จำประโยคนี้กันได้มั้ยครับ
"สวัสดียามบ่าย ลอนดอน ก่อนอื่นผมต้องขออภัยที่รบกวนการชมรายการปกติของพวกคุณ ผมก็เหมือนคุณ ๆ ที่พิสมัยความสุขสบายในชีวิตประจำวัน วางใจสิ่งที่คุ้นเคย และจำนนต่อสิ่งจำเจ ผมชอบเหมือนทุกคน แต่เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต วันนี้.."
ครับผม วันนี้ขอเกาะกระแสการเมือง เอาหนังฮีโร่ระดับตำนานเรื่อง v for vendetta เพชฌฆาตหน้ากากพญายม ที่เข้าฉายเมื่อปี 2005 มาเล่าสู่กันฟัง กระทู้นี้จะหนักไปทางเล่าเรื่องและเสริมบทวิเคราะห์ครับ อย่าแปลกใจถ้าจะเขียนยาวไป เพราะต้องการให้คนที่ไม่เคยดูหนังมาก่อนก็อ่านเข้าใจได้ด้วย (แต่ถ้าเคยดูมาก่อนแล้วอ่านจะได้อารมณ์กว่า) พยายามตัดทอนแล้วก็ยังยาวอยู่ ก็เลย เอาตามนี้ละกัน ไม่อยากตัดแล้ว แต่อ่านง่ายครับไม่ซีเรียสแน่นอน ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาเริ่มกันเลย
สภาพสังคมและการเมืองในยุค V
ปี 2015 สงครามต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกา อเมริกาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สงครามลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของพรรคอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนา นอร์สไฟร์ บ่มเพาะความเกลียดชังว่าโลกถูกลงโทษเพราะคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกคนรักเพศเดียวกัน คนมุสลิม คนต่างด้าว และอื่น ๆ ช่วงสงคราม รัฐบาลจึงออกกวาดล้าง โดยเรียกคนกลุ่มเหล่านี้ว่าเป็น คนที่ไม่ต้องการ คุมตัวไปยังค่ายกักกัน หนึ่งในนั้นคือ ค่ายลาร์คฮิลล์ กลุ่มคนจำนวนมากถูกบังคับอย่างทารุณเพื่อเป็น "วัตถุทดลอง" ให้กับการคิดค้นอาวุธสงคราม การทดลองที่โหดร้ายคร่าชีวิตมนุษย์ทดลองเกือบทั้งหมด ยกเว้น วัตถุทดลองห้อง 5 ที่รอดชีวิตมาได้ เขาหลบหนีออกมาและวางระเบิดค่ายนี้สำเร็จ รัฐบาลปกปิดเรื่องนี้ป็นความลับ และทุกอย่างก็ถูกทำให้ลืมเลือน
ต่อมาไม่นาน อังกฤษเข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง เกิดการต่อสู้กันของแนวคิด 2 ฝ่าย ฝ่ายพรรคอนุรักษ์นิยมนอร์สไฟร์ ชูความเป็นหนึ่งเดียว อดัม ซัทเลอร์ ผู้นำพรรค ชูนโยบาย "แข็งแกร่งด้วยเอกภาพ เอกภาพด้วยความศรัทธา" ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือ พรรคแรงงาน มีนโยบายที่เปิดรับความแตกต่างมากกว่า คะแนนเสียงของทั้ง 2 ฝั่งสูสี แต่เกิดเหตุขวัญผวาขึ้น เมื่อลอนดอนถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพ 3 แห่ง โรงเรียนประถมเซนต์แมรี่ , สถานีรถไฟใต้ดิน และโรงบำบัดน้ำเสียทรีวอร์เตอร์ ส่งผลให้ผู้คนล้มตายหลายแสนคน เชื้อไวรัสแพร่ระบาด คนเรียกมันว่าเชื้อไวรัสเซนต์แมรี่ ความกลัวทำให้ชาวอังกฤษพร้อมใจกันลงคะแนนเสียงถล่มทลายให้กับพรรคที่ชูนโยบายความเป็นเอกภาพ คือพรรคนอร์สไฟร์ อดัม ซัทเลอร์ กล่าวหลังชนะการเลือกตั้งว่าจะจัดการให้เด็ดขาดเพื่อคืนความสงบโดยเร็ว พร้อมประโยคห้อยท้าย "อังกฤษจงมีชัย" ในช่วงแรกสาธารณชนบางกลุ่มไม่พอใจการสืบทอดอำนาจ และต่อต้านการใช้นโยบายดังกล่าว บรรดานักกิจกรรมเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง รัฐบาลปิดเสียงเหล่านั้น โดยการจับพวกเขาคลุมถุงดำ โดยหน่วยตรวจตราที่กระทำการในทางลับให้กับรัฐบาลที่ชื่อ ฟิงเกอร์แมน ภายใต้การกำกับของสมาชิกพรรคคนสำคัญ ปีเตอร์ ครีดี้ จากนั้นไม่นาน ยารักษาโรคระบาดถูกคิดค้นขึ้นมา ไม่มีผู้เห็นต่าง ประเทศเดินหน้าสู่ความสงบ อังกฤษเป็นเอกภาพ พรรคนอร์สไฟร์กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียว และ อดัม ซัทเลอร์ แต่งตั้งตำแหน่งตัวเองใหม่เป็น ท่านผู้นำสูงสุด นับแต่นั้น
ผ่านไป 14 ปี สังคมอังกฤษภายใต้การปกครองของพรรคนอร์สไฟร์ได้ถูกควบคุมและเซ็นเซอร์โดยสมบูรณ์ ข้อห้ามต่าง ๆ ถูกกำหนดขึ้นเพื่อความเป็นระเบียบ ห้ามวิจารณ์ผู้นำ ห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน มีสถานีโทรทัศน์ BTN ที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล นักพูดประจำสถานี ลูอิซ โพรเธโร่ ฉายา "เสียงแห่งลอนดอน" พูดปลุกระดมทุกวันกระตุ้นให้เกลียดชัง โดยเรียกผู้อื่นว่าเป็น "พวกเสื่อมศรัทธาในพระเจ้า"
เริ่มการปฏิวัติ
ตัวเอกของเรื่องมีนามว่า วี (ฮิวโก้ เวฟวิ่ง) มาจากเลขโรมัน V เขาคือวัตถุทดลองห้อง 5 ที่รอดชีวิตมานั่นเอง วีปรากฏตัวขึ่นครั้งแรกภายใต้หน้ากาก กาย ฟอว์ก ขณะเดินทางไประเบิดตึกเบลีย์เก่า (ศาลยุติธรรม) เขาได้พบกับอีวีย์แฮมม่อน (นาตาลี พอร์ตแมน) วีช่วยเธอไว้จากการถูกข่มขืนจากพวกฟิงเกอร์เมน วีแนะนำตัวเองต่ออีวีย์ว่าเขาเป็น "เสียงแห่งประชาชน ที่เกือบจะห่างไกลและจางหาย" เป้าหมายสูงสุดของวีคือ การสร้างเสียงแห่งประชาชนให้กลับมาอีกครั้ง
นาฬิกาส่งเสียงดังยามเที่ยงคืนเพื่อบ่งบอกการเริ่มต้นวันใหม่ของวันที่ 5 พฤศจิกายน วันเดียวกับที่ กาย ฟอว์ก เคยพยายามระเบิดรัฐสภาของอังกฤษเมื่อสี่ร้อยปีก่อน แต่ถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยราชวงศ์อังกฤษ เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า กบฎดินปืน วีเชิญชวนอีวีย์ให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน การระเบิดก็ปะทุขึ้น ตึกเบลีย์เก่าพังทลายลง ในตอนสายวันนั้นเอง สถานีโทรทัศน์ BTN รายงานข่าวโกหกประชาชนว่า เป็นฝีมือของรัฐบาล ไม่มีการรายงานข่าวที่แตกต่าง รัฐบาลคุมสื่อไว้หมด
ทันใดนั้น! วีก็บุกเข้าไปยังสถานีโทรทัศน์ BTN แล้วยึดห้องถ่ายทอดสด ส่งสัญญาณภาพวีดีโอแถลงการณ์ออกไปสู่ประชาชนอังกฤษทุกคน
...สวัสดียามบ่าย ลอนดอน ก่อนอื่นผมต้องขออภัยที่รบกวนการชมรายการปกติของพวกคุณ ผมก็เหมือนคุณๆ ที่พิสมัยความสุขสบายในชีวิตประจำวัน วางใจสิ่งที่คุ้นเคย และจำนนต่อสิ่งจำเจ ผมชอบเหมือนทุกคน แต่เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ วันที่น่าเสียใจที่ไม่มีใครจดจำ ผมคิดว่าเราควรแบ่งเวลาในชีวิตประจำวันมาพูดคุยกันสักหน่อย แน่นอน มีคนที่ไม่ต้องการให้เราพูด แม้ตอนนี้ คงมีคนกำลังตะโกนออกคำสั่งทางโทรศัพท์และคนพร้อมอาวุธกำลังจะมาถึง ทำไมน่ะหรือ เพราะบ่อยครั้งแม้กระบองจะถูกนำมาใช้แทนบทสนทนา ทว่า คำพูดจะคงไว้ซึ่งพลังของมันเสมอ คำพูดเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสื่อความหมาย และสำหรับคนที่รับฟัง คำพูดคือการประกาศแห่งความจริง และความจริงก็คือ มีบางอย่างไม่ถูกต้องในประเทศนี้ จริงไหม ความโหดร้าย และอยุติธรรม ผ่านความอดทนและการถูกกดขี่ ครั้งหนึ่งคุณเคยมีอิสระที่จะคัดค้าน ที่จะคิดและพูดตามที่เห็นสมควร ตอนนี้มีการบีบบังคับให้ยินยอมและรับการจำนน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะโทษใครดี แน่ละมีคนที่ควรรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น และพวกเขาต้องร่วมรับผิดในสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ทว่า ในความจริง ถ้าคุณจะมองหาคนผิด คุณต้องมองดูในกระจกเบื้องหน้าคุณเท่านั้น ผมรู้ทำไมคุณถึงทำมัน ผมรู้ว่าคุณกลัว ใครกันเล่าจะไม่กลัว สงคราม ความโหดเหี้ยม โรคร้าย มีปัญหาหลากหลายที่จะรุมล้อมกัดกร่อนความมีเหตุผลของคุณ และพรากสามัญสำนึกคุณไป ในความตื่นกลัว คุณหันไปหาท่านผู้นำสูงสุด อดัม ซัทเลอร์ เขาสัญญาว่าสังคมจะสงบสุข สิ่งที่เขาเรียกร้องจากคุณคือให้คุณเงียบ! เชื่อฟัง และยินยอม เมื่อคืนนี้ ผมยุติความเงียบนั้น เมื่อคืนนี้ ผมทำลายตึกเบลีย์เก่า เพื่อเตือนประเทศนี้ถึงสิ่งที่ถูกลืมเลือนกว่าสี่ร้อยปีที่แล้ว ประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง (กาย ฟอว์ก) ปลูกฝังวันที่ 5 พฤศจิกายนลงไปในความทรงจำของพวกเราตลอดไป เขาเตือนโลกว่า ความถูกต้องยุติธรรมและเสรีภาพเป็นมากยิ่งกว่าคำพูด หากแต่คือปรัชญาชีวิต ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้เห็นอะไรเลย ถ้าคุณไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรรม ผมขอแนะนำให้คุณปล่อยวันที่ 5 พฤศจิกายนผ่านเลยไป แต่ถ้าคุณเห็นในสิ่งที่ผมเห็น ถ้าคุณรู้สึกสิ่งที่ผมรู้สึก และแสวงหาสิ่งที่ผมแสวงหา ผมขอให้คุณยืนเคียงข้างผม หนึ่งปีนับจากคืนนี้ นอกประตูรัฐสภา และเราจะร่วมมอบวันที่ 5 พฤศจิกายนให้พวกเขาอย่างที่จะไม่มีวันลืมเลือน....
BTN หน้าที่ของเราคือการรายงานข่าว ส่วนการบิดเบือนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล
วีกระชากหน้ากากสื่อที่โกหกและอำนาจที่พยายามปิดหูปิดตาประชาชนของรัฐบาล เขายังได้กระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักว่าการเมืองเป็นความรับผิดชอบของคนทุกคน ที่ผ่านมาพวกเขานิ่งเฉยกันเกินไป หวาดกลัวกันเกินไป อย่างไรก็ตาม วีให้เวลาชาวอังกฤษหนึ่งปี ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เพราะการปฏิวัติจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าผู้คนไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ วีกระตุ้นให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศในอีก 1 ปีข้างหน้า ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเขาก็ตาม พฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงนั้น หนังได้บอกเล่าผ่านเรื่องราวของตัวละครที่สำคัญ 2 คน
สารวัตรใหญ่ อีริค ฟินช์
(ผมเห็นความเชื่อมโยงที่เราทุกคนมีส่วนร่วม)
วีถูกทางการให้ร้ายทันทีว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่มีส่วนกับการโจมตีเมืองด้วยไวรัสเซนต์แมรี่เมื่อ 14 ปีก่อน สารวัตรฟินช์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคนอร์สไฟร์มานานกว่า 20 ปี ได้รับมอบหมายให้มาสืบหาวี ขณะกำลังสืบ ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า วีได้จัดการสังหาร ลูอิซ โพรเธโร่ นักพูดประจำสถานีช่อง BTN แล้ว ผลชันสูตรศพโพรเธโร่ พบยาอยู่ในร่างกายเขาเป็นจำนวนมาก จะเป็นความบังเอิญหรือเปล่า เมื่อข้อมูลการเงินพบว่าเขาร่ำรวยมหาศาลจากการมีหุ้นอยู่ในบริษัทเวชภัณฑ์ "ความแค้นทุกอย่างต้องถูกชำระ" ข้อความที่วีทิ้งไว้ สารวัตรฟินช์จึงลองไล่ตรวจสอบดูประวัติของโพรเธโร่ เขาเคยเป็นทหารยศผู้บัญชาการ เคยออกรบ และเคยคุมค่ายกักกันลาร์คฮิลมาก่อน ฟินช์พยายามขอรายละเอียดเรื่องค่ายลาร์คฮิลไปยังกองทัพและรัฐบาล แต่ถูกปฏิเสธ ข้อมูลทุกอย่างถูกปิดไม่ให้เข้าถึง เขาคิดว่าข้อมูลด้านภาษีน่าจะบอกอะไรได้ จึงติดต่อไปยังสรรพากร ตรวจสอบงบการเงินของค่ายกักกันแล้วพบว่า มีการจ้างบุคลากรที่เป็นแพทย์จำนวนมาก เมื่อเรียงลำดับตามผู้ที่ได้รับค่าจ้างสูงสุด มีทั้ง หมอ บาทหลวง ทหาร ทุกคนล้วนถูกสังหารหมด ยกเว้นหมอคนหนึ่งที่ต่อมาปลี่ยนชื่อภายหลังจึงไม่มีข้อมูล เขาติดต่อขอข้อมูลจากทางทะเบียนราษฎร์พบว่าเธอคือ ดร.ดีเรีย เซอริดจ์ หมอชันสูตรศพนั่นเอง ฟินช์รีบเดินทางไปพบเธอ แต่ไม่ทัน เธอได้เสียชีวิตแล้ว เขาพบสมุดโน้ตสีแดง ภายในเป็นเรื่องราวที่เธอบันทึกถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในค่ายลาร์คฮิล และความจริง ว่าแท้จริงค่ายกักกันนี้มีขึ้นเพื่อใช้ทดลองอาวุธชีวภาพและคิดค้นยารักษา ดร.เซอร์ริดจ์ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย และได้ค้นคว้ายาสำเร็จเพราะได้ตัวอย่างเลือดจากชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้
เมื่อถึงตรงนี้อดีตคนสนิทของปีเตอร์ ครีดี้ (ผู้นำกลุ่มฟิงเกอร์แมน) ติดต่อเข้ามาเพื่อให้ข้อมูลกับสารวัตรฟินช์ โดยบอกว่าทหารได้ผลิตอาวุธชีวภาพจริงแต่ไม่ได้ใช้ในสงครามต่างประเทศ แต่พวกเขาใช้กับคนภายในประเทศต่างหาก พรรคนอร์สไฟร์คือผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีลอนดอนเมื่อ 14 ปีก่อน เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ปูทางสู่อำนาจ จัดการฝ่ายตรงข้าม และกอบโกยผลกำไรจากการขายยา มีสมาชิกพรรคมีหุ้นในบริษัทเวชภัณฑ์อยู่หลายคน และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เรื่องนี้ตรวจสอบได้ แต่จะเชื่อถือหรือไม่ ให้สารวัตรฟินช์เป็นผู้ตัดสินเอง ฟินช์ต่อมาพบภายหลังว่าผู้ให้ข้อมูลเขาเป็นวีปลอมตัวมา เรื่องราวอาจจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ทุกอย่างดูสอดคล้องและมีหลักฐาน เขาควรจะเชื่อใครดี ระหว่างรัฐบาลที่เขาได้รับประโยชน์ หรือฝ่ายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
..ต่อความเห็นที่ 1
กระทู้รำลึกถึง V for Vendetta เพชฌฆาตหน้ากากพญายม
"สวัสดียามบ่าย ลอนดอน ก่อนอื่นผมต้องขออภัยที่รบกวนการชมรายการปกติของพวกคุณ ผมก็เหมือนคุณ ๆ ที่พิสมัยความสุขสบายในชีวิตประจำวัน วางใจสิ่งที่คุ้นเคย และจำนนต่อสิ่งจำเจ ผมชอบเหมือนทุกคน แต่เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต วันนี้.."
ครับผม วันนี้ขอเกาะกระแสการเมือง เอาหนังฮีโร่ระดับตำนานเรื่อง v for vendetta เพชฌฆาตหน้ากากพญายม ที่เข้าฉายเมื่อปี 2005 มาเล่าสู่กันฟัง กระทู้นี้จะหนักไปทางเล่าเรื่องและเสริมบทวิเคราะห์ครับ อย่าแปลกใจถ้าจะเขียนยาวไป เพราะต้องการให้คนที่ไม่เคยดูหนังมาก่อนก็อ่านเข้าใจได้ด้วย (แต่ถ้าเคยดูมาก่อนแล้วอ่านจะได้อารมณ์กว่า) พยายามตัดทอนแล้วก็ยังยาวอยู่ ก็เลย เอาตามนี้ละกัน ไม่อยากตัดแล้ว แต่อ่านง่ายครับไม่ซีเรียสแน่นอน ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาเริ่มกันเลย
สภาพสังคมและการเมืองในยุค V
ปี 2015 สงครามต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกา อเมริกาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สงครามลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของพรรคอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนา นอร์สไฟร์ บ่มเพาะความเกลียดชังว่าโลกถูกลงโทษเพราะคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกคนรักเพศเดียวกัน คนมุสลิม คนต่างด้าว และอื่น ๆ ช่วงสงคราม รัฐบาลจึงออกกวาดล้าง โดยเรียกคนกลุ่มเหล่านี้ว่าเป็น คนที่ไม่ต้องการ คุมตัวไปยังค่ายกักกัน หนึ่งในนั้นคือ ค่ายลาร์คฮิลล์ กลุ่มคนจำนวนมากถูกบังคับอย่างทารุณเพื่อเป็น "วัตถุทดลอง" ให้กับการคิดค้นอาวุธสงคราม การทดลองที่โหดร้ายคร่าชีวิตมนุษย์ทดลองเกือบทั้งหมด ยกเว้น วัตถุทดลองห้อง 5 ที่รอดชีวิตมาได้ เขาหลบหนีออกมาและวางระเบิดค่ายนี้สำเร็จ รัฐบาลปกปิดเรื่องนี้ป็นความลับ และทุกอย่างก็ถูกทำให้ลืมเลือน
ต่อมาไม่นาน อังกฤษเข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง เกิดการต่อสู้กันของแนวคิด 2 ฝ่าย ฝ่ายพรรคอนุรักษ์นิยมนอร์สไฟร์ ชูความเป็นหนึ่งเดียว อดัม ซัทเลอร์ ผู้นำพรรค ชูนโยบาย "แข็งแกร่งด้วยเอกภาพ เอกภาพด้วยความศรัทธา" ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือ พรรคแรงงาน มีนโยบายที่เปิดรับความแตกต่างมากกว่า คะแนนเสียงของทั้ง 2 ฝั่งสูสี แต่เกิดเหตุขวัญผวาขึ้น เมื่อลอนดอนถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพ 3 แห่ง โรงเรียนประถมเซนต์แมรี่ , สถานีรถไฟใต้ดิน และโรงบำบัดน้ำเสียทรีวอร์เตอร์ ส่งผลให้ผู้คนล้มตายหลายแสนคน เชื้อไวรัสแพร่ระบาด คนเรียกมันว่าเชื้อไวรัสเซนต์แมรี่ ความกลัวทำให้ชาวอังกฤษพร้อมใจกันลงคะแนนเสียงถล่มทลายให้กับพรรคที่ชูนโยบายความเป็นเอกภาพ คือพรรคนอร์สไฟร์ อดัม ซัทเลอร์ กล่าวหลังชนะการเลือกตั้งว่าจะจัดการให้เด็ดขาดเพื่อคืนความสงบโดยเร็ว พร้อมประโยคห้อยท้าย "อังกฤษจงมีชัย" ในช่วงแรกสาธารณชนบางกลุ่มไม่พอใจการสืบทอดอำนาจ และต่อต้านการใช้นโยบายดังกล่าว บรรดานักกิจกรรมเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง รัฐบาลปิดเสียงเหล่านั้น โดยการจับพวกเขาคลุมถุงดำ โดยหน่วยตรวจตราที่กระทำการในทางลับให้กับรัฐบาลที่ชื่อ ฟิงเกอร์แมน ภายใต้การกำกับของสมาชิกพรรคคนสำคัญ ปีเตอร์ ครีดี้ จากนั้นไม่นาน ยารักษาโรคระบาดถูกคิดค้นขึ้นมา ไม่มีผู้เห็นต่าง ประเทศเดินหน้าสู่ความสงบ อังกฤษเป็นเอกภาพ พรรคนอร์สไฟร์กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียว และ อดัม ซัทเลอร์ แต่งตั้งตำแหน่งตัวเองใหม่เป็น ท่านผู้นำสูงสุด นับแต่นั้น
ผ่านไป 14 ปี สังคมอังกฤษภายใต้การปกครองของพรรคนอร์สไฟร์ได้ถูกควบคุมและเซ็นเซอร์โดยสมบูรณ์ ข้อห้ามต่าง ๆ ถูกกำหนดขึ้นเพื่อความเป็นระเบียบ ห้ามวิจารณ์ผู้นำ ห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน มีสถานีโทรทัศน์ BTN ที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล นักพูดประจำสถานี ลูอิซ โพรเธโร่ ฉายา "เสียงแห่งลอนดอน" พูดปลุกระดมทุกวันกระตุ้นให้เกลียดชัง โดยเรียกผู้อื่นว่าเป็น "พวกเสื่อมศรัทธาในพระเจ้า"
เริ่มการปฏิวัติ
ตัวเอกของเรื่องมีนามว่า วี (ฮิวโก้ เวฟวิ่ง) มาจากเลขโรมัน V เขาคือวัตถุทดลองห้อง 5 ที่รอดชีวิตมานั่นเอง วีปรากฏตัวขึ่นครั้งแรกภายใต้หน้ากาก กาย ฟอว์ก ขณะเดินทางไประเบิดตึกเบลีย์เก่า (ศาลยุติธรรม) เขาได้พบกับอีวีย์แฮมม่อน (นาตาลี พอร์ตแมน) วีช่วยเธอไว้จากการถูกข่มขืนจากพวกฟิงเกอร์เมน วีแนะนำตัวเองต่ออีวีย์ว่าเขาเป็น "เสียงแห่งประชาชน ที่เกือบจะห่างไกลและจางหาย" เป้าหมายสูงสุดของวีคือ การสร้างเสียงแห่งประชาชนให้กลับมาอีกครั้ง
นาฬิกาส่งเสียงดังยามเที่ยงคืนเพื่อบ่งบอกการเริ่มต้นวันใหม่ของวันที่ 5 พฤศจิกายน วันเดียวกับที่ กาย ฟอว์ก เคยพยายามระเบิดรัฐสภาของอังกฤษเมื่อสี่ร้อยปีก่อน แต่ถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยราชวงศ์อังกฤษ เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า กบฎดินปืน วีเชิญชวนอีวีย์ให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน การระเบิดก็ปะทุขึ้น ตึกเบลีย์เก่าพังทลายลง ในตอนสายวันนั้นเอง สถานีโทรทัศน์ BTN รายงานข่าวโกหกประชาชนว่า เป็นฝีมือของรัฐบาล ไม่มีการรายงานข่าวที่แตกต่าง รัฐบาลคุมสื่อไว้หมด
ทันใดนั้น! วีก็บุกเข้าไปยังสถานีโทรทัศน์ BTN แล้วยึดห้องถ่ายทอดสด ส่งสัญญาณภาพวีดีโอแถลงการณ์ออกไปสู่ประชาชนอังกฤษทุกคน
...สวัสดียามบ่าย ลอนดอน ก่อนอื่นผมต้องขออภัยที่รบกวนการชมรายการปกติของพวกคุณ ผมก็เหมือนคุณๆ ที่พิสมัยความสุขสบายในชีวิตประจำวัน วางใจสิ่งที่คุ้นเคย และจำนนต่อสิ่งจำเจ ผมชอบเหมือนทุกคน แต่เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ วันที่น่าเสียใจที่ไม่มีใครจดจำ ผมคิดว่าเราควรแบ่งเวลาในชีวิตประจำวันมาพูดคุยกันสักหน่อย แน่นอน มีคนที่ไม่ต้องการให้เราพูด แม้ตอนนี้ คงมีคนกำลังตะโกนออกคำสั่งทางโทรศัพท์และคนพร้อมอาวุธกำลังจะมาถึง ทำไมน่ะหรือ เพราะบ่อยครั้งแม้กระบองจะถูกนำมาใช้แทนบทสนทนา ทว่า คำพูดจะคงไว้ซึ่งพลังของมันเสมอ คำพูดเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสื่อความหมาย และสำหรับคนที่รับฟัง คำพูดคือการประกาศแห่งความจริง และความจริงก็คือ มีบางอย่างไม่ถูกต้องในประเทศนี้ จริงไหม ความโหดร้าย และอยุติธรรม ผ่านความอดทนและการถูกกดขี่ ครั้งหนึ่งคุณเคยมีอิสระที่จะคัดค้าน ที่จะคิดและพูดตามที่เห็นสมควร ตอนนี้มีการบีบบังคับให้ยินยอมและรับการจำนน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะโทษใครดี แน่ละมีคนที่ควรรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น และพวกเขาต้องร่วมรับผิดในสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ทว่า ในความจริง ถ้าคุณจะมองหาคนผิด คุณต้องมองดูในกระจกเบื้องหน้าคุณเท่านั้น ผมรู้ทำไมคุณถึงทำมัน ผมรู้ว่าคุณกลัว ใครกันเล่าจะไม่กลัว สงคราม ความโหดเหี้ยม โรคร้าย มีปัญหาหลากหลายที่จะรุมล้อมกัดกร่อนความมีเหตุผลของคุณ และพรากสามัญสำนึกคุณไป ในความตื่นกลัว คุณหันไปหาท่านผู้นำสูงสุด อดัม ซัทเลอร์ เขาสัญญาว่าสังคมจะสงบสุข สิ่งที่เขาเรียกร้องจากคุณคือให้คุณเงียบ! เชื่อฟัง และยินยอม เมื่อคืนนี้ ผมยุติความเงียบนั้น เมื่อคืนนี้ ผมทำลายตึกเบลีย์เก่า เพื่อเตือนประเทศนี้ถึงสิ่งที่ถูกลืมเลือนกว่าสี่ร้อยปีที่แล้ว ประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง (กาย ฟอว์ก) ปลูกฝังวันที่ 5 พฤศจิกายนลงไปในความทรงจำของพวกเราตลอดไป เขาเตือนโลกว่า ความถูกต้องยุติธรรมและเสรีภาพเป็นมากยิ่งกว่าคำพูด หากแต่คือปรัชญาชีวิต ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้เห็นอะไรเลย ถ้าคุณไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรรม ผมขอแนะนำให้คุณปล่อยวันที่ 5 พฤศจิกายนผ่านเลยไป แต่ถ้าคุณเห็นในสิ่งที่ผมเห็น ถ้าคุณรู้สึกสิ่งที่ผมรู้สึก และแสวงหาสิ่งที่ผมแสวงหา ผมขอให้คุณยืนเคียงข้างผม หนึ่งปีนับจากคืนนี้ นอกประตูรัฐสภา และเราจะร่วมมอบวันที่ 5 พฤศจิกายนให้พวกเขาอย่างที่จะไม่มีวันลืมเลือน....
วีกระชากหน้ากากสื่อที่โกหกและอำนาจที่พยายามปิดหูปิดตาประชาชนของรัฐบาล เขายังได้กระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักว่าการเมืองเป็นความรับผิดชอบของคนทุกคน ที่ผ่านมาพวกเขานิ่งเฉยกันเกินไป หวาดกลัวกันเกินไป อย่างไรก็ตาม วีให้เวลาชาวอังกฤษหนึ่งปี ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เพราะการปฏิวัติจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าผู้คนไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ วีกระตุ้นให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศในอีก 1 ปีข้างหน้า ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเขาก็ตาม พฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงนั้น หนังได้บอกเล่าผ่านเรื่องราวของตัวละครที่สำคัญ 2 คน
สารวัตรใหญ่ อีริค ฟินช์
(ผมเห็นความเชื่อมโยงที่เราทุกคนมีส่วนร่วม)
วีถูกทางการให้ร้ายทันทีว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่มีส่วนกับการโจมตีเมืองด้วยไวรัสเซนต์แมรี่เมื่อ 14 ปีก่อน สารวัตรฟินช์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคนอร์สไฟร์มานานกว่า 20 ปี ได้รับมอบหมายให้มาสืบหาวี ขณะกำลังสืบ ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า วีได้จัดการสังหาร ลูอิซ โพรเธโร่ นักพูดประจำสถานีช่อง BTN แล้ว ผลชันสูตรศพโพรเธโร่ พบยาอยู่ในร่างกายเขาเป็นจำนวนมาก จะเป็นความบังเอิญหรือเปล่า เมื่อข้อมูลการเงินพบว่าเขาร่ำรวยมหาศาลจากการมีหุ้นอยู่ในบริษัทเวชภัณฑ์ "ความแค้นทุกอย่างต้องถูกชำระ" ข้อความที่วีทิ้งไว้ สารวัตรฟินช์จึงลองไล่ตรวจสอบดูประวัติของโพรเธโร่ เขาเคยเป็นทหารยศผู้บัญชาการ เคยออกรบ และเคยคุมค่ายกักกันลาร์คฮิลมาก่อน ฟินช์พยายามขอรายละเอียดเรื่องค่ายลาร์คฮิลไปยังกองทัพและรัฐบาล แต่ถูกปฏิเสธ ข้อมูลทุกอย่างถูกปิดไม่ให้เข้าถึง เขาคิดว่าข้อมูลด้านภาษีน่าจะบอกอะไรได้ จึงติดต่อไปยังสรรพากร ตรวจสอบงบการเงินของค่ายกักกันแล้วพบว่า มีการจ้างบุคลากรที่เป็นแพทย์จำนวนมาก เมื่อเรียงลำดับตามผู้ที่ได้รับค่าจ้างสูงสุด มีทั้ง หมอ บาทหลวง ทหาร ทุกคนล้วนถูกสังหารหมด ยกเว้นหมอคนหนึ่งที่ต่อมาปลี่ยนชื่อภายหลังจึงไม่มีข้อมูล เขาติดต่อขอข้อมูลจากทางทะเบียนราษฎร์พบว่าเธอคือ ดร.ดีเรีย เซอริดจ์ หมอชันสูตรศพนั่นเอง ฟินช์รีบเดินทางไปพบเธอ แต่ไม่ทัน เธอได้เสียชีวิตแล้ว เขาพบสมุดโน้ตสีแดง ภายในเป็นเรื่องราวที่เธอบันทึกถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในค่ายลาร์คฮิล และความจริง ว่าแท้จริงค่ายกักกันนี้มีขึ้นเพื่อใช้ทดลองอาวุธชีวภาพและคิดค้นยารักษา ดร.เซอร์ริดจ์ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย และได้ค้นคว้ายาสำเร็จเพราะได้ตัวอย่างเลือดจากชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้
เมื่อถึงตรงนี้อดีตคนสนิทของปีเตอร์ ครีดี้ (ผู้นำกลุ่มฟิงเกอร์แมน) ติดต่อเข้ามาเพื่อให้ข้อมูลกับสารวัตรฟินช์ โดยบอกว่าทหารได้ผลิตอาวุธชีวภาพจริงแต่ไม่ได้ใช้ในสงครามต่างประเทศ แต่พวกเขาใช้กับคนภายในประเทศต่างหาก พรรคนอร์สไฟร์คือผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีลอนดอนเมื่อ 14 ปีก่อน เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ปูทางสู่อำนาจ จัดการฝ่ายตรงข้าม และกอบโกยผลกำไรจากการขายยา มีสมาชิกพรรคมีหุ้นในบริษัทเวชภัณฑ์อยู่หลายคน และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เรื่องนี้ตรวจสอบได้ แต่จะเชื่อถือหรือไม่ ให้สารวัตรฟินช์เป็นผู้ตัดสินเอง ฟินช์ต่อมาพบภายหลังว่าผู้ให้ข้อมูลเขาเป็นวีปลอมตัวมา เรื่องราวอาจจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ทุกอย่างดูสอดคล้องและมีหลักฐาน เขาควรจะเชื่อใครดี ระหว่างรัฐบาลที่เขาได้รับประโยชน์ หรือฝ่ายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
..ต่อความเห็นที่ 1