ฉันป่วย?

ฉันป่วย
    ขณะที่ฉันกำลังเขียนเรื่องนี้ ฉันมีอาการอ่อนเพลียเรื้องรังมาเกือบสองอาทิตย์ กล้ามเนื้อด้านซ้ายของฉันปวดเกร็ง ปวดหัว มือสั่น ใต้ตาซ้ายกระตุก แน่นหน้าอกและนอนหลับยาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและฉันคิดว่าเดี๋ยวมันคงหายไปเอง ใช่แล้ว..ฉันเป็นแบบนี้บ่อยๆ ทุกครั้งที่มีอาการ ฉันจะหาข้อมูลในเว็บกูเกิ้ลเกี่ยวกับอาการเหล่านี้และได้ข้อสรุปทุกครั้งว่า สาเหตุทั้งหมดนั้นเกิดจากภาวะความเครียดสะสมจึงส่งผลให้ร่างกายแสดงอาการต่างๆออกมา

    ภายนอกของฉันในสายตาคนทั่วไป อาจดูเหมือนไม่มีอะไร ฉันยิ้มให้กับทุกคน หัวเราะให้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่บางครั้งฉันก็เงียบขรึม เก็บตัว ซึ่งสลับกันไปมาระหว่างบุคลิกภาพสองอย่างนี้ จนดูเหมือนคนใกล้ตัวจะเคยชินกับพฤติกรรมเหล่านี้ของฉัน แต่สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะฉันไม่ต้องการให้ตัวเองดูแย่หรือไม่มีความสุข ฉันจะต้องทำตัวเหมือนคนเข้มแข็ง ซึ่งแม้บางครั้งร่างกายกับจิตใจของฉันมันไม่ค่อยอยากจะทำตามสักเท่าไหร่ ฉันต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้โกรธหรือหงุดหงิดใส่ใครง่ายๆ ทั้งที่ในใจฉันเริ่มมีแต่ความไม่ชอบใจหรือเกลียดชังสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ตลอดเวลา และมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    เกือบทุกครั้งที่สมองเริ่มทำงาน ฉันมีความคิดในด้านลบเกี่ยวกับใครๆที่ฉันพบเจอเมื่อวาน วันก่อนหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวที่ทำให้ฉันไม่พอใจ “ทุกคนไม่อยากให้ฉันมีความสุข” ฉันคิดอย่างนั้น ฉันมักฝันว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง ถูกขับไล่ออกจากครอบครัว อยากกลับบ้านแต่กลับไม่ได้ ฝันว่าแม่กับพ่อแม่ไม่รักฉัน หากถามว่าบ่อยแค่ไหน ฉันไม่สามารถตอบได้ แต่บอกได้เลยว่าฉันจะฝันถึงเรื่องเหล่านั้นเมื่อไหร่ก็ได้ แม้กระทั้งก่อนนอนฉันเองมีความสุขดี มีความสุขกับคนในครอบครัว กับคนที่รัก แต่พอหลับตาฉันก็ฝันถึงมัน ฉันคิดว่าเรื่องร้ายๆที่ฉันฝันถึงมันอยู่ใต้จิตสำนึกของฉันเอง เมื่อฉันเผลอ มันก็จะเข้ามาทำร้ายฉันในความฝัน ผลกระทบจากความฝันแบบนั้น ทำให้ฉันตื่นมาด้วยความโมโห โกรธและซึมเศร้า บางทีฉันร้องไห้

    ฉันพยายามคิดให้ละเอียดว่าความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นกับฉันมันมีสาเหตุมาจากอะไร เท่าที่ฉันนึกได้และพยายามให้เป็นกลางที่สุด ฉันว่าฉันมีปมที่ถูกบ่มฝังและสะสมมานาน ฉันเป็นลูกคนกลาง ในวัยเด็กของฉันที่ต้องเป็นทั้งพี่และน้อง ฉันว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยรักและห่วงใยฉันเท่ากับพี่สาวและน้องชาย เพราะตอนเด็กฉันไม่ค่อยเจ็บป่วยบ่อยเท่าพี่สาวของฉัน ฉันมีความกล้าและเอาตัวรอดได้ ฉันหัวดีและเรียนเก่งกว่าพี่น้องทุกคน แต่ฉันก็มักถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวหรือลูกพี่ลูกน้องของฉันจากญาติๆเรื่อง ฉันเตี้ยและไม่สวย ฉันไม่ขาว ฉันขี้เกียจและทำงานไม่เก่ง งานในวัยเด็กของฉันก็เช่น งานบ้าน งานต่างๆของผู้ใหญ่ที่พ่อแม่ให้ช่วยอะไรทำนองนั้น แต่เรื่องงาน ฉันว่าฉันไม่ได้แย่นะ เพราะเพื่อนๆรุ่นเดียวกันกับฉันเขาไม่ต้องมาทำอะไรหนักๆแบบนั้นเลย เพื่อปกป้องครอบครัวของฉัน ฉันจะไม่ลงรายละเอียดว่ามีอะไรในวัยเด็กที่ฉันต้องทำบ้าง แต่ขอบอกเลยว่าถ้าเป็นยุคนี้มีดราม่าหนักกว่าให้เด็กปีนหน้าต่างเช็ดกระจกซะอีก

    คงด้วยเหตุผลทั้งหมดนั้น ฉันไม่ชอบครอบครัวของฉันเลย อยู่ยาก แลดูลำบาก แต่จริงๆเรื่องงานไม่ลำบากหรอก ลำบากในการอยู่ร่วมกันมากกว่า ฉันคิดว่าฉันจะต้องเรียนให้เก่งๆแล้วหางานทำดีๆเอาตัวรอดให้ได้และไปจากพวกเขา ไม่ได้หมายความว่าไปเลยแล้วไม่กลับมา แค่ฉันต้องการอยู่ในที่ของตัวเอง อยู่ที่อื่น ในที่ที่ฉันรู้สึกปลอดภัยจากคำพูดร้ายๆของคนที่เหมือนจะรักฉัน ฉันไม่ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคนรู้จักฉัน เพราะทุกคนที่รู้จักฉันมักทำร้ายฉันด้วยคำพูดงี่เง้า ที่ฉันก็ไม่รู้ว่าพูดทำไมหรือพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ เช่น เรียนจบสูงกว่าพี่สาวน้องชายทำไมไม่รวยเท่าพวกเขา ทำงานมาตั้งนานไม่เห็นได้อะไร ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด อายุเท่านี้ทำไมหน้าแก่จัง เมื่อไหร่จะแต่งงาน เป็นต้น

    ฉันพยายามไม่สนใจ ไม่โต้ตอบ แต่ฉันไม่ชอบใจมากๆ ฉันยอมรับความจริงที่ว่าฉันไม่เอาไหนเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ ฉันไม่มีความทะเยอทะยานอยากได้อะไร ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่สนใจบ้าน รถ ที่ดินหรือแม้กระทั่งชีวิตครอบครัว แต่ฉันก็ไม่เคยนั่งเฉยๆแบมือขอเงินใคร ฉันมีงานทำและพออยู่ได้ด้วยตัวของฉันเอง ส่วนเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวนั้นฉันปฏิเสธมาตลอด เพราะฉันเห็นความทุกข์ที่เกิดจากการมีครอบครัวมามาก การนอกใจ ไม่ซื่อสัตย์ การทำร้ายร่างกายและจิตใจ ปัญหาปากท้อง ปัญหาสังคม
  
         อีกทั้งฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มเกิดขึ้นตอนไหน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีความรู้สึกพิศวาสเพศตรงข้ามและฉันก็คบหากับคนเพศเดียวกันมาสิบกว่าปี ฉันไม่ได้ต่อต้านสุดโต่งว่า ชาตินี้ฉันไม่แต่งงานมีครอบครัว ฉันเคยพยายามจะชอบผู้ชายเพราะที่บ้านบังคับว่าต้องมีแฟนเป็นผู้ชายเท่านั้นพวกเขาถึงจะยอมรับ ฉันพยายามแล้วแต่ฉันทำไม่ได้ จิตใจมันไม่คล้อยตาม ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมีความรักแบบที่ต้องซ่อนไว้ให้ไกลจากครอบครัวของฉัน ความรักที่พ่อแม่และญาติๆของฉันมองว่าผิดปกติ วิปริต ผิดเพศน่ารังเกียจ สำหรับเรื่องความรักในแบบของฉัน บางทีฉันก็ฝันว่าพ่อแม่ของฉันยอมรับที่ฉันเป็นแบบนี้และให้ฉันคบกับคนรักของฉันอย่างเปิดเผย ฝันว่าฉันใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข แต่พอตื่นมาแล้วพบว่าเป็นแค่ความฝัน ฉันก็รู้สึกหดหู่มากๆและร้องไห้ออกมาในบางครั้ง  

    ดูเหมือนกับว่าชีวิตของฉันไม่มีอะไรที่ประสบความสำเร็จได้เลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำไมฉันจึงมีความรู้สึกโกรธเกลียดคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือจริงๆแล้วฉันอาจเกลียดตัวเองที่ขี้แพ้แต่ไม่กล้ายอมรับความจริง เลยเอาความเกลียดไปลงที่คนอื่นแทน เวลาที่ฉันมีเรื่องให้คิดแล้วเกิดความเครียดมากๆ มันก็จะแสดงออกมาทางร่างกายในแบบที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ ฉันพยายามปล่อยวาง หาที่พึ่ง ระบายความทุกข์ มีคนบอกว่าเข้าวัดฟังธรรม เคยลองแล้วไม่ได้ผลเพราะฉันไม่ศรัทธา จึงแทบไม่มีใครที่จะรับฟังฉัน คนในครอบครัวนี่ตัดออกไปได้เลย พวกเขาไม่มีเวลามาฟังเรื่องของฉันแน่นอน พวกเขามีครอบครัวของตัวเองที่ต้องดูแลและต้องพากันอยู่ให้รอดในสภาพสังคมและเศรษฐกิจแบบนี้ ฉันซึ่งตัวคนเดียวไม่มีภาระอะไร แค่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองให้รอดไปวันๆก็พอ จึงไม่ควรจะมีปัญหามารบกวนจิตใจคนอื่น เรื่องนี้ฉันไม่ได้คิดไปเอง ฉันเล่าแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง..จริงๆ..

    คนรักของฉันที่คบกันในตอนนี้ เขาช่วยฉันได้มาก ฉันเรียกว่าการเยียวยาสภาพจิตใจโดยการย้ายความทุกข์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ต้องขอบคุณเขา ซึ่งฉันไม่เข้าใจว่าเขาทนฉันได้ยังไง ก็ช่วงหลังมานี่ ฉันโมโหง่าย ตวาดเขา ตะคอกใส่ ปล่อยคำพูดร้ายๆใส่เขาเป็นประจำ บางครั้งก็ร้องไห้ บางครั้งก็หัวเราะ อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ฉันบอกเขาทุกเรื่องที่ฉันคิด แม้กระทั่งเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเขาฉันก็พูด ไม่เคยเก็บอารมณ์ ไม่เคยแคร์ความรู้สึก ฉันเคยถามเขาว่าทำไมเขาทนได้ เขาตอบว่าเขาไม่ได้ทน เขาเข้าใจ ซึ่งพอได้ฟังแล้วฉันรู้สึกดีมาก ฉันไม่ควรเสียเขาไป แต่แค่แปปเดียว จากนั้นฉันก็หาเรื่องเขา หาว่าเขามีคนอื่นบ้าง หาว่าเขาไม่รักฉันบ้าง แต่ลึกๆก็กลัวมากว่าถ้าวันหนึ่งเขาทำแบบนั้นจริงๆ ฉันคงไม่เหลือใคร

    ฉันเคยคุยกับเขาเรื่องไปหาหมอ ไปปรึกษานักจิตวิทยาเกี่ยวกับอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของฉัน แต่พอนัดวันที่เขาจะพาฉันไป ฉันก็เปลี่ยนใจ ด้วยเหตุปัจจัยสองสามอย่าง คือ เงิน เวลา สภาพอารมณ์และร่างกายของฉันจะที่เหมือนดีขึ้นแล้ว แต่ไม่เลย สักพักมันก็กลับมาอีก สรุปแล้วฉันเป็นอะไร บางคนอาจคิดว่าคำถามนี้ตลกดี ตัวเองเป็นอะไรทำไมถึงจะไม่รู้ ฉันคิดว่าฉันป่วย ใช่รึเปล่า? แล้วฉันต้องรักษาตัวเองอย่างไร หรือถ้าฉันไม่ป่วย แล้วฉันเป็นอะไร ฉันคิดมากไปเอง เพ้อเจ้อไปเอง แล้วต้องแก้อย่างไร หรือฉันแค่ต้องการระบาย ฉันควรทำอย่างไร มีใครเป็นแบบนี้บางไหม สุดท้ายแล้วลงเอยอย่างไร
    
   ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอ่านและตอบกระทู้ของฉันนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่