ลงทุนหุ้น 100% ถือยาว VS ปรับพอร์ตทุกเดือน แบบไหนดีกว่ากัน
การทดลองนี้ใช้ข้อมูล 2002-2018 เป็นเวลา 17 ปี โดยลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้น SET50 ค่า PE จึงใช้ของ PE SET50
ทดลองโดยใช้แนวทาง 5 แบบคือ แบบ A จะถือหุ้นยาวไม่ทำอะไรเลย แบบ B - E จะปรับพอร์ตทุก ๆ เดือน โดยดูค่า PE เป็นหลัก แนวทางมีดังนี้ครับ
แบบ A = ลงทุนหุ้น 100% ยาวๆ ไม่ทำอะไรเลย
แบบ B1 = ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาในช่วงปกติ แต่ถ้า PE สูงจะขายออกเหลือหุ้น 40% ซื้อตราสารหนี้ 60 %
แบบ B2 = ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาในช่วงปกติ แต่ถ้า PE สูงจะขายออกเหลือหุ้น 20% ซื้อตราสารหนี้ 80 %
แบบ C = ลงทุนหุ้น โดยปรับสัดส่วนตามค่า PE ดังนี้ ช่วง PE ต่ำ ถือหุ้น 95% ตราสารหนี้ 5 % ช่วงปกติ ถือหุ้น 75% ตราสารหนี้ 25 % ช่วง PE สูง ถือหุ้น 30% ตราสารหนี้ 70 %
แบบ D= ลงทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50%
แบบ E = ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาในช่วงปกติ แต่ถ้า PE สูงจะขายออกเหลือหุ้น 50% ซื้อตราสารหนี้ 50 % โดยคำนวณ PE ที่มาจาก EPS เฉลี่ย
ผลการทดลองน่าสนใจมากครับ เป็นดังภาพนี้
สรุป
แบบ A ลงทุนหุ้น 100% ไม่ทำอะไรเลย จะได้ผลตอบแทนมากที่สุด จาก 100,000 บาท กลายเป็น 867,776.35 บาท ใน 17 ปีครับ
แบบที่ปรับพอร์ททุกเดือนได้ผลตอบแทนน้อยกว่า (ก่อนทดลอง โดยส่วนตัวคิดว่าปรับพอร์ทน่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่า ตอนนี้ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ 555)
แบบ B2 กับ C ซึ่งเป็นแบบปรับพอร์ต เวลาหุ้นลง พอร์ตจะลงน้อยกว่า ผันผวนน้อยกว่า เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากให้ราคาผันผวนมากครับ
ข้อดีสำหรับการถือหุ้น 100% ถือยาวๆ คือ เราไม่ต้องมานั่งดูราคาตลาดมาก ทำให้ไม่เกิดอารมณ์กลัว กล้า โลภ กังวล ร่วมกับสภาวะตลาด
การประยุกต์ใช้
นำเงินที่เป็นเงินเย็นจริงๆ ลงทุนหุ้นให้เต็ม 100% แล้วลงทุนให้ยาวนานที่สุด ไม่ต้องทำอะไรกับพอร์ทเลย ถ้ามีเงินก็ซื้อเพิ่มเรื่อย ๆ หรือ DCA เรื่อย ๆ เก็บไว้เป็นมรดก จะขายเฉพาะตอนที่เราอยากนำเงินนั้นมาสร้างความสุขหรือช่วงที่เราจำเป็นต้องใช้
ลงทุนได้ในกองทุนหุ้น ถ้าถือยาวๆ ก็อาจจะเป็นกองทุน SET50
ถ้าเป็นหุ้นรายตัวก็คงต้องเลือกบริษัทที่ยอดเยี่ยมมากจนเรามั่นใจที่จะถือยาว ลงทุนกระจายความเสี่ยงไป 5-10 บริษัท ให้มองระยะยาวว่าอีก 20 ปีบริษัทจะรุ่งเรืองได้แค่ไหน แล้วให้คิดว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจ
ข้อมูลการทดลอง
แบบ A
แบบ B1
แบบ B2
แบบ C
แบบ D
แบบ E
ผลการทดลอง >>> ลงทุนหุ้น 100% ถือยาว VS ปรับพอร์ตทุกเดือน !
การทดลองนี้ใช้ข้อมูล 2002-2018 เป็นเวลา 17 ปี โดยลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้น SET50 ค่า PE จึงใช้ของ PE SET50
ทดลองโดยใช้แนวทาง 5 แบบคือ แบบ A จะถือหุ้นยาวไม่ทำอะไรเลย แบบ B - E จะปรับพอร์ตทุก ๆ เดือน โดยดูค่า PE เป็นหลัก แนวทางมีดังนี้ครับ
แบบ A = ลงทุนหุ้น 100% ยาวๆ ไม่ทำอะไรเลย
แบบ B1 = ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาในช่วงปกติ แต่ถ้า PE สูงจะขายออกเหลือหุ้น 40% ซื้อตราสารหนี้ 60 %
แบบ B2 = ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาในช่วงปกติ แต่ถ้า PE สูงจะขายออกเหลือหุ้น 20% ซื้อตราสารหนี้ 80 %
แบบ C = ลงทุนหุ้น โดยปรับสัดส่วนตามค่า PE ดังนี้ ช่วง PE ต่ำ ถือหุ้น 95% ตราสารหนี้ 5 % ช่วงปกติ ถือหุ้น 75% ตราสารหนี้ 25 % ช่วง PE สูง ถือหุ้น 30% ตราสารหนี้ 70 %
แบบ D= ลงทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50%
แบบ E = ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาในช่วงปกติ แต่ถ้า PE สูงจะขายออกเหลือหุ้น 50% ซื้อตราสารหนี้ 50 % โดยคำนวณ PE ที่มาจาก EPS เฉลี่ย
ผลการทดลองน่าสนใจมากครับ เป็นดังภาพนี้
สรุป
แบบ A ลงทุนหุ้น 100% ไม่ทำอะไรเลย จะได้ผลตอบแทนมากที่สุด จาก 100,000 บาท กลายเป็น 867,776.35 บาท ใน 17 ปีครับ
แบบที่ปรับพอร์ททุกเดือนได้ผลตอบแทนน้อยกว่า (ก่อนทดลอง โดยส่วนตัวคิดว่าปรับพอร์ทน่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่า ตอนนี้ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ 555)
แบบ B2 กับ C ซึ่งเป็นแบบปรับพอร์ต เวลาหุ้นลง พอร์ตจะลงน้อยกว่า ผันผวนน้อยกว่า เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากให้ราคาผันผวนมากครับ
ข้อดีสำหรับการถือหุ้น 100% ถือยาวๆ คือ เราไม่ต้องมานั่งดูราคาตลาดมาก ทำให้ไม่เกิดอารมณ์กลัว กล้า โลภ กังวล ร่วมกับสภาวะตลาด
การประยุกต์ใช้
นำเงินที่เป็นเงินเย็นจริงๆ ลงทุนหุ้นให้เต็ม 100% แล้วลงทุนให้ยาวนานที่สุด ไม่ต้องทำอะไรกับพอร์ทเลย ถ้ามีเงินก็ซื้อเพิ่มเรื่อย ๆ หรือ DCA เรื่อย ๆ เก็บไว้เป็นมรดก จะขายเฉพาะตอนที่เราอยากนำเงินนั้นมาสร้างความสุขหรือช่วงที่เราจำเป็นต้องใช้
ลงทุนได้ในกองทุนหุ้น ถ้าถือยาวๆ ก็อาจจะเป็นกองทุน SET50
ถ้าเป็นหุ้นรายตัวก็คงต้องเลือกบริษัทที่ยอดเยี่ยมมากจนเรามั่นใจที่จะถือยาว ลงทุนกระจายความเสี่ยงไป 5-10 บริษัท ให้มองระยะยาวว่าอีก 20 ปีบริษัทจะรุ่งเรืองได้แค่ไหน แล้วให้คิดว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจ
ข้อมูลการทดลอง
แบบ A
แบบ B1
แบบ B2
แบบ C
แบบ D
แบบ E