(Feb 11)
'จีนเที่ยวไทย'ฟื้นสวนศก.ฟุบ ลุ้นนิวไฮ12ล้าน-จี้คุมบาทแข็ง:"แอตต้า"แนะธปท.ดูแลบาทแข็งหวั่นฉุดท่องเที่ยวจีนอีกรอบ หากหลุด 30 บาทต่อดอลล์ หลังสถานการณ์เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ โกลเด้นวีค คาดตลอดปีมีโอกาสทำนิวไฮแตะ 12 ล้านคน ดันรายได้ไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้าน
โกลเด้นวีค ของเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 4-10 ก.พ.เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ตั้งความหวังว่าสถานการณ์ตลาดชาวจีนเที่ยวไทย ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 จะกลับสู่ภาวะปกติ หลังจาก ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ด้านลบ โดยเฉพาะเหตุเรือล่ม ที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนก.ค.2561 ฉุดความเชื่อมั่น จนยอดนักท่องเที่ยวจีนร่วง ติดลบนาน 5 เดือน ต่อเนื่อง ก่อนจะพลิกฟื้นเป็นบวกอีกครั้งในเดือน ธ.ค. และสร้างสถิติใหม่แก่ภาคท่องเที่ยวไทย มีนักท่องเที่ยว จีนมาเยือนทะลุ 10 ล้านคนในปี 2561 เป็นปีแรก
นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจ การท่องเที่ยว(แอตต้า) เชื่อมั่นว่า ภาพรวม ตลาดนักท่องเที่ยวจีนปี 2562 จะฟื้นตัวดีขึ้น เที่ยวไทย 100% แล้วตั้งแต่เทศกาลตรุษจีน กระแสการเดินทางในช่วงโกลเด้นวีค "ดีเกินคาด" และยังมียอดจองที่ดีต่อเนื่องหลังตรุษจีน มีโอกาส ทำให้ตลอดเดือน ก.พ. จะมีนักท่องเที่ยวจีน มากกว่า 1.2 ล้านคน
แนะธปท.เร่งดูแลบาทแข็ง
"ปีนี้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน และ เป็นไปได้ที่จะแตะ 12 ล้านคน หากสถานการณ์ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ เพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้กังวลว่าจะสะดุด อาจทำให้ตลาดจีนเที่ยวไทยไม่ถึงเป้าหมายทั้งในเชิง รายได้และจำนวนคน ถ้าปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า"
แอตต้าจึงต้องการเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแล เพราะเพียงแค่เดือนเดียว เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4% ในสถานการณ์ที่ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น บริษัทนำเที่ยวแข่งขันกันสูง กำไรน้อยอยู่ที่ 5-10% เท่านั้น หากปล่อยให้แข็งค่าขึ้น 7-8% ธุรกิจอาจขาดทุน ในภาวะที่ค่าเงินของประเทศคู่แข่ง อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนามแข็งค่าเพียงเล็กน้อย จึงมองว่าท่องเที่ยวไทยอาจเสียเปรียบในระยะสั้น และกลางได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 และ 3
"ค่าเงินบาทที่ธุรกิจท่องเที่ยวยอมรับได้ คือ 31 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนจุดที่เหมาะสม ในการทำธุรกิจคือ 32-33 บาท หากหลุดไปถึง ระดับ 30 บาท อาจขาดทุน ทำแล้วไม่ได้กำไร นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ภาคเอกชนท่องเที่ยวอาจลำบากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ค่าเงินบาท ก็จะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย"
ไทยติด 1 ใน 3 จุดหมายยอดนิยม
ด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ คาดว่า จะมีจำนวน 11.69-12 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่การ เก็บสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พบว่ามีจำนวน 10,535,955 คน เพิ่มขึ้น 7.44% จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้ 580,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.52%
ปัจจัยสนับสนุนคือ การที่ไทยเป็นแบรนด์ท่องเที่ยวที่เข้มแข็งและรู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ติด 1 ใน 3 ของจุดหมายที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการขยายตลาดสู่เมืองรองอื่นๆ ในจีนมากขึ้น สอดคล้องไปกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีหนังสือเดินทางชาวจีน
"นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟ.ไอ.ที.) จะมีความสำคัญมากขึ้น หลังแนวโน้มการเติบโตขยับเพิ่มเป็น 63% ของตลาดจีนเที่ยวไทยในปัจจุบันแล้ว โดยมีแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนคอยช่วยให้ชาวจีนเดินทางและสื่อสารกับผู้ประกอบการได้สะดวก ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก การสื่อสารไร้สาย และความปลอดภัยจะมีส่วนกระตุ้นให้ กลุ่ม เอฟ.ไอ.ที.ชาวจีนเดินทางมาไทย มากขึ้น"
เร่งแก้ภาพลักษณ์เที่ยวทางน้ำ
อย่างไรก็ดี ไทยยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัย ด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ กระแสในโซเชียล และภาวะการแข่งขันสูงทั้งในระดับอนุภูมิภาค ระดับภูมิภาค และตลาดระยะไกลอื่นๆ รวมถึง การดูแลความปลอดภัยด้านการเดินทางและ ในแหล่งท่องเที่ยว
ส่วนผลการดำเนินมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VoA) ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2561 - 13 ม.ค. 2562 มีผลกระตุ้นตลาดจีน รวมถึงตลาดอื่นๆ เช่น อินเดีย ทำให้รัฐบาลขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ เพื่อครอบคลุมเทศกาลตรุษจีนและสงกรานต์ พบว่าจากการเก็บสถิติล่าสุดตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2561 ถึงวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา มาตรการ VoA สามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัว รวมกว่า 76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ขยายตัว 82%
1-28 ม.ค.จีนเที่ยวไทยเพิ่ม 8.6%
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนมาไทยตั้งแต่วันที่ 1-28 ม.ค. ที่ผ่านมา มีจำนวน 922,000 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าวิกฤตในตลาดจีนเที่ยวไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทั้งนี้ ททท.เตรียมประเมินรายได้สะพัดในเทศกาลตรุษจีนอีกครั้งหลังจบเทศกาล แต่เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นไปตามคาดการณ์เดิมคือ มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยในช่วงโกลเด้นวีคตั้งแต่วันที่ 4-10 ก.พ. รวม 330,000 คน เพิ่มขึ้น 4.12% เมื่อเทียบกับตรุษจีนปีที่แล้ว สร้างรายได้ 10,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.48% ขณะที่ภาพรวมคาดว่า มีชาวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยช่วงตรุษจีน ที่ผ่านมา 1,030,000 คน เพิ่มขึ้น 8.29% สร้างรายได้กว่า 24,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% "แม้ในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ช่วงตรุษจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราการ เติบโตที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากยังได้รับ ผลกระทบจากเรือล่มที่ภูเก็ต แต่สถานการณ์ เริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้จะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยได้ปัจจัยบวกจากการยกเว้นค่าธรรมเนียม VoA ที่ได้รับการขยายเวลาเพิ่มเติม"
Source: กรุงเทพธุรกิจ
ตลาดนักท่องเที่ยวจีน ขยายตัว 82% 1-28 ม.ค.จีนเที่ยวไทยเพิ่ม 8.6% สร้างสถิติใหม่แก่ภาคท่องเที่ยวไทย
โกลเด้นวีค ของเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 4-10 ก.พ.เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ตั้งความหวังว่าสถานการณ์ตลาดชาวจีนเที่ยวไทย ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 จะกลับสู่ภาวะปกติ หลังจาก ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ด้านลบ โดยเฉพาะเหตุเรือล่ม ที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนก.ค.2561 ฉุดความเชื่อมั่น จนยอดนักท่องเที่ยวจีนร่วง ติดลบนาน 5 เดือน ต่อเนื่อง ก่อนจะพลิกฟื้นเป็นบวกอีกครั้งในเดือน ธ.ค. และสร้างสถิติใหม่แก่ภาคท่องเที่ยวไทย มีนักท่องเที่ยว จีนมาเยือนทะลุ 10 ล้านคนในปี 2561 เป็นปีแรก
นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจ การท่องเที่ยว(แอตต้า) เชื่อมั่นว่า ภาพรวม ตลาดนักท่องเที่ยวจีนปี 2562 จะฟื้นตัวดีขึ้น เที่ยวไทย 100% แล้วตั้งแต่เทศกาลตรุษจีน กระแสการเดินทางในช่วงโกลเด้นวีค "ดีเกินคาด" และยังมียอดจองที่ดีต่อเนื่องหลังตรุษจีน มีโอกาส ทำให้ตลอดเดือน ก.พ. จะมีนักท่องเที่ยวจีน มากกว่า 1.2 ล้านคน
แนะธปท.เร่งดูแลบาทแข็ง
"ปีนี้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน และ เป็นไปได้ที่จะแตะ 12 ล้านคน หากสถานการณ์ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ เพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้กังวลว่าจะสะดุด อาจทำให้ตลาดจีนเที่ยวไทยไม่ถึงเป้าหมายทั้งในเชิง รายได้และจำนวนคน ถ้าปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า"
แอตต้าจึงต้องการเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแล เพราะเพียงแค่เดือนเดียว เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4% ในสถานการณ์ที่ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น บริษัทนำเที่ยวแข่งขันกันสูง กำไรน้อยอยู่ที่ 5-10% เท่านั้น หากปล่อยให้แข็งค่าขึ้น 7-8% ธุรกิจอาจขาดทุน ในภาวะที่ค่าเงินของประเทศคู่แข่ง อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนามแข็งค่าเพียงเล็กน้อย จึงมองว่าท่องเที่ยวไทยอาจเสียเปรียบในระยะสั้น และกลางได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 และ 3
"ค่าเงินบาทที่ธุรกิจท่องเที่ยวยอมรับได้ คือ 31 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนจุดที่เหมาะสม ในการทำธุรกิจคือ 32-33 บาท หากหลุดไปถึง ระดับ 30 บาท อาจขาดทุน ทำแล้วไม่ได้กำไร นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ภาคเอกชนท่องเที่ยวอาจลำบากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ค่าเงินบาท ก็จะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย"
ไทยติด 1 ใน 3 จุดหมายยอดนิยม
ด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ คาดว่า จะมีจำนวน 11.69-12 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่การ เก็บสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พบว่ามีจำนวน 10,535,955 คน เพิ่มขึ้น 7.44% จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้ 580,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.52%
ปัจจัยสนับสนุนคือ การที่ไทยเป็นแบรนด์ท่องเที่ยวที่เข้มแข็งและรู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ติด 1 ใน 3 ของจุดหมายที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการขยายตลาดสู่เมืองรองอื่นๆ ในจีนมากขึ้น สอดคล้องไปกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีหนังสือเดินทางชาวจีน
"นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟ.ไอ.ที.) จะมีความสำคัญมากขึ้น หลังแนวโน้มการเติบโตขยับเพิ่มเป็น 63% ของตลาดจีนเที่ยวไทยในปัจจุบันแล้ว โดยมีแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนคอยช่วยให้ชาวจีนเดินทางและสื่อสารกับผู้ประกอบการได้สะดวก ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก การสื่อสารไร้สาย และความปลอดภัยจะมีส่วนกระตุ้นให้ กลุ่ม เอฟ.ไอ.ที.ชาวจีนเดินทางมาไทย มากขึ้น"
เร่งแก้ภาพลักษณ์เที่ยวทางน้ำ
อย่างไรก็ดี ไทยยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัย ด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ กระแสในโซเชียล และภาวะการแข่งขันสูงทั้งในระดับอนุภูมิภาค ระดับภูมิภาค และตลาดระยะไกลอื่นๆ รวมถึง การดูแลความปลอดภัยด้านการเดินทางและ ในแหล่งท่องเที่ยว
ส่วนผลการดำเนินมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VoA) ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2561 - 13 ม.ค. 2562 มีผลกระตุ้นตลาดจีน รวมถึงตลาดอื่นๆ เช่น อินเดีย ทำให้รัฐบาลขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ เพื่อครอบคลุมเทศกาลตรุษจีนและสงกรานต์ พบว่าจากการเก็บสถิติล่าสุดตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2561 ถึงวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา มาตรการ VoA สามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัว รวมกว่า 76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ขยายตัว 82%
1-28 ม.ค.จีนเที่ยวไทยเพิ่ม 8.6%
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนมาไทยตั้งแต่วันที่ 1-28 ม.ค. ที่ผ่านมา มีจำนวน 922,000 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าวิกฤตในตลาดจีนเที่ยวไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทั้งนี้ ททท.เตรียมประเมินรายได้สะพัดในเทศกาลตรุษจีนอีกครั้งหลังจบเทศกาล แต่เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นไปตามคาดการณ์เดิมคือ มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยในช่วงโกลเด้นวีคตั้งแต่วันที่ 4-10 ก.พ. รวม 330,000 คน เพิ่มขึ้น 4.12% เมื่อเทียบกับตรุษจีนปีที่แล้ว สร้างรายได้ 10,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.48% ขณะที่ภาพรวมคาดว่า มีชาวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยช่วงตรุษจีน ที่ผ่านมา 1,030,000 คน เพิ่มขึ้น 8.29% สร้างรายได้กว่า 24,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% "แม้ในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ช่วงตรุษจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราการ เติบโตที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากยังได้รับ ผลกระทบจากเรือล่มที่ภูเก็ต แต่สถานการณ์ เริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้จะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยได้ปัจจัยบวกจากการยกเว้นค่าธรรมเนียม VoA ที่ได้รับการขยายเวลาเพิ่มเติม"
Source: กรุงเทพธุรกิจ