แชร์ประสบการณ์ อาชีพนักเขียน 8 ปี

เดือนแห่งความรักของปีนี้ ...
เป็นช่วงเวลาที่ผมดำรงชีพด้วยการเขียนหนังสือขายครบ 8 ปีพอดี

ก่อนหน้านี้ผมเคยคุยกับเพื่อนเอาไว้เล่นๆ ว่าถ้าผมพิมพ์หนังสือได้ถึง 3 แสนเล่ม ผมจะเขียนรีวิวลงพันทิป

...ถึงวันนี้... เป้าหมายนั้นล่วงเลยมายาวไกลแล้ว
...และคงเป็นโอกาสเหมาะที่ผมจะเริ่มต้นรื้อฟื้นความทรงจำที่เลือนลาง บันทึกเอาไว้ในหน้าเว็บไซต์ และหน้าเพจของผมเอง ก่อนที่เซลล์สมองจะถูกแทนที่ด้วยความทรงจำใหม่ๆ จนยากที่จะฟื้นความทรงจำเหล่านี้คืนกลับมา


จุดเริ่มต้นอาชีพ “นักเขียน” ของผม

...ตั้งแต่เด็กจนโต อาชีพนักเขียน ไม่เคยอยู่ในห้วงความคิดของผมเลยแม้แต่น้อย บ้านผมทำธุรกิจเล็กๆ เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง อยู่ต่างจังหวัด รวมทั้งบ้านญาติที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็ขายแบบเดียวกัน ชีวิตผมจึงวนเวียนอยู่กับอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ มาตลอด

ช่วงปิดเทอม ม.ปลาย ผมจะช่วยที่บ้านเฝ้าหน้าร้าน และช่วยคนงานยกของ ตั้งแต่แบกปูน ยกแผ่นกระเบื้องมุงหลังคา ยกท่อPVC ยกเสาปูน ยกอิฐบล็อก ตักหิน ตักทราย ไปจนถึงขับรถกระบะไปส่งของใกล้ๆ บ้าน

ผมคิดมาตลอดว่านั่นคืออนาคตของผม ผมจะเรียนให้จบ แล้วจะกลับมาช่วยพ่อ-แม่ขายของที่บ้าน จนถึงขนาดผมบอกคนงานที่บ้านไว้เมื่อตอนผมจบ ม.6 ว่า ผมจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ รอผมก่อน เดี๋ยวกลับมาส่งของด้วยกันใหม่

ชีวิตของผมดูจะเป็นชีวิตที่ลงตัวเอามากๆ ผมคิดว่าผมเป็นคนเรียนเก่งเลยทีเดียวล่ะ เพราะผมจบจากโรงเรียนที่ต่างจังหวัดด้วยเกรดเฉลี่ยสูงที่สุดของชั้นคือ 3.8 กว่าๆ และทั้งรุ่นของผม สอบเข้าจุฬาฯได้เพียง 2 คน ผมเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนที่บ้านผมการค้าขายก็ดูท่าว่าจะไปได้ดี...

แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนที่จุฬาฯแล้ว ผมจึงเข้าใจว่า...คนเก่งแบบยอดมนุษย์นั้น มันเป็นยังไง และเราเองอยู่จุดไหนของห่วงโซ่อาหารกันแน่
...จากผู้ล่าที่เคยเหยียบหัวเพื่อนไต่ขึ้นไปไขว่คว้าคะแนนและเกรดมากมาย แต่ที่จุฬาฯ เราเป็นแหล่งอาหารชั้นดีให้เพื่อนๆ เป็นฐานในการทำเกรด (เพราะตัดเกรดแบบอิงกลุ่ม) เกรดเฉลี่ยของผมในเทอมแรกไม่ถึง 2.0 และติดโปร

ผมเริ่มรู้สึกไม่อยากเรียน เริ่มท้อ และหันมาทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยมากขึ้น กิจกรรมต่างๆ ที่ผมได้ทำที่นี่เองที่เป็นจุดบ่มเพาะความสามารถบางอย่างในการทำงานในอนาคตของผม

อันที่จริงแล้วก่อนที่ผมจะมาเขียนหนังสือ ผมได้มีโอกาสทำงานและลงทุนหลายๆ อย่าง ที่มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่งค่อนข้างจะยาว จึงขอข้ามไปละกันนะครับ แต่ด้วยความชอบส่วนตัว ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ชอบสอนหนังสือมาตั้งแต่ชั้น ม.ปลาย ผมเคยตั้งชมรมพี่ติวน้องที่โรงเรียน ทำให้ต่อมา... ผมจึงตัดสินใจเปิดสถาบันกวดวิชาขึ้นแถวๆ วงเวียนใหญ่ กิจการเป็นไปได้ด้วยดี และบังเอิญว่าได้มีติวเตอร์ท่านหนึ่ง (ขอสมมติว่าชื่อพี่เอ) เดินเข้ามาสมัครเป็นติวเตอร์สอนที่สถาบันของผม

ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่เอช่วงหนึ่ง จึงสอบถามว่านอกจากงานติวเตอร์ที่สถาบันผมแล้ว พี่ทำงานอะไรอยู่ และได้คำตอบว่า “พี่เป็นติวเตอร์สอนตามโรงเรียนและเขียนหนังสือเรียนขาย” หูว... นี่เราได้เจอกับระดับปรมาจารย์ เขียนหนังสือเรียนเลยหรือนี่

ด้วยความสนใจอยากรู้ จึงได้คุยสอบถามรายละเอียดกับพี่เอ จากนั้นพี่เอจึงได้เอ่ยว่า “น้องเองก็ทำชีทเรียนสอนในติวเตอร์อยู่แล้วนี่ น่าจะทำหนังสือขายได้นะ”

นั่นละครับ...ที่มาของมหากาพย์หนังสือเรียนของผม


กว่าจะมีหนังสือเล่มแรกของชีวิต

...หลังจากที่ได้คุยกับพี่เอแล้ว ไม่นานผมก็ตัดสินใจจะทำหนังสือเรียนวิชาเคมีขาย เพราะคิดว่ามันก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร อีกทั้งเราก็มีชีทติวอยู่แล้วด้วย โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะใช้เวลาทำประมาณ 3 เดือน ก็น่าจะเสร็จ

…โชคดีที่ผมเคยทำชีทเรียนวิชาเคมีเอาไว้พอสมควรแล้ว จึงไม่มีปัญหาในเรื่องเนื้อหาเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องการทำหนังสือเลย ทั้งการจัดหน้ากระดาษ การจัดรูปเล่ม จะใช้โปรแกรมอะไรทำดี ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้ใหม่ ลองผิด ลองถูกอยู่นานพอสมควร ประกอบกับตอนนั้นยังเปิดติวเตอร์อยู่ด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างเขียนหนังสือเท่าไหร่นัก

ผมพยายามคิดว่าเราต้องการให้เด็กนักเรียนได้รับอะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง และจุดบกพร่องของหนังสือที่วางขายในตลาดมีอะไรบ้าง ทำให้ผมค่อยๆ มองเห็นว่า ในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีหนังสือเรียนเคมีที่สรุปเนื้อหาตั้งแต่ชั้น ม.4-ม.6 ไว้ในเล่มเดียวได้อย่างลงตัวเท่าไหร่นัก นักเรียนที่ขยันจะต้องซื้อหนังสือแยกอ่านถึง 5 เล่ม กว่าจะได้เนื้อหาครบถ้วน ผมจึงนำมาตั้งเป็นโจทย์ในการทำหนังสือของผม โดยผมพยายามเรียบเรียงเนื้อหาให้ได้ใจความสำคัญครบถ้วนลงในหนังสือเล่มเดียวที่จำนวนหน้าไม่หนาจนเกินไป และปรับปรุงแก้ไขอยู่หลายครั้ง

จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะใช้เวลาทำประมาณ 3 เดือน เวลาก็ล่วงเลยผ่าน deadline ออกไปเรื่อยๆ จาก 3 เป็น 4 จาก 4 เป็น 5 จนสุดท้ายผมก็เลิกนับเวลาที่ได้ทุ่มเทกับหนังสือเล่มแรกนั้นไป

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณ 10 เดือนพอดี เนื้อหาหนังสือของผมก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมเริ่มติดต่อหาผู้จัดจำหน่ายหนังสือ โรงพิมพ์ และคนจัดทำรูปเล่ม เพื่อส่งมอบงานที่ผมเตรียมไว้ไปทำรูปเล่มให้เรียบร้อย

เมื่อได้คุยกับคนที่รับทำรูปเล่ม และปรึกษากันแล้ว ปรากฏว่างานที่ผมจะส่งมอบไปทำรูปเล่มนั้น ฟอนต์ที่ผมใช้งานเล็กไป เมื่อทำรูปเล่มแล้วจะทำให้อ่านยาก ผมไม่เคยคำนึงถึงตรงนี้เลย เพราะงานทำชีทสอนที่ติวเตอร์ก็ใช้ฟอนต์เท่านั้นมาตลอด จึงไม่ได้เอะใจและวางแผนใดๆ

จนสุดท้าย ก็ต้องตัดสินใจปรับฟอนต์ทั้งเล่มใหม่ ซึ่งการปรับฟอนต์เพียงแค่เพิ่มขนาดนิดเดียวจะทำให้ layout ทั้งหมดที่ทำไว้เลื่อนเสียหายทั้งหมด (อาจจะมีโปรแกรมที่ดีกว่าและทำได้แต่ ณ ตอนนั้นผมไม่รู้) โดยเฉพาะงานหนังสือเรียนด้วยแล้ว เละเทะมากครับ ผมต้องใช้เวลากว่า 1 เดือน ในการทำ layout ใหม่ทั้งเล่ม จนสุดท้ายก็ได้ส่งงานให้กับคนทำอาร์ตเวิร์ค

งานต่อไปที่เป็นงานที่ลุ้นระทึกมากที่สุดในการทำหนังสือคือ “การออกแบบปก” ผมมีตัวอย่างปกที่อยากได้อยู่ในใจพอสมควร และพยายามสื่อสารให้กับคนออกแบบได้เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ยังต้องแก้ไขกันไปมาๆๆ น่าจะเกิน 10 รอบ โชคดีที่พี่เค้าเข้าใจ และใจเย็น จนสุดท้ายก็ได้รูปแบบปกที่ค่อนข้างจะ ok ในตอนนั้น (แต่ตอนนี้มาดูอีกทีคิดว่ามันโคตรเชยเลยอ่ะ 555)

ขออนุญาตลงรูปหนังสือเลยละกันนะครับ เพราะในห้องพันทิปคงไม่ใช่ target ลูกค้าของผมอยู่แล้ว และอีกอย่าง หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่ายแล้วด้วยครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไร


หนังสือเล่มนี้เริ่มวางแผงในเดือนสิงหาคม 2554 และพิมพ์จำหน่ายครั้งสุดท้าย (พิมพ์ครั้งที่ 3) ในเดือนธันวาคม 2554 และขายหมดเกลี้ยงประมาณปลายปี 2555

ใช่ครับ หนังสือผมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนต้องสั่งพิมพ์ทุกเดือน แต่ผมขอยุติการจำหน่ายเอง ทั้งๆ ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (ตัวแทนจำหน่าย) ขอให้พิมพ์เพิ่ม เพราะหนังสือของผมมีจุดที่พิมพ์ผิดเยอะมาก จนผมอายไม่กล้าขายหนังสือเลยครับ เมื่อเราพิมพ์งานออกไปวางขายแล้ว มันยากมากที่จะแก้ไขอะไรในหนังสือได้

สาเหตุที่หนังสือผมพิมพ์ผิดเยอะมาก เพราะผมยังไม่มีประสบการณ์ในการ proof read แค่อ่านคร่าวๆ ตรวจดู layout คร่าวๆ และคิดว่างานเราทำเองกับมือ ไม่น่าจะมีจุดที่พิมพ์ผิดเท่าไหร่ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ผมรู้แล้วล่ะว่าผมมาถูกทาง แต่ขอเวลาตั้งหลักใหม่ก่อนนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่