เครดิตบทความโดย Investdiary
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้รับคำแนะนำจากนักลงทุนรายใหญ่ท่านหนึ่งเกี่ยวกับการติดตามตลาดหุ้น
ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ท่านนี้ลงทุนแนวพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งคล้ายคลึงกับหลักการที่ผมใช้ในการลงทุนปัจจุบัน
คำแนะนำที่สำคัญที่สุดจากนักลงทุนท่านนี้ก็คือการเปิดจอหุ้นให้น้อยลง
"หุ้นที่จะขึ้น มักใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการปรับตัว"
"แต่ถ้าเราพยายามไปลุ้นว่าหุ้นจะขึ้นทุกๆวัน จะกลายเป็นว่าแต่ละปีเราอาจจะต้องทนทุกข์ 300 วัน แลกกับความสุขเพียง 10 - 20 วัน"
.
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผมเองก็เห็นด้วยอย่างมาก ผมพบว่าการติดตามราคาหุ้นทุกๆวันทำให้เราเป็นทุกข์มากกว่า เพราะเราจะน้อยใจหากหุ้นไม่ขึ้นบ้าง
หลังจากนั้นมาผมจึงปิดจอหุ้นลงโดยไม่ได้ติดตามราคาใกล้ชิดมากนัก และหันไปสนใจข้อมูลข่าวสารรวมถึงกิจกรรมอื่นๆมากขึ้น
หลังจากที่ปิดจอหุ้นไปร่วมเดือน ทุกๆวันทำให้ผมได้มีเวลาคิดเรื่องอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุและผลของการลงทุน ผมรวบรวมบทเรียนออกมาได้ประมาณ 10 ข้อ
ใจเย็นมากขึ้น
ผมพบว่าความใจร้อนนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนแล้ว ยังส่งผลไม่ดีต่อไปในอีกหลายๆเรื่อง
ความใจร้อนจะทำให้เราพลาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเราจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
การปิดจอหุ้นทำให้เรามีสภาวะจิตใจที่มั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความใจเย็นในการลงทุนมากขึ้นด้วย
รอบคอบมากขึ้น
การลงทุนระยะยาวต้องอาศัยความรอบคอบอย่างมากในการลงทุนแต่ละครั้ง หากเรามีความใจเย็น ย่อมส่งผลทำให้เราไม่รีบร้อนตัดสินใจ
การตัดสินใจเฉพาะเหตุการณ์สำคัญไม่โลเลเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน
มองภาพธุรกิจได้ดีขึ้น
เมื่อเราเลิกติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด เราจะพบว่าธุรกิจกับราคาเป็นคนละเรื่องกัน
ถึงแม้ราคาหุ้นในระยะสั้นอาจจะสามารถขึ้นลงอย่างผันผวน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นอย่างสอดคล้องกัน
นักลงทุนสามารถหาปัจจัยที่สำคัญของธุรกิจ และพิจารณาหาความสอดคล้องกับราคาหุ้นได้ดีขึ้น
ความผันผวนของราคาหุ้นมีผลน้อยลง
ตลาดหุ้นมีความอันตรายอย่างมากในระยะสั้น หลักการนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนระยะยาวทุกคนรู้เป็นอย่างดี
ในระยะสั้น หุ้นจะเคลื่อนไหวตามอารมณ์ของตลาด แต่ระยะยาวหุ้นจะเคลื่อนไหวตามผลประกอบการ
หากเราไม่ได้ติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด มีแนวโน้มที่ดีที่เราจะสามารถก้าวข้ามราคาที่ผันผวนดังกล่าวได้
ความโลภลดลง
แน่นอนว่าการปิดจอหุ้นจะทำให้เราลืมเรื่องของราคาหุ้น และความผันผวนของราคาหุ้นจะมีผลน้อยลง
การขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นปัจจัยที่สำคัญทำให้นักลงทุนเกิดความกลัวและความโลภ ดังนั้น การปิดจอหุ้นจึงทำให้เราสามารถเลิกคิดถึงอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างมาก
มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
นักลงทุนจะไม่ถูกระยะเวลาและผลตอบแทนที่คาดหวังบีบบังคับกลยุทธ์ในการลงทุน
แปลว่านักลงทุนมีความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์การลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการใส่ความคิดสร้างสรรค์สำหรับการลงทุน
มีสติและเหตุผลมากขึ้น
เมื่อคนอยากซื้อหุ้น หุ้นก็จะขึ้น และเมื่อคนอยากขายหุ้น หุ้นก็จะลง ซึ่งการขึ้นลงในหลายๆครั้งก็ไม่ได้มาจากพื้นฐานของบริษัท
นักลงทุนที่ไม่ติดตามราคาหุ้นบ่อยจะสามารถแยกแยะการขึ้นลงของราคาหุ้นกับพื้นฐานของบริษัทได้ดีขึ้น
เหตุการณ์ที่วัดสติมากที่สุดคือตอนตลาดตกใจขายหุ้น นักลงทุนที่มีสติจะไม่ตกใจตามตลาด แต่จะพิจารณาเหตุผลให้รอบคอบเพื่อดูว่าเป็นวิกฤตหรือโอกาส
มีเวลาวางแผนกลยุทธ์การลงทุนมากขึ้น
มีคำกล่าวว่ากลยุทธ์เข้าซื้อไม่สำคัญเท่ากลยุทธ์ขายออก แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน
หากนักลงทุนไม่ติดตามราคาหุ้นบ่อยนัก นักลงทุนจะมีเวลาวางกลยุทธ์เหล่านี้อย่างรอบคอบมากขึ้น
จิตใจมั่นคงขึ้น
นักลงทุนที่ดีจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งต่อหลักการลงทุนของตนเองไม่กลับไปกลับมาบ่อยครั้ง
หากนักลงทุนยังยึดติดกับราคาหุ้นมากเกินไป มีแนวโน้มที่จะถูกความผันผวนของราคาหุ้นเล่นงานจิตใจได้ง่ายๆ
หากนักลงทุนต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน การติดตามราคาหุ้นให้น้อยลง จะช่วยให้มีจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้น พร้อมรับมือต่อวิกฤตได้โดยไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
มีความสุขมากขึ้น
ข้อนี้สำคัญที่สุด โดยพื้นฐานแล้วหากเรามีความสุขในการทำอะไรสักอย่าง เราจะสามารถทำสิ่งนั้นไปยาวนาน
นอกจากนี้ ชีวิตในมุมอื่นๆของนักลงทุนจะมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้นอีกด้วย เพราะทั้งหมดของชีวิตไม่ได้มีเพียงการลงทุน
ทั้งหมดที่กล่าวมาจะเป็นผลดีกับการลงทุนของเราในระยะยาว และจะไม่เห็นผลในระยะสั้น
ยิ่งเราสามารถใช้เวลาในการลงทุนมากขึ้น เมื่อระยะเวลาผ่านไปผลตอบแทนทบต้นของเราจะยิ่งทวีคูณมากขึ้น
ซึ่งหลักการผลตอบแทนทบต้นนี้เป็นหลักการลงทุนข้อแรกที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกๆคน
ข้อควรระวังคือ ถึงแม้ข้อดีจะมีมากมายหากเราปิดจอหุ้นลงและติดตามหุ้นด้วยเหตุผลมากขึ้น แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนและวิธีการลงทุนเสมอไป
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ วิธีดังกล่าวจะไม่เห็นผลเพียงในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หากเราคาดหวังที่จะรวยอย่างรวดเร็ว นักลงทุนควรหาวิธีอื่นแทน
บางทีถ้าเราเดินในที่มืดๆโดยไม่มีไฟฉาย มองไปก็เท่านั้นอาจจะเกิดภาพหลอนได้ แต่ถ้ามีเทคนิคคอลที่ดี การเดินในที่มืด อาจจะเหมือนกับมีไฟฉาย ฉายไปข้างหน้า ทำให้เดินได้ถึงที่หมายแบบสบายใจก็ได้ ซึ่งมันอาจจะทำให้เราทนถือหุ้นได้นาน โดยที่กำไรไม่สูญเสียไประหว่างทางการลงทุน
10 บทเรียน เมื่อปิดจอหุ้น
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้รับคำแนะนำจากนักลงทุนรายใหญ่ท่านหนึ่งเกี่ยวกับการติดตามตลาดหุ้น
ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ท่านนี้ลงทุนแนวพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งคล้ายคลึงกับหลักการที่ผมใช้ในการลงทุนปัจจุบัน
คำแนะนำที่สำคัญที่สุดจากนักลงทุนท่านนี้ก็คือการเปิดจอหุ้นให้น้อยลง
"หุ้นที่จะขึ้น มักใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการปรับตัว"
"แต่ถ้าเราพยายามไปลุ้นว่าหุ้นจะขึ้นทุกๆวัน จะกลายเป็นว่าแต่ละปีเราอาจจะต้องทนทุกข์ 300 วัน แลกกับความสุขเพียง 10 - 20 วัน"
.
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผมเองก็เห็นด้วยอย่างมาก ผมพบว่าการติดตามราคาหุ้นทุกๆวันทำให้เราเป็นทุกข์มากกว่า เพราะเราจะน้อยใจหากหุ้นไม่ขึ้นบ้าง
หลังจากนั้นมาผมจึงปิดจอหุ้นลงโดยไม่ได้ติดตามราคาใกล้ชิดมากนัก และหันไปสนใจข้อมูลข่าวสารรวมถึงกิจกรรมอื่นๆมากขึ้น
หลังจากที่ปิดจอหุ้นไปร่วมเดือน ทุกๆวันทำให้ผมได้มีเวลาคิดเรื่องอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุและผลของการลงทุน ผมรวบรวมบทเรียนออกมาได้ประมาณ 10 ข้อ
ใจเย็นมากขึ้น
ผมพบว่าความใจร้อนนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนแล้ว ยังส่งผลไม่ดีต่อไปในอีกหลายๆเรื่อง
ความใจร้อนจะทำให้เราพลาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเราจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
การปิดจอหุ้นทำให้เรามีสภาวะจิตใจที่มั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความใจเย็นในการลงทุนมากขึ้นด้วย
รอบคอบมากขึ้น
การลงทุนระยะยาวต้องอาศัยความรอบคอบอย่างมากในการลงทุนแต่ละครั้ง หากเรามีความใจเย็น ย่อมส่งผลทำให้เราไม่รีบร้อนตัดสินใจ
การตัดสินใจเฉพาะเหตุการณ์สำคัญไม่โลเลเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน
มองภาพธุรกิจได้ดีขึ้น
เมื่อเราเลิกติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด เราจะพบว่าธุรกิจกับราคาเป็นคนละเรื่องกัน
ถึงแม้ราคาหุ้นในระยะสั้นอาจจะสามารถขึ้นลงอย่างผันผวน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นอย่างสอดคล้องกัน
นักลงทุนสามารถหาปัจจัยที่สำคัญของธุรกิจ และพิจารณาหาความสอดคล้องกับราคาหุ้นได้ดีขึ้น
ความผันผวนของราคาหุ้นมีผลน้อยลง
ตลาดหุ้นมีความอันตรายอย่างมากในระยะสั้น หลักการนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนระยะยาวทุกคนรู้เป็นอย่างดี
ในระยะสั้น หุ้นจะเคลื่อนไหวตามอารมณ์ของตลาด แต่ระยะยาวหุ้นจะเคลื่อนไหวตามผลประกอบการ
หากเราไม่ได้ติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด มีแนวโน้มที่ดีที่เราจะสามารถก้าวข้ามราคาที่ผันผวนดังกล่าวได้
ความโลภลดลง
แน่นอนว่าการปิดจอหุ้นจะทำให้เราลืมเรื่องของราคาหุ้น และความผันผวนของราคาหุ้นจะมีผลน้อยลง
การขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นปัจจัยที่สำคัญทำให้นักลงทุนเกิดความกลัวและความโลภ ดังนั้น การปิดจอหุ้นจึงทำให้เราสามารถเลิกคิดถึงอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างมาก
มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
นักลงทุนจะไม่ถูกระยะเวลาและผลตอบแทนที่คาดหวังบีบบังคับกลยุทธ์ในการลงทุน
แปลว่านักลงทุนมีความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์การลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการใส่ความคิดสร้างสรรค์สำหรับการลงทุน
มีสติและเหตุผลมากขึ้น
เมื่อคนอยากซื้อหุ้น หุ้นก็จะขึ้น และเมื่อคนอยากขายหุ้น หุ้นก็จะลง ซึ่งการขึ้นลงในหลายๆครั้งก็ไม่ได้มาจากพื้นฐานของบริษัท
นักลงทุนที่ไม่ติดตามราคาหุ้นบ่อยจะสามารถแยกแยะการขึ้นลงของราคาหุ้นกับพื้นฐานของบริษัทได้ดีขึ้น
เหตุการณ์ที่วัดสติมากที่สุดคือตอนตลาดตกใจขายหุ้น นักลงทุนที่มีสติจะไม่ตกใจตามตลาด แต่จะพิจารณาเหตุผลให้รอบคอบเพื่อดูว่าเป็นวิกฤตหรือโอกาส
มีเวลาวางแผนกลยุทธ์การลงทุนมากขึ้น
มีคำกล่าวว่ากลยุทธ์เข้าซื้อไม่สำคัญเท่ากลยุทธ์ขายออก แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน
หากนักลงทุนไม่ติดตามราคาหุ้นบ่อยนัก นักลงทุนจะมีเวลาวางกลยุทธ์เหล่านี้อย่างรอบคอบมากขึ้น
จิตใจมั่นคงขึ้น
นักลงทุนที่ดีจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งต่อหลักการลงทุนของตนเองไม่กลับไปกลับมาบ่อยครั้ง
หากนักลงทุนยังยึดติดกับราคาหุ้นมากเกินไป มีแนวโน้มที่จะถูกความผันผวนของราคาหุ้นเล่นงานจิตใจได้ง่ายๆ
หากนักลงทุนต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน การติดตามราคาหุ้นให้น้อยลง จะช่วยให้มีจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้น พร้อมรับมือต่อวิกฤตได้โดยไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
มีความสุขมากขึ้น
ข้อนี้สำคัญที่สุด โดยพื้นฐานแล้วหากเรามีความสุขในการทำอะไรสักอย่าง เราจะสามารถทำสิ่งนั้นไปยาวนาน
นอกจากนี้ ชีวิตในมุมอื่นๆของนักลงทุนจะมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้นอีกด้วย เพราะทั้งหมดของชีวิตไม่ได้มีเพียงการลงทุน
ทั้งหมดที่กล่าวมาจะเป็นผลดีกับการลงทุนของเราในระยะยาว และจะไม่เห็นผลในระยะสั้น
ยิ่งเราสามารถใช้เวลาในการลงทุนมากขึ้น เมื่อระยะเวลาผ่านไปผลตอบแทนทบต้นของเราจะยิ่งทวีคูณมากขึ้น
ซึ่งหลักการผลตอบแทนทบต้นนี้เป็นหลักการลงทุนข้อแรกที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกๆคน
ข้อควรระวังคือ ถึงแม้ข้อดีจะมีมากมายหากเราปิดจอหุ้นลงและติดตามหุ้นด้วยเหตุผลมากขึ้น แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนและวิธีการลงทุนเสมอไป
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ วิธีดังกล่าวจะไม่เห็นผลเพียงในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หากเราคาดหวังที่จะรวยอย่างรวดเร็ว นักลงทุนควรหาวิธีอื่นแทน
บางทีถ้าเราเดินในที่มืดๆโดยไม่มีไฟฉาย มองไปก็เท่านั้นอาจจะเกิดภาพหลอนได้ แต่ถ้ามีเทคนิคคอลที่ดี การเดินในที่มืด อาจจะเหมือนกับมีไฟฉาย ฉายไปข้างหน้า ทำให้เดินได้ถึงที่หมายแบบสบายใจก็ได้ ซึ่งมันอาจจะทำให้เราทนถือหุ้นได้นาน โดยที่กำไรไม่สูญเสียไประหว่างทางการลงทุน