ได้รู้ข้อมูลนี้แล้วก็รู้สึก 2 อย่างค่ะ คือ อึ้ง และรู้สึกมีหวัง 55
ใครอยากดูรายละเอียด ก็ลอง google ด้วยคำว่า "เซี่ยงไฮ้ ประทัด" ก็ได้ค่ะ
มีข้อมูลหลายแหล่งพอสมควรค่ะ
สรุปคร่าวๆ คือ
1. มีปัญหาเรื่องมลพิษทางเสียง/ทางอากาศ ในหลายเมืองของจีนมาหลายปีแล้ว ก็มีการห้ามจุดประทัด หรืออื่นๆ
2. มีปัญหาเรื่องเกิดอุบัติเหตุ หรือไฟไหม้ จากประทัดมากมายในจีน
ที่เราอึ้งคือ ในจีนเอง แม้จะเป็นความเชื่อ/ประเพณีสำคัญของเค้า คือเมืองจีนอะค่ะ
ประเทศเค้าก็เต็มไปด้วย "คนจีน" แน่นอน 555 แต่เมื่อมันสร้างปัญหา
ก็สมควรปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ค่ะ แน่นอนค่ะว่า มันก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วยแหละค่ะ
แต่ถ้าพิจารณาแล้ว เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ต้องรณรงค์ และบังคับใช้มาตรการห้าม
หันมามองประเทศนี้ เราก็แอบมีหวังว่า ประเพณี ความเชื่อ ธรรมเนียมอะไรที่ถูกฝังหัวไว้
หากมันมีโทษต่อสังคม ก็ควรจะปรับเปลี่ยน แก้ไขได้เช่นกันค่ะ
ไม่ว่าจะสงกรานต์ ลอยกระทง ฯลฯ ที่มันบานปลาย สร้างปัญหามากมาย
ไม่ได้บอกว่าให้เลิกทำโดยเด็ดขาด แต่ลองพิจารณาหาทางออกที่เหมาะสมดูค่ะ ว่าจะปรับเปลี่ยน หรือจะอะไรยังไง
แน่นอนค่ะว่า มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมากมาย มีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์มากมายเช่นกัน
แต่ในโลกยุคนี้แล้ว ทรัพยากรธรรมชาติก็ร่อยหรอ สภาพแวดล้อมโลกก็แย่ลง
การที่ผู้คนแห่ไปทำอะไรเยอะๆ พร้อมๆ กันในเทศกาล หรือในช่วงเวลาใดเวลานึง มันก็สร้างปัญหาไม่น้อยนะคะ
สำหรับประเทศนี้ เราว่าพูดคุยกันได้ รณรงค์กันได้ ปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆ ได้ค่ะ
หรืออาจจะต้องประกอบกับการพิจารณาให้รอบคอบแล้วต้องมีกฎหมายออกมาบังคับด้วยค่ะ
ไม่งั้นก็ไม่ได้รับความร่วมมือมากเท่าไหร่ การมีกฏกติกาของสังคม และการบังคับใช้ที่เข้มงวดก็จะช่วยได้ค่ะ
ก็ต้องทำหลายอย่างประกอบกันไปค่ะ
ปล. วันก่อน เราเห็นข่าว ศาลเจ้าจีนในไทยที่พยายามจะรณรงค์ให้คนมาไหว้เจ้าจุดธูปน้อยลง
หรือครอบครัวไทยเชื้อสายจีน ใช้เทียนและธูปไฟฟ้า ไม่เผากระดาษในวันเทศกาล
แล้วเอาเงินที่จะไปซื้อกระดาษเผา ไปทำบุญทำทานแทน
หรืออากงวัย 80 ปีกว่า บอกว่า ทำใจยาก ในการงดทำพิธีกรรมตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมานาน
แต่พอฟังเหตุผลแล้ว อากงก็เข้าใจ ยอมรับได้ มองเห็นหลานตัวน้อยๆ แล้วสงสารหลานที่จะต้องมาดมควันต่างๆ
...... ฯลฯ
ปล. 2 เราก็คนไทยเชื้อสายจีนค่ะ ที่บ้านก็พูดคุยกันมาหลายปีแล้ว
เริ่มจากใช้ธูปที่ควันน้อย ไร้สารพิษ แล้วในที่สุดก็เป็นการงดการจุดธูปเทียนไปเลย
เวลาครอบครัวไหว้พระ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการไม่จุดธูปเทียน แล้วจะขาดความสงบเย็น หรือขาดการสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป 55
ก็ได้ความสงบเย็นกว่าเดิม เพราะส่วนใหญ่ก็จะเคืองตาแสบตากับควันต่างๆ อยู่แล้ว
ถ้าจะมองวิกฤติเป็นโอกาส ก็ต้องบอกว่า ปัญหาทางอากาศในกทม.นี้ ทำให้ผู้คนตื่นตัวมากขึ้น
ไม่งั้นใครจะบอก จะเตือนอะไร ก็ไม่ค่อยมีใครฟังกันเท่าไหร่ค่ะ
ก็ช่วยๆ กัน ในภาคประชาชน คนละนิดละหน่อยละกันค่ะ
โดยส่วนตัวแล้ว เราเห็นด้วยกับการมีองค์กร หรือหน่วยงานใดๆ ก็ได้จากส่วนกลาง จากเอกชน
มาเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์ ความเชื่อและค่านิยมมันเปลี่ยนกันได้ค่ะ ค่อยๆ ให้ความรู้กันไป ปลูกฝังกันไป
รวมทั้งการมีกฎหมาย (เน้นว่า พิจารณาอย่างรอบคอบเหมาะสมแล้ว) แล้วก็บังคับใช้ให้จริงจัง
ให้มันรู้ไปว่า ค่านิยม หรือความเชื่อ ธรรมเนียมอะไรที่ส่งผลเสียต่อสังคม มันจะไม่ลดลง ใน 1-2 ปี
ใน 3-5 ปี หรือในไม่เกิน 10 ปี มันเปลี่ยนกันได้ค่ะ สู้ๆ ไทยแลนด์ ปู้นๆๆๆ 55
เซี่ยงไฮ้ห้ามจุดประทัดรับตรุษจีน สำเร็จงดงามเป็นปีที่สาม!!
ใครอยากดูรายละเอียด ก็ลอง google ด้วยคำว่า "เซี่ยงไฮ้ ประทัด" ก็ได้ค่ะ
มีข้อมูลหลายแหล่งพอสมควรค่ะ
สรุปคร่าวๆ คือ
1. มีปัญหาเรื่องมลพิษทางเสียง/ทางอากาศ ในหลายเมืองของจีนมาหลายปีแล้ว ก็มีการห้ามจุดประทัด หรืออื่นๆ
2. มีปัญหาเรื่องเกิดอุบัติเหตุ หรือไฟไหม้ จากประทัดมากมายในจีน
ที่เราอึ้งคือ ในจีนเอง แม้จะเป็นความเชื่อ/ประเพณีสำคัญของเค้า คือเมืองจีนอะค่ะ
ประเทศเค้าก็เต็มไปด้วย "คนจีน" แน่นอน 555 แต่เมื่อมันสร้างปัญหา
ก็สมควรปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ค่ะ แน่นอนค่ะว่า มันก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วยแหละค่ะ
แต่ถ้าพิจารณาแล้ว เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ต้องรณรงค์ และบังคับใช้มาตรการห้าม
หันมามองประเทศนี้ เราก็แอบมีหวังว่า ประเพณี ความเชื่อ ธรรมเนียมอะไรที่ถูกฝังหัวไว้
หากมันมีโทษต่อสังคม ก็ควรจะปรับเปลี่ยน แก้ไขได้เช่นกันค่ะ
ไม่ว่าจะสงกรานต์ ลอยกระทง ฯลฯ ที่มันบานปลาย สร้างปัญหามากมาย
ไม่ได้บอกว่าให้เลิกทำโดยเด็ดขาด แต่ลองพิจารณาหาทางออกที่เหมาะสมดูค่ะ ว่าจะปรับเปลี่ยน หรือจะอะไรยังไง
แน่นอนค่ะว่า มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมากมาย มีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์มากมายเช่นกัน
แต่ในโลกยุคนี้แล้ว ทรัพยากรธรรมชาติก็ร่อยหรอ สภาพแวดล้อมโลกก็แย่ลง
การที่ผู้คนแห่ไปทำอะไรเยอะๆ พร้อมๆ กันในเทศกาล หรือในช่วงเวลาใดเวลานึง มันก็สร้างปัญหาไม่น้อยนะคะ
สำหรับประเทศนี้ เราว่าพูดคุยกันได้ รณรงค์กันได้ ปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆ ได้ค่ะ
หรืออาจจะต้องประกอบกับการพิจารณาให้รอบคอบแล้วต้องมีกฎหมายออกมาบังคับด้วยค่ะ
ไม่งั้นก็ไม่ได้รับความร่วมมือมากเท่าไหร่ การมีกฏกติกาของสังคม และการบังคับใช้ที่เข้มงวดก็จะช่วยได้ค่ะ
ก็ต้องทำหลายอย่างประกอบกันไปค่ะ
ปล. วันก่อน เราเห็นข่าว ศาลเจ้าจีนในไทยที่พยายามจะรณรงค์ให้คนมาไหว้เจ้าจุดธูปน้อยลง
หรือครอบครัวไทยเชื้อสายจีน ใช้เทียนและธูปไฟฟ้า ไม่เผากระดาษในวันเทศกาล
แล้วเอาเงินที่จะไปซื้อกระดาษเผา ไปทำบุญทำทานแทน
หรืออากงวัย 80 ปีกว่า บอกว่า ทำใจยาก ในการงดทำพิธีกรรมตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมานาน
แต่พอฟังเหตุผลแล้ว อากงก็เข้าใจ ยอมรับได้ มองเห็นหลานตัวน้อยๆ แล้วสงสารหลานที่จะต้องมาดมควันต่างๆ
...... ฯลฯ
ปล. 2 เราก็คนไทยเชื้อสายจีนค่ะ ที่บ้านก็พูดคุยกันมาหลายปีแล้ว
เริ่มจากใช้ธูปที่ควันน้อย ไร้สารพิษ แล้วในที่สุดก็เป็นการงดการจุดธูปเทียนไปเลย
เวลาครอบครัวไหว้พระ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการไม่จุดธูปเทียน แล้วจะขาดความสงบเย็น หรือขาดการสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป 55
ก็ได้ความสงบเย็นกว่าเดิม เพราะส่วนใหญ่ก็จะเคืองตาแสบตากับควันต่างๆ อยู่แล้ว
ถ้าจะมองวิกฤติเป็นโอกาส ก็ต้องบอกว่า ปัญหาทางอากาศในกทม.นี้ ทำให้ผู้คนตื่นตัวมากขึ้น
ไม่งั้นใครจะบอก จะเตือนอะไร ก็ไม่ค่อยมีใครฟังกันเท่าไหร่ค่ะ
ก็ช่วยๆ กัน ในภาคประชาชน คนละนิดละหน่อยละกันค่ะ
โดยส่วนตัวแล้ว เราเห็นด้วยกับการมีองค์กร หรือหน่วยงานใดๆ ก็ได้จากส่วนกลาง จากเอกชน
มาเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์ ความเชื่อและค่านิยมมันเปลี่ยนกันได้ค่ะ ค่อยๆ ให้ความรู้กันไป ปลูกฝังกันไป
รวมทั้งการมีกฎหมาย (เน้นว่า พิจารณาอย่างรอบคอบเหมาะสมแล้ว) แล้วก็บังคับใช้ให้จริงจัง
ให้มันรู้ไปว่า ค่านิยม หรือความเชื่อ ธรรมเนียมอะไรที่ส่งผลเสียต่อสังคม มันจะไม่ลดลง ใน 1-2 ปี
ใน 3-5 ปี หรือในไม่เกิน 10 ปี มันเปลี่ยนกันได้ค่ะ สู้ๆ ไทยแลนด์ ปู้นๆๆๆ 55