จบ ป.โท แล้ว อยากชิมลางบทบาท "อาจารย์มหาวิทยาลัย" จะเริ่มต้นอย่างไรดี

ผมทำงานในสายงานนิเทศศาสตร์มาตั้งแต่ปี 2556 ตอนนี้ปี 2562 แล้ว ก็ราวๆ เกือบ 6 ปีเต็มที่ได้ทำงานสายนิเทศศาสตร์ ตามศาสตร์ที่ได้เรียนมา

ผมเองก็อายุ 28 ปี ย่างเข้า 29 ปีแล้ว ตอนนี้จบ ป.โท คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (สาขาวิชาการบริหารสื่อสารมวลชน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพิ่งทำวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้านี้ตอนอายุ 18 ปี ผมได้มีโอกาสเรียนปริญญาตรี 2 ใบควบพร้อมๆ กัน ใบแรกคือ นิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (เกียรตินิยมอันดับ 2) มหาวิทยาลัยศรีปทุม และอีกหนึ่งใบ ก็คือ รัฐศาสตรบัณฑิต ภาควิชาการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

จากความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาเล่าเรียน ทั้งในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท พร้อมด้วยความรู้จากสายงานที่ได้ทำในแวดวงนิเทศศาสตร์ (ผมทำในด้านของการนำเสนอข่าวผ่านสื่อดิจิทัล - การผลิตรายการโทรทัศน์ - งานด้านการประชาสัมพันธ์) คิดในใจก็คงน่าจะถึงเวลาที่จะต้อง "คืนสู่สังคม ส่งต่อและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่รุ่นน้อง" ก่อนหน้านี้เคยได้มีโอกาสไปบรรยายพิเศษให้น้องๆ นักศึกษาปริญญาตรีแล้วที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เมื่อปี 2559


วันนี้ ผมปริ้นใบสมัครอาจารย์ประจำ-อาจารย์พิเศษ มาเพื่อเขียนแล้ว 10 มหาวิทยาลัยเอกชน ในส่วนของ กทม. และปริมณฑล (ก่อนหน้านี้ส่งอีเมลไปแล้ว 4 มหาวิทยาลัยเอกชน) ทำไมถึงไม่ส่งมหาวิทยาลัยของรัฐหรือราชมงคลหรือราชภัฎล่ะ คำตอบคือ 1. มหาวิทยาลัยเหล่าล้วนต้องการคนที่เรียนจบ ป.เอก ทั้งสิ้น 2. ขณะนี้ยังไม่มีประกาศรับสมัคร และ 3. มีประกาศรับสมัครอาจารย์ประจำที่ ตจว. แต่เงินเดือนคือน้อยกว่า 2 หมื่นจริงๆ

ผมเองเลยตัดสินใจอยากลองชิมลางการเป็นอาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษทางด้านนิเทศศาสตร์ สาขาพวกวิทยุ-โทรทัศน์-สื่อดิจิทัล-การนำเสนอข่าวผ่านสื่อออนไลน์ หรือาจจะความรู้พื้นฐานทางด้านนิเทศศาสตร์ก่อนก็ได้  (ผมเองก็ไม่ได้เรียนเก่งมากนักแบบเก่งจ๋าๆ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญและความถนัดในด้านที่ผมถนัด เรียกได้ว่าขยันมากกว่าเรียนเก่งดีกว่าครับ) โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะส่งใบสมัคร หลักฐานการสมัคร รวมถึง CV ผลงานของผมไปทางอีเมล ตามมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้ใหญ่มาก (อยู่ในระดับปานกลาง หรือระดับวิทยาลัย ) ผมยินดีมากที่จะได้เริ่มต้นสายงานวิชาการในมหาวิทยาลัยเล็กๆ ครับ เพราะจะได้ช่วยผลักดันให้ผู้เรียนและคณะมีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีในอนาคต จากนั้นก็รอดูผลก่อนสัก 3-4 เดือน ถ้ายังไม่มีเรียก ก็คงต้องลองดูของภาคอื่นๆ ทำไปจนกว่าจะได้สักที่ (ถ้าได้ อ.พิเศษ ก็เอาครับ เอาหมด)

แน่นอนว่า Feedback ที่จะตามมาในภายหลังจากคนรอบข้าง

Q : หน้าอย่างแกเหรอจะไปสอนนักศึกษา พูดจาให้รู้เรื่องก่อน
A : ยอมรับครับว่าทุกวันนี้ก็มีบางครั้งที่อาจจะอธิบายไม่รู้เรื่องหรืองุนงง อาจจะด้วยภาษาที่ใช้ล่ะครับ แต่ทุกครั้งผมเองก็จะถามกลับเสมอว่า เข้าใจใช่ไหม ไม่เข้าใจให้บอกเลย อย่าเก็บไว้

Q : คิดว่าจะรับมือกับนักศึกษาไหวเหรอ
A : ลองสักครั้งครับ

Q : เป็นอาจารย์ต้องจบ ป.เอก เท่านั้นนะ
A : ใช่ครับ ทุกมหาวิทยาลัยล้วนต้องการคนจบ ป.เอก แต่หากขาดแคลนหรือจำเป็นจริงๆ ก็ต้องดึงเอา ป.โท มาแทน แต่ในส่วนของมหาวทิยาลัยเอกชน ต้องการคนจบ ป.โท ขั้นต่ำครับ แถมยังจะต้องมีประสบการณ์ในวิชาชีพติดตัวมาด้วย ถึงจะเข้ามาเป็นอาจารย์ได้ครับ

นอกจากนี้ยังมีคำถามอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งตั้งรับไว้เป็นอย่างดีแล้วครับ เตรียมคำตอบไว้สำหรับทุกคำถามข้อสงสัยหมดแล้ว

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครมีแนวคิดเดียวกันกับผมบ้าง แต่ก็แอบหวังเล็กๆ ว่า ขอให้มีสักที่ที่ให้โอกาสผมได้แสดงศักยภาพและพัฒนาตนเอง นี่คิดไว้เลยว่าถ้าได้งานอาจารย์ภายใน 4-6 เดือนนี้ ผมจะไปแก้บนด้วยการวิ่งจำนวน 100 กิโลเมตร (วิ่งแบบผ่อนนะครับ วันละ 10-20 กิโล รวมประมาณก็ 5-10 วันแล้วกัน) มีใครเคยเป็นแบบผมบ้าง ลองช่วยแชร์หรือแนะนำจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าสู่สายวิชาการหน่อยครับ หรือถ้าใครสนใจให้ผมลองไปเป็นอาจารย์ที่ไหน แนะนำผมหลังไมค์ได้เลยครับ  ยินดีครับผม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่