมนึกขึ้นได้ว่าในรีวิวมีคนเคยเขียนว่าถ้าอยากได้มุมสวยๆให้ปีนเขาขึ้นไปอีกจะเจอสถานที่ในการถ่ายรูปสวยๆแต่ทางขึ้นชันนิดนึงเพราะเป็นภูเขาหิน เอาว่ะนึกในใจ รอล่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วมันต้องไปให้สุด ก็เลยแบกกล้องพร้อมขาตั้งปีนเขาต่อไปอีกหน่อย และแล้วที่อ่านมาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โอ้โห.....ใครจะรู้ว่ามีที่ที่สามารถตั้งกล้องและปักหลักถ่ายภาพสวยๆอยู่บนนี้ ผมไม่รอช้าครับ กางขาตั้งกล้องติดกล้องรอเวลาเลย
มองดูนาฬิกาเวลาประมาณ 04.20 น. ท้องฟ้ายังมืด แต่แสงดาวบนนั้นส่องแสงสกาววาววับสวยงามมาก ท้องฟ้าโปร่งมาก วันนี้คือวันที่ดีมากจริงๆ บรรยากาศก็เป็นใจเย็นสบายไม่มีเมฆมาบดบังท้องฟ้าเลยสักนิดเดียว ในความรู้สึกตอนนั้น แค่ได้นั่งดูดาวผมก็ว่าคุ้มค่ากับการเดินทางข้ามน้ำ ข้ามเขามาแล้วครับ หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศได้สักพัก ผมก้เริ่มเช็ตกล้องรอเวลา แต่ด้วยความไม่ชำนาญในการถ่ายภาพเวลากลางคืน ภาพที่ได้ก็จะห่วยๆหน่อย 55555 พออีกสักแปบน้อง 2 คนก็ตามขึ้นมาสมทบ ไม่น่าเชื่อว่าการแต่งตัวสไตล์นั้นจะขึ้นมาได้ 5555 (แอบแซวน้องหยงนิดนึง) เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ ในขระเดียวกันพื้นด้านล่างใกล้ภูเขาไฟโบรโม่ ก็มีขบวนรถจิ๊บวิ่งผ่านเพื่อจะไปจุดชมวิวอีกที่หนึ่ง รถจิ๊บ วิ่งต่อกันเป็นขบวน แสงไฟหน้ารถตัดกับสายหมอกหนาทึบด้านล่างสวยงามมาก ไม่นานนักเวลาที่รอคอยก็มาถึง แสงอาทิตย์สีทองแตะขอบฟ้าอีกด้านหนึ่งให้มองเห็นเป็นเส้นราวกับผ้าม่าน ค่อยๆเคลื่อนออกจากสายหมอกและยอดเขาขึ้นมา โอ้พระเจ้า นี่มันสวรรค์ชัดๆ ภาพที่เห็นในดวงตามันสวยมาก สวยจนไม่สามารถจะบรรยายได้หมด กล้องที่เตรียมไปได้แค่บันทึกเอาเศษเสี้ยวของบรรยากาศทั้งหมดมาเท่านั้น และเวลาที่สวยที่สุดก็มาถึง แสงอาทิตย์แตะกับภูเขาไฟโบรโม่ ส่องสายหมอกหนาทึบบนพื้นดิน เป็นเกลียวคลื่นสีขาวราวคลื่นทะเลสวยจับใจ แสงแรกนั้นทำให้ผมน้ำตาซึมเลยทีเดียว ไม่รู้เพราะอะไร ไม่รู้เพราะความสวยของโบรโม่ หรือ เพราะบรรยากาศทั้งหมดพาไป หลังจากรอเวลามา 1 ปี ที่ตั้งใจจะมาตั้งแต่ปีที่แล้ว วันนี้เรามาแล้ว ถึงแม้จะมาพร้อมกับเรื่องราวในใจที่อัดเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เมื่อถึงเวลานี้ก็ได้เวลาปล่อยทุกอย่างไว้ตรงนั้นสะที ปล่อยพื้นที่ในใจให้เต็มไปด้วยความสุขจากตรงนี้ ในใจคิดว่า ตายไม่เสียชาติเกิดคนเดียวกรูก็มาได้ และนั้นก็เป็นความรู้สึกทั้งหมดนะจุดชมวิวตรงนั้น.................
สักครั้งในชีวิต ความฝันของนักท่องเที่ยวเกือบทุกคน ที่อยากสัมผัสความงามของโบรโม่ แต่สำหรับผม โบรโม่ ไม่ได้งามเพราะเสียงอาทิต ไม่ได้งามเพราะหมอกสีขาวบนพื้นดิน แต่มันงามเพราะความมุ่งมั่นที่จะมา งามเพราะอุปสรรคในการเดินทาง งามเพราะระยะทางในการเดิน งามเพราะมิตรภาพจากคนรอบข้าง และมันงามที่สุด ที่ปลดเปลื้องความทุกข์จากใจเราไป...................... โปรดติดตามตอนต่อไป กับภารกิจพิชิตยอดโบรโม่ มันกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สายเดิน เพลินจนกลับเกือบไม่ได้ 55555