สวัสดีค่ะ เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปดู The last Emperpor (จักรพรรดิโลกไม่ลืม) หลายท่านน่าจะคุ้นตากับโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่มีหน้าเด็กชายชาวจีนใส่ชุดสีเหลืองมังกร ตัดภาพแบบลอยๆ ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ อยู่หน้าพระราชวังต้องห้ามกันบ้างละ ยอมรับเลยว่าตอนเห็นโปสเตอร์รู้สึกว่ามันไม่น่าดูสักเท่าไหร่ ยิ่งทราบอีกว่าหนังเข้าฉายตั้งแต่ปี 1987 ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นหนังจีนที่แบบภาพไม่ค่อยชัดแน่ๆ จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้คือ มีคนสปอยว่าหนังเข้าชิงออสการ์ 9 ตัว และก็ได้ออสก้าร์ทั้ง 9 ตัวเลย ทั้งที่ผู้กำกับเป็นฝรั่ง คนทำซาวน์เป็นญี่ปุ่น และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เข้าไปถ่ายทำในพระราชวังต้องห้ามของจีนอีกด้วย
The Last Emperor เป็นผลงานการกำกับของ Bernardo Bertolucci ผู้กำกับชาวอิตาลี เนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตของ “จักรพรรดิผู่อี๋” ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระนางซูสีไทเฮาให้เป็นจักรพรรดิด้วยวัยเพียง 3 พรรษา เนื่องด้วยประเทศจีนในช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองหลายรูปแบบ ตัวจักรพรรดิผู่อี๋เองก็ยังเด็กมากจึงถูกบังคับให้สละราชสมบัติ แต่ก็ยังมีฐานะเป็นจักรพรรดิที่อยู่หลังกำแพงพระราชวังต้องห้าม เขาไม่เคยได้ออกมาเห็นโลกภายนอก อีกทั้งต้องทำตามสิ่งที่เหล่าขันทีและพระสนมแนะนำโดยไม่มีสิทธิออกความคิดเห็น แม้กระทั่งการเลือกคู่ชีวิตของตนเอง เนื้อเรื่องดำเนินสลับไปมาระหว่างชีวิตในวัยเด็กที่เขาอาศัยอยู่ในพระราชวังต้องห้าม และชีวิตของจักรพรรดิผู่อี๋ที่กลายเป็นนายผู่อี๋ในสถานกักกันแห่งหนึ่งในสาธารณะรัฐประชาชนจีน ทำให้คนดูอย่างเราอยากจะรู้ต้นและจับมาชนกับปลายลำดับชีวิตของเขา จึงทำให้ 3 ชั่วโมงที่นั่งอยู่ในโรงหนังไม่น่าเบื่อเลยสักวินาทีเดียว
เนื้อเรื่อง ตอนที่เข้มข้นที่สุดคือช่วงหลังจากที่จักรพรรดิผู่อี๋อภิเษกสมรส ต้องออกจากพระราชวังต้องห้ามตามคำสั่งของพวกทหารที่เขามายึดอำนาจ เขาต้องเสียเงินทองมรดกจำนวนมากเพื่อผูกมิตรไมตรีกับพวกนายพลญี่ปุ่น ด้วยความไม่มีอิสระทางความคิดตั้งแต่เด็กก็ยิ่งทำให้ผู่อี๋เริ่มอยากจะปกครองและมีสิทธิมีเสียงเป็นของตนเอง เขาตัดสินใจผูกมิตรกับจักรพรรดิของญี่ปุ่น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังทำร้ายแมนจูกัว ประเทศอันเป็นที่รักของตนและเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่ใช้ระบบฮ่องเต้ปกครองประเทศจีนมาแล้วกว่า 4,000 ปี รู้ตัวอีกทีเขาก็หมดสินแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งคนที่เขารักและไว้ใจอย่างพระมเหสี หรือยศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นนายผู่อี๋คนสวนในช่วงปลายของชีวิตนั่นเอง
หนังเรื่องนี้คือความงดงามที่ชีวิตนี้ไม่รู้เราจะหาหนังเรื่องไหนมาเทียบได้อีกหรือเปล่า มันคือการประสานกันอย่างลงตัวศาสตร์และศิลป์ในการกำกับการแสดง นักแสดง เสื้อผ้า ซาวน์ดนตรี และพร็อพในแต่ละฉาก มันดูจริงไปเสียหมด แม้แต่ผู้ร่วมฉากจำนวน 19,000 คนก็ไม่ดูเกะกะ มันสมูทและกลมกล่อมมากๆ ส่วนตัวเราชอบนักแสดง 4 หนุ่มที่รับบทผู่อี๋ในวัย 3 ขวบ 7 ขวบ 15 ปี และวัยผู้ใหญ่จนถึงเสียชีวิต 4 หนุ่มมีความคล้ายคลึงกันมาก สามารถแสดงได้สมบทบาทในช่วงวัยของตนเอง แม้ว่าออสการ์ทั้ง 9 ตัวที่ได้มาจะไม่มีรางวัลนักแสดงก็ตาม แต่เรารู้สึกได้ถึงความพยายามและใส่ใจของผู้กำกับที่ออดิชั่นนักแสดงมาได้เป็นอย่างดี
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้เด่นไม่แพ้กันเลยคือเครื่องแต่งการของนักแสดง ตอนเรานั่งดูยังแอบคิดอยู่ในใจเลยว่านั่นผ้าไหมนิ ลงทุนไปเท่าไหร่กันนะกว่าจะทำออกมาได้สวยขนาดนี้ จึงไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมมาค่ะ ปรากฏว่า “เราโดนหลอก” เจมส์ แอชีสัน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้นักแสดงกว่า 10,500 ชิ้น เล่าว่าด้วยงบประมาณที่จำกัดทำให้ไม่สามารถใช้ผ้าไหมในการตัดเครื่องแต่งกายให้นักแสดงได้ครบ เขาจึงใช้เทคนิคการใช้ด้ายอลูมิเนียมปักลงไปบนผ้าไหมเทียม แล้วนำมาเคลือบด้วยโลหะบางๆ อีกชั้นเพื่อให้เกิดประกายเมื่อกล้องจับ (ข้อมูลจาก Documentary) แน่นอนว่าผลงานระดับนี้ทำให้เขาเป็นเจ้าของออสก้าร์สาขาเครื่องแต่งกายไปเลยทันที
หากไม่พูดถึงเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์เลยก็คงไม่ได้อีก เพราะมันคือส่วนประกอบสำคัญของเรื่องที่ทำให้คนดูอย่างเราขนลุกหลายรอบมาก ริวอิจิ ซากะโมโตทำเพลงบรรเลงที่ใช้เครื่องดนตรีจีนและวงออเคสตราซึ่งมาได้ถูกจังหวะเสมอ ไม่ว่าจะเป็นฉากในพระราชวังต้องห้ามที่ต้องดูยิ่งใหญ่หรือจะเป็นฉากสะเทือนอารมณ์ เสียงไวโอลินก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเหลือเกิน เพื่อนของเราทักแชทมาบอกว่า “ฉันนั่งฟังเพลงจนจบ จนหน้าจอมันมืดไปเลย” มันดีมากจริงๆ นะคะ ขอป้ายยาคนที่อยากไปดูให้ลองฟังแล้วซึมซับทำนองของมันไปกับเนื้อหาของเรื่องได้เลย
ท้ายที่สุดนี้เราจะขอพูดถึงเนื้อเรื่องอีกครั้งว่าท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนที่ได้ตัดสินใจเข้าไปดูหนังสารคดีเรื่องนี้ เราจะได้เห็นชายคนหนึ่งที่เหงาและโดดเดี่ยวที่สุด ภายใต้บัลลังก์มังกรที่ยิ่งใหญ่ ชายคนหนึ่งกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง ทั้งอิสรภาพ การตัดสินใจ และความเป็นตัวของตัวเอง “ฉันเป็นชาวสวน” ในตอนจบของเรื่องคือคำพูดที่เขามั่นใจ และเป็นตัวของตัวเองที่สุด (เฟรม,2562) สำหรับใครที่ถูกเราป้ายยาได้สำเร็จ และอยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ SF เข้าที่ CTW และเมญ่า เชียงใหม่ เพียงวันละ 1 รอบเท่านั้นนะคะ และจะเข้าฉายภายในวันที่ 31 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์เท่านั้น และแนะนำให้สำรองที่นั่งไปก่อน เต็มแน่นอนค่ะ
10/10 อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ
ฝากกดติดตามด้วยนะคะ / แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
Page : จะดูหนังอ่ะ (
https://www.facebook.com/JarDoMovie/)
Twitter : JarDoMovie (
https://twitter.com/JarDoMovie)
The Last Emperor : 31 ปีที่ยังคงประทับใจ และคราสสิคได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
สวัสดีค่ะ เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปดู The last Emperpor (จักรพรรดิโลกไม่ลืม) หลายท่านน่าจะคุ้นตากับโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่มีหน้าเด็กชายชาวจีนใส่ชุดสีเหลืองมังกร ตัดภาพแบบลอยๆ ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ อยู่หน้าพระราชวังต้องห้ามกันบ้างละ ยอมรับเลยว่าตอนเห็นโปสเตอร์รู้สึกว่ามันไม่น่าดูสักเท่าไหร่ ยิ่งทราบอีกว่าหนังเข้าฉายตั้งแต่ปี 1987 ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นหนังจีนที่แบบภาพไม่ค่อยชัดแน่ๆ จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้คือ มีคนสปอยว่าหนังเข้าชิงออสการ์ 9 ตัว และก็ได้ออสก้าร์ทั้ง 9 ตัวเลย ทั้งที่ผู้กำกับเป็นฝรั่ง คนทำซาวน์เป็นญี่ปุ่น และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เข้าไปถ่ายทำในพระราชวังต้องห้ามของจีนอีกด้วย
The Last Emperor เป็นผลงานการกำกับของ Bernardo Bertolucci ผู้กำกับชาวอิตาลี เนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตของ “จักรพรรดิผู่อี๋” ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระนางซูสีไทเฮาให้เป็นจักรพรรดิด้วยวัยเพียง 3 พรรษา เนื่องด้วยประเทศจีนในช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองหลายรูปแบบ ตัวจักรพรรดิผู่อี๋เองก็ยังเด็กมากจึงถูกบังคับให้สละราชสมบัติ แต่ก็ยังมีฐานะเป็นจักรพรรดิที่อยู่หลังกำแพงพระราชวังต้องห้าม เขาไม่เคยได้ออกมาเห็นโลกภายนอก อีกทั้งต้องทำตามสิ่งที่เหล่าขันทีและพระสนมแนะนำโดยไม่มีสิทธิออกความคิดเห็น แม้กระทั่งการเลือกคู่ชีวิตของตนเอง เนื้อเรื่องดำเนินสลับไปมาระหว่างชีวิตในวัยเด็กที่เขาอาศัยอยู่ในพระราชวังต้องห้าม และชีวิตของจักรพรรดิผู่อี๋ที่กลายเป็นนายผู่อี๋ในสถานกักกันแห่งหนึ่งในสาธารณะรัฐประชาชนจีน ทำให้คนดูอย่างเราอยากจะรู้ต้นและจับมาชนกับปลายลำดับชีวิตของเขา จึงทำให้ 3 ชั่วโมงที่นั่งอยู่ในโรงหนังไม่น่าเบื่อเลยสักวินาทีเดียว
เนื้อเรื่อง ตอนที่เข้มข้นที่สุดคือช่วงหลังจากที่จักรพรรดิผู่อี๋อภิเษกสมรส ต้องออกจากพระราชวังต้องห้ามตามคำสั่งของพวกทหารที่เขามายึดอำนาจ เขาต้องเสียเงินทองมรดกจำนวนมากเพื่อผูกมิตรไมตรีกับพวกนายพลญี่ปุ่น ด้วยความไม่มีอิสระทางความคิดตั้งแต่เด็กก็ยิ่งทำให้ผู่อี๋เริ่มอยากจะปกครองและมีสิทธิมีเสียงเป็นของตนเอง เขาตัดสินใจผูกมิตรกับจักรพรรดิของญี่ปุ่น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังทำร้ายแมนจูกัว ประเทศอันเป็นที่รักของตนและเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่ใช้ระบบฮ่องเต้ปกครองประเทศจีนมาแล้วกว่า 4,000 ปี รู้ตัวอีกทีเขาก็หมดสินแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งคนที่เขารักและไว้ใจอย่างพระมเหสี หรือยศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นนายผู่อี๋คนสวนในช่วงปลายของชีวิตนั่นเอง
หนังเรื่องนี้คือความงดงามที่ชีวิตนี้ไม่รู้เราจะหาหนังเรื่องไหนมาเทียบได้อีกหรือเปล่า มันคือการประสานกันอย่างลงตัวศาสตร์และศิลป์ในการกำกับการแสดง นักแสดง เสื้อผ้า ซาวน์ดนตรี และพร็อพในแต่ละฉาก มันดูจริงไปเสียหมด แม้แต่ผู้ร่วมฉากจำนวน 19,000 คนก็ไม่ดูเกะกะ มันสมูทและกลมกล่อมมากๆ ส่วนตัวเราชอบนักแสดง 4 หนุ่มที่รับบทผู่อี๋ในวัย 3 ขวบ 7 ขวบ 15 ปี และวัยผู้ใหญ่จนถึงเสียชีวิต 4 หนุ่มมีความคล้ายคลึงกันมาก สามารถแสดงได้สมบทบาทในช่วงวัยของตนเอง แม้ว่าออสการ์ทั้ง 9 ตัวที่ได้มาจะไม่มีรางวัลนักแสดงก็ตาม แต่เรารู้สึกได้ถึงความพยายามและใส่ใจของผู้กำกับที่ออดิชั่นนักแสดงมาได้เป็นอย่างดี
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้เด่นไม่แพ้กันเลยคือเครื่องแต่งการของนักแสดง ตอนเรานั่งดูยังแอบคิดอยู่ในใจเลยว่านั่นผ้าไหมนิ ลงทุนไปเท่าไหร่กันนะกว่าจะทำออกมาได้สวยขนาดนี้ จึงไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมมาค่ะ ปรากฏว่า “เราโดนหลอก” เจมส์ แอชีสัน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้นักแสดงกว่า 10,500 ชิ้น เล่าว่าด้วยงบประมาณที่จำกัดทำให้ไม่สามารถใช้ผ้าไหมในการตัดเครื่องแต่งกายให้นักแสดงได้ครบ เขาจึงใช้เทคนิคการใช้ด้ายอลูมิเนียมปักลงไปบนผ้าไหมเทียม แล้วนำมาเคลือบด้วยโลหะบางๆ อีกชั้นเพื่อให้เกิดประกายเมื่อกล้องจับ (ข้อมูลจาก Documentary) แน่นอนว่าผลงานระดับนี้ทำให้เขาเป็นเจ้าของออสก้าร์สาขาเครื่องแต่งกายไปเลยทันที
หากไม่พูดถึงเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์เลยก็คงไม่ได้อีก เพราะมันคือส่วนประกอบสำคัญของเรื่องที่ทำให้คนดูอย่างเราขนลุกหลายรอบมาก ริวอิจิ ซากะโมโตทำเพลงบรรเลงที่ใช้เครื่องดนตรีจีนและวงออเคสตราซึ่งมาได้ถูกจังหวะเสมอ ไม่ว่าจะเป็นฉากในพระราชวังต้องห้ามที่ต้องดูยิ่งใหญ่หรือจะเป็นฉากสะเทือนอารมณ์ เสียงไวโอลินก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเหลือเกิน เพื่อนของเราทักแชทมาบอกว่า “ฉันนั่งฟังเพลงจนจบ จนหน้าจอมันมืดไปเลย” มันดีมากจริงๆ นะคะ ขอป้ายยาคนที่อยากไปดูให้ลองฟังแล้วซึมซับทำนองของมันไปกับเนื้อหาของเรื่องได้เลย
ท้ายที่สุดนี้เราจะขอพูดถึงเนื้อเรื่องอีกครั้งว่าท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนที่ได้ตัดสินใจเข้าไปดูหนังสารคดีเรื่องนี้ เราจะได้เห็นชายคนหนึ่งที่เหงาและโดดเดี่ยวที่สุด ภายใต้บัลลังก์มังกรที่ยิ่งใหญ่ ชายคนหนึ่งกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง ทั้งอิสรภาพ การตัดสินใจ และความเป็นตัวของตัวเอง “ฉันเป็นชาวสวน” ในตอนจบของเรื่องคือคำพูดที่เขามั่นใจ และเป็นตัวของตัวเองที่สุด (เฟรม,2562) สำหรับใครที่ถูกเราป้ายยาได้สำเร็จ และอยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ SF เข้าที่ CTW และเมญ่า เชียงใหม่ เพียงวันละ 1 รอบเท่านั้นนะคะ และจะเข้าฉายภายในวันที่ 31 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์เท่านั้น และแนะนำให้สำรองที่นั่งไปก่อน เต็มแน่นอนค่ะ
10/10 อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ
ฝากกดติดตามด้วยนะคะ / แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
Page : จะดูหนังอ่ะ (https://www.facebook.com/JarDoMovie/)
Twitter : JarDoMovie (https://twitter.com/JarDoMovie)