คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
1. คุณไม่มีทางทำให้แม่พอใจกับเงินที่คุณให้และเลิกด่าคุณได้ ไม่ว่าคุณจะให้เงินเค้ามากเท่าไหร่ก็ตาม
ถึงแม้จะให้จนหมดเนื้อหมดตัวจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน หรือเกิดคุณโชคดีได้งานที่เงินเดือนมาก ต่อให้คุณให้เค้ามากแค่ไหน เค้าก็ยังไม่พอใจอยู่ดี
ยังไงกิเลสของเค้าก็ไม่มีวันหมด มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเค้าไม่ได้หาเงินเอง ไม่เข้าใจความลำบากของคนที่ต้องหาเงินมาปรนเปรอคนอื่นหรอก
และเค้าก็ต้องการแค่เงินจากคุณเท่านั้น ไม่ได้เป็นห่วงเลยว่าคุณจะมีชีวิตยังไง
2. ดังนั้นการพยายามหาเงินมาให้แม่ตามที่แม่ต้องการจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ผิด เพราะไม่ว่าจะให้เท่าไหร่แม่ก็ไม่มีทางพอใจ เหตุการณ์ที่ผ่านๆมาก็เห็นอยู่ว่าความพยายามนี้ไม่ได้ผล
3. ปัญหานี้พูดตรงๆเลยคือคุณแก้ปัญหาไม่ได้หรอก ทำได้เพียงแค่หลบออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญกับสภาพนั้นอีก
คุณเองก็โตแล้ว มีงานทำ มีแฟน อนาคตก็จะต้องแต่งงานมีครอบครัว ควรจะออกมาอยู่เองได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อบ้านของคุณเองไม่น่าอยู่แบบนี้
พอย้ายออกมาจากบ้านก็ตัดการติดต่อทั้งหมด ไม่ต้องร้บโทรศัพท์จากเค้า หรือจะเปลี่ยนเบอร์โทร.เลยก็แล้วแต่ เพื่อจะได้ไม่ต้องฟังคำด่าใดๆอีก
ต่อไปนี้คุณมีหน้าที่แค่โอนเงินให้เค้าเป็นรายเดือนตามความเหมาะสมเท่านั้น ตัวคุณเองก็ต้องเก็บเงินไว้เพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัวด้วย
และอย่าให้แฟนของคุณต้องมาเดือดร้อนเป็นภาระกับค่าใช้จ่ายของแม่คุณ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเค้าและเค้าไม่ควรต้องมารับผิดชอบตรงนี้
4. ความกตัญญูอยู่ที่การกระทำของคุณ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดของแม่ เพราะอย่างที่บอกว่าไปว่าคุณจะให้เค้ามากเท่าไหร่เค้าก็ไม่มีทางพอใจและยังตำหนิคุณอยู่ดี
และแม่ของคุณใช้ความกตัญญูเพื่อกดดันให้คุณหาเงินมาให้เค้าตามที่ต้องการ คุณต้องมองตรงนี้ให้ออก
คุณลองคิดดูดีๆสิคะ ระหว่างคุณกับน้องใครกตัญญูมากกว่ากัน และใครโดนด่ามากกว่ากัน
เห็นมั้ยคะว่าความกตัญญูมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของแม่เลย อย่าให้คำพูดของแม่มาทำให้คุณไขว้เขวนะคะ
5. การที่คุณพยายามหาเงินมาให้ที่บ้านอย่างไม่จบไม่สิ้น ก็เท่ากับเป็นการสปอยล์พวกเค้าไปด้วย
แม่ของคุณจะยิ่งเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขอเท่าไหร่คุณก็ให้
ส่วนน้องชายคุณก็จะกลายเป็นคนไม่เอาไหน แทนที่จะคิดหางานทำแบบพี่ กลับอยู่เฉยๆผลาญเงินไปวันๆ
ถ้าคุณไม่ยอมปล่อยพวกเค้า คุณจะต้องรับภาระไปอีกตลอดชีวิตเลย สำหรับพ่อแม่อาจจะอยู่กับคุณได้อีกไม่นาน
แต่น้องชายนี่สิคะ เผลอๆจะเป็นภาระของคุณไปอีกตลอดชีวิตเลย ถ้าไม่ตัดไฟตรงนี้ อนาคตถ้าคุณมีครอบครัวของคุณเองจะลำบากมากค่ะ
โดยเฉพาะถ้าคุณมีลูกแต่เลี้ยงดูลูกได้ไม่เต็มที่เพราะต้องเอาเงินไปให้ที่บ้านผลาญแบบนี้
และแฟนคุณก็อาจจะทนไม่ได้ที่ต้องรับภาระของครอบครัวคุณไปด้วย สุดท้ายชีวิตครอบครัวของคุณเองก็อาจจะไปไม่รอดในที่สุด
ถึงแม้จะให้จนหมดเนื้อหมดตัวจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน หรือเกิดคุณโชคดีได้งานที่เงินเดือนมาก ต่อให้คุณให้เค้ามากแค่ไหน เค้าก็ยังไม่พอใจอยู่ดี
ยังไงกิเลสของเค้าก็ไม่มีวันหมด มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเค้าไม่ได้หาเงินเอง ไม่เข้าใจความลำบากของคนที่ต้องหาเงินมาปรนเปรอคนอื่นหรอก
และเค้าก็ต้องการแค่เงินจากคุณเท่านั้น ไม่ได้เป็นห่วงเลยว่าคุณจะมีชีวิตยังไง
2. ดังนั้นการพยายามหาเงินมาให้แม่ตามที่แม่ต้องการจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ผิด เพราะไม่ว่าจะให้เท่าไหร่แม่ก็ไม่มีทางพอใจ เหตุการณ์ที่ผ่านๆมาก็เห็นอยู่ว่าความพยายามนี้ไม่ได้ผล
3. ปัญหานี้พูดตรงๆเลยคือคุณแก้ปัญหาไม่ได้หรอก ทำได้เพียงแค่หลบออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญกับสภาพนั้นอีก
คุณเองก็โตแล้ว มีงานทำ มีแฟน อนาคตก็จะต้องแต่งงานมีครอบครัว ควรจะออกมาอยู่เองได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อบ้านของคุณเองไม่น่าอยู่แบบนี้
พอย้ายออกมาจากบ้านก็ตัดการติดต่อทั้งหมด ไม่ต้องร้บโทรศัพท์จากเค้า หรือจะเปลี่ยนเบอร์โทร.เลยก็แล้วแต่ เพื่อจะได้ไม่ต้องฟังคำด่าใดๆอีก
ต่อไปนี้คุณมีหน้าที่แค่โอนเงินให้เค้าเป็นรายเดือนตามความเหมาะสมเท่านั้น ตัวคุณเองก็ต้องเก็บเงินไว้เพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัวด้วย
และอย่าให้แฟนของคุณต้องมาเดือดร้อนเป็นภาระกับค่าใช้จ่ายของแม่คุณ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเค้าและเค้าไม่ควรต้องมารับผิดชอบตรงนี้
4. ความกตัญญูอยู่ที่การกระทำของคุณ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดของแม่ เพราะอย่างที่บอกว่าไปว่าคุณจะให้เค้ามากเท่าไหร่เค้าก็ไม่มีทางพอใจและยังตำหนิคุณอยู่ดี
และแม่ของคุณใช้ความกตัญญูเพื่อกดดันให้คุณหาเงินมาให้เค้าตามที่ต้องการ คุณต้องมองตรงนี้ให้ออก
คุณลองคิดดูดีๆสิคะ ระหว่างคุณกับน้องใครกตัญญูมากกว่ากัน และใครโดนด่ามากกว่ากัน
เห็นมั้ยคะว่าความกตัญญูมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของแม่เลย อย่าให้คำพูดของแม่มาทำให้คุณไขว้เขวนะคะ
5. การที่คุณพยายามหาเงินมาให้ที่บ้านอย่างไม่จบไม่สิ้น ก็เท่ากับเป็นการสปอยล์พวกเค้าไปด้วย
แม่ของคุณจะยิ่งเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขอเท่าไหร่คุณก็ให้
ส่วนน้องชายคุณก็จะกลายเป็นคนไม่เอาไหน แทนที่จะคิดหางานทำแบบพี่ กลับอยู่เฉยๆผลาญเงินไปวันๆ
ถ้าคุณไม่ยอมปล่อยพวกเค้า คุณจะต้องรับภาระไปอีกตลอดชีวิตเลย สำหรับพ่อแม่อาจจะอยู่กับคุณได้อีกไม่นาน
แต่น้องชายนี่สิคะ เผลอๆจะเป็นภาระของคุณไปอีกตลอดชีวิตเลย ถ้าไม่ตัดไฟตรงนี้ อนาคตถ้าคุณมีครอบครัวของคุณเองจะลำบากมากค่ะ
โดยเฉพาะถ้าคุณมีลูกแต่เลี้ยงดูลูกได้ไม่เต็มที่เพราะต้องเอาเงินไปให้ที่บ้านผลาญแบบนี้
และแฟนคุณก็อาจจะทนไม่ได้ที่ต้องรับภาระของครอบครัวคุณไปด้วย สุดท้ายชีวิตครอบครัวของคุณเองก็อาจจะไปไม่รอดในที่สุด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ดูคุณจะกลัวการย้ายออกจากบ้านมากเลยนะคะ อย่าไปคิดว่าการย้ายออกเป็นเรื่องใหญ่สิคะ
ไม่ต้องไปป่าวประกาศหรือทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเลย ไม่ต้องไปพูดให้เค้ารู้ก่อนด้วยว่ากำลังเตรียมตัวจะย้ายออก
ไม่งั้นคุณจะเจอคำพูดกดดันแบบไม่จบไม่สิ้นตั้งแต่ตอนนั้นเลย
คุณก็แค่เตรียมตัวแบบเงียบๆ พอพร้อมปุ๊บก็เก็บของย้ายออกมาเลย หรือจะค่อยทยอยๆขนของออกมาแบบไม่ให้ใครรู้ก็ได้
แล้วพอวันที่จะย้ายออกจริงๆค่อยบอกให้เค้ารู้ตอนนั้น แต่คุณเองก็ต้องเข้มแข็งให้มากๆ อย่าให้คำพูดของแม่มาทำให้คุณลังเลใจที่จะย้ายออก
เมื่อบอกว่าจะออกแล้วก็เดินออกมาเลย อย่าไปกังวลว่าเค้าจะด่าอะไรตามหลัง เพราะถึงแม้คุณจะยอมกลับไปอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เค้าจะไม่ชื่นชมที่คุณกลับไปอยู่บ้านหรอก มีแต่จะเอาเรื่องนี้มาตอกย้ำทีหลังซะอีก
ส่วนการเตรียมตัวในการย้ายออก ลองคิดดูนะคะว่าพอจะมีคนที่สามารถไปขอพึ่งพาอาศัยได้มั้ย มีเพื่อนหรือแฟนที่จะขอไปอาศัยอยู่ชั่วคราวได้มั้ย
ถ้ามีก็รีบออกมาเลยค่ะอย่ารอช้า ยิ่งอยู่บ้านนั้นนานยิ่งเสียสุขภาพจิต
หลังจากนั้นคุณค่อยเริ่มมองหาห้องเช่าราคาถูกๆ หรือให้เพื่อนช่วยหาด้วยก็ได้ เอาสภาพแบบพออยู่ได้ก็พอ ยังไงอยู่ที่นี่คุณมีความสุขกว่าอยู่ที่บ้านแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของคุณ ว่าจะกล้าย้ายออกมาจริงๆมั้ย สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณตอนนี้คือคุณกลัวคำพูดของแม่เอามากๆ
กล้วจนไม่กล้าจะทำในสิ่งที่ควรทำ คุณอยากให้แม่เห็นใจและเลิกด่าว่าคุณ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย
คุณต้องเลิกคิดเรื่องที่จะทำให้แม่พอใจหรือทำยังไงจะไม่ให้โดนแม่ด่า เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือทำตัวเองให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของแม่
ซึ่งการย้ายออกนี่แหละที่จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเลยว่าคุณจะทำสำเร็จมั้ย
ถ้าไม่กล้าวางแผนที่จะย้ายออก หรือมัวแต่หาข้ออ้างที่จะไม่ย้ายออก ก็ทำใจเลยค่ะว่าคุณจะต้องทนกับสภาพนี้ไปตลอดชีวิต
แต่ถ้าตัดสินใจย้ายออกแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดคือวันที่คุณจะย้ายออกนั้นแม่ของคุณจะสามารถรั้งคุณไว้ได้หรือไม่
ถ้าคุณย้ายออกมาได้สำเร็จก็เท่ากับชนะใจตัวเองแล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วคุณยังเกรงกับคำพูดของแม่และไม่กล้าออกมาจริงๆ
ก็ต้องทนไปอีกตลอดชีวิตแหละค่ะ ไม่มีใครช่วยดีงคุณออกมาได้นอกจากตัวคุณเองเท่านั้น
ไม่ต้องไปป่าวประกาศหรือทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเลย ไม่ต้องไปพูดให้เค้ารู้ก่อนด้วยว่ากำลังเตรียมตัวจะย้ายออก
ไม่งั้นคุณจะเจอคำพูดกดดันแบบไม่จบไม่สิ้นตั้งแต่ตอนนั้นเลย
คุณก็แค่เตรียมตัวแบบเงียบๆ พอพร้อมปุ๊บก็เก็บของย้ายออกมาเลย หรือจะค่อยทยอยๆขนของออกมาแบบไม่ให้ใครรู้ก็ได้
แล้วพอวันที่จะย้ายออกจริงๆค่อยบอกให้เค้ารู้ตอนนั้น แต่คุณเองก็ต้องเข้มแข็งให้มากๆ อย่าให้คำพูดของแม่มาทำให้คุณลังเลใจที่จะย้ายออก
เมื่อบอกว่าจะออกแล้วก็เดินออกมาเลย อย่าไปกังวลว่าเค้าจะด่าอะไรตามหลัง เพราะถึงแม้คุณจะยอมกลับไปอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เค้าจะไม่ชื่นชมที่คุณกลับไปอยู่บ้านหรอก มีแต่จะเอาเรื่องนี้มาตอกย้ำทีหลังซะอีก
ส่วนการเตรียมตัวในการย้ายออก ลองคิดดูนะคะว่าพอจะมีคนที่สามารถไปขอพึ่งพาอาศัยได้มั้ย มีเพื่อนหรือแฟนที่จะขอไปอาศัยอยู่ชั่วคราวได้มั้ย
ถ้ามีก็รีบออกมาเลยค่ะอย่ารอช้า ยิ่งอยู่บ้านนั้นนานยิ่งเสียสุขภาพจิต
หลังจากนั้นคุณค่อยเริ่มมองหาห้องเช่าราคาถูกๆ หรือให้เพื่อนช่วยหาด้วยก็ได้ เอาสภาพแบบพออยู่ได้ก็พอ ยังไงอยู่ที่นี่คุณมีความสุขกว่าอยู่ที่บ้านแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของคุณ ว่าจะกล้าย้ายออกมาจริงๆมั้ย สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณตอนนี้คือคุณกลัวคำพูดของแม่เอามากๆ
กล้วจนไม่กล้าจะทำในสิ่งที่ควรทำ คุณอยากให้แม่เห็นใจและเลิกด่าว่าคุณ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย
คุณต้องเลิกคิดเรื่องที่จะทำให้แม่พอใจหรือทำยังไงจะไม่ให้โดนแม่ด่า เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือทำตัวเองให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของแม่
ซึ่งการย้ายออกนี่แหละที่จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเลยว่าคุณจะทำสำเร็จมั้ย
ถ้าไม่กล้าวางแผนที่จะย้ายออก หรือมัวแต่หาข้ออ้างที่จะไม่ย้ายออก ก็ทำใจเลยค่ะว่าคุณจะต้องทนกับสภาพนี้ไปตลอดชีวิต
แต่ถ้าตัดสินใจย้ายออกแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดคือวันที่คุณจะย้ายออกนั้นแม่ของคุณจะสามารถรั้งคุณไว้ได้หรือไม่
ถ้าคุณย้ายออกมาได้สำเร็จก็เท่ากับชนะใจตัวเองแล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วคุณยังเกรงกับคำพูดของแม่และไม่กล้าออกมาจริงๆ
ก็ต้องทนไปอีกตลอดชีวิตแหละค่ะ ไม่มีใครช่วยดีงคุณออกมาได้นอกจากตัวคุณเองเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 3
งดดราม่ากตัญญูนะคะ เราไม่เข้าใจพวกพ่อแม่ที่จ้องแต่จะให้ลูกหาเงินมาเลี้ยง
คือ คนคนนึงมันเลี้ยงได้แค่ตัวเองค่ะ ถ้าเอาสุขสบายนะ ดังนั้นใครที่ยังทำงานไหว
ไม่ว่าจะแก่แค่ไหน ถ้ายังแข็งแรงยังควรจะต้องทำงาน เพื่อให้มีเงินเล็กๆ น้อยๆ
ถึงจะรวยแค่ไหนก็ควรต้องทำ ยิ่งจนไม่มีจะกินนี่ยิ่งต้องทำ นั่งอยู่บ้านขอเงินลูก
ลูกก็ไม่มีหรอกค่ะ ชีวิตสมัยนี้เงินมันหายาก อย่ามาอ้างว่าทีพ่อแม่ยังหาเลี้ยงลูกไหว
พ่อแม่ที่หาเลี้ยงลูกไหว จะไม่อยากได้เงินลูกค่ะ แต่พวกที่อยากได้
แค่เบ่งลูกออกมา เลี้ยงไม่กี่ปี ที่เหลือลูกหากินเอง หาเรียนเอง จะเอาอะไรนักหนา
แม่ไม่ไปหางานทำล่ะคะ งานแม่บ้าน งานขายของ จะได้มีเงินใช้เอง
จะเอาแต่กับลูก จะไปหาที่ไหนมาให้นักหนา ลูกก็คน ต้องกินต้องใช้ ต้องป่วยต้องตาย
เบ่งออกมานี่คือเป็นหนี้ชิวิตจนต้องจ่ายให้ทุกบาทเลยรึ
ให้ได้แค่ไหนแค่นั้น ให้ 5000 นี่มากแล้วค่ะ เงินไม่พอใช้ แม่ก็ไปหางานทำบ้างสิคะ
ถ้าทำงานไม่ไหว ก็ประหยัดใช้จ่าย ครอบครัวมันก็ต้องช่วยกัน จนกว่าคุณจะหางานใหม่
ก้าวหน้าได้เงินเดือนเยอะึ้น ก็ให้เขามากขึ้น
คือ คนคนนึงมันเลี้ยงได้แค่ตัวเองค่ะ ถ้าเอาสุขสบายนะ ดังนั้นใครที่ยังทำงานไหว
ไม่ว่าจะแก่แค่ไหน ถ้ายังแข็งแรงยังควรจะต้องทำงาน เพื่อให้มีเงินเล็กๆ น้อยๆ
ถึงจะรวยแค่ไหนก็ควรต้องทำ ยิ่งจนไม่มีจะกินนี่ยิ่งต้องทำ นั่งอยู่บ้านขอเงินลูก
ลูกก็ไม่มีหรอกค่ะ ชีวิตสมัยนี้เงินมันหายาก อย่ามาอ้างว่าทีพ่อแม่ยังหาเลี้ยงลูกไหว
พ่อแม่ที่หาเลี้ยงลูกไหว จะไม่อยากได้เงินลูกค่ะ แต่พวกที่อยากได้
แค่เบ่งลูกออกมา เลี้ยงไม่กี่ปี ที่เหลือลูกหากินเอง หาเรียนเอง จะเอาอะไรนักหนา
แม่ไม่ไปหางานทำล่ะคะ งานแม่บ้าน งานขายของ จะได้มีเงินใช้เอง
จะเอาแต่กับลูก จะไปหาที่ไหนมาให้นักหนา ลูกก็คน ต้องกินต้องใช้ ต้องป่วยต้องตาย
เบ่งออกมานี่คือเป็นหนี้ชิวิตจนต้องจ่ายให้ทุกบาทเลยรึ
ให้ได้แค่ไหนแค่นั้น ให้ 5000 นี่มากแล้วค่ะ เงินไม่พอใช้ แม่ก็ไปหางานทำบ้างสิคะ
ถ้าทำงานไม่ไหว ก็ประหยัดใช้จ่าย ครอบครัวมันก็ต้องช่วยกัน จนกว่าคุณจะหางานใหม่
ก้าวหน้าได้เงินเดือนเยอะึ้น ก็ให้เขามากขึ้น
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้าแม่ไล่คุณออก คุณลองถามกลับไปอีกทีว่า...อยากให้ออกไปเลยจริงๆใช่มั้ย ไม่ได้พูดเพราะโมโหใช่มั้ยถ้านู๋ออกไปแล้ว ก็จะไม่รับผิดชอบค่าน้ำค่าไฟค่าจิปาถะ เพราะนู๋ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่นู๋จะให้ในฐานะลูกคนนึง ที่ไม่ใช่ตู้Atm อีกต่อไป ออกไปก็ได้
คุณมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีสิทธิ์ใช้เงินตัวเองที่หามา และที่ผ่านมาคุณก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณไม่ได้นิ่งเฉยกับปัญหา เพียงแต่ช่วยเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ถ้าจะให้ช่วยมากกว่านี้ ขอให้เห็นใจกันบ้าง ช่วยกันประหยัดบ้าง หารายได้บ้างก็คงจะดีกว่านี้, ดังนั้น คุณไม่ได้อกตัญญูหรอกค่ะ แต่ถ้าพวกเขาจะว่าอกตัญญู เห็นแก่ตัว, งั้นพวกเขาก็คงเห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน ย่อหน้าสุดท้ายแล้วแต่จะพูดนะคะ แต่เราเห็นใจในจุดที่คุณยืน
คุณมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีสิทธิ์ใช้เงินตัวเองที่หามา และที่ผ่านมาคุณก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณไม่ได้นิ่งเฉยกับปัญหา เพียงแต่ช่วยเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ถ้าจะให้ช่วยมากกว่านี้ ขอให้เห็นใจกันบ้าง ช่วยกันประหยัดบ้าง หารายได้บ้างก็คงจะดีกว่านี้, ดังนั้น คุณไม่ได้อกตัญญูหรอกค่ะ แต่ถ้าพวกเขาจะว่าอกตัญญู เห็นแก่ตัว, งั้นพวกเขาก็คงเห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน ย่อหน้าสุดท้ายแล้วแต่จะพูดนะคะ แต่เราเห็นใจในจุดที่คุณยืน
ความคิดเห็นที่ 45
เจ้าของกระทู้
ใจเย็นๆ
ดูลักษณะครอบครัวแล้ว
แม่เค้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หนูยังไม่เกิดอ่ะ
ถ้าไม่เป็นแบบนี้
ครอบครัวหนูก็มีกินมีใช้ไม่ลำบากไปแล้ว
กว่าจะเลี้ยงหนูมาให้โต
เค้าก็อยู่ด้วยเงินหมุนเงินกู้อ่ะ
หมุนเงินส่งให้หนูเรียน ให้น้องเรียน
พอเปิดเทอมก็ก่ายหน้าผากล่ะจะยังไงดี
พอถึงจุดหนึ่งที่หนูโตพอจะทำงานพิเศษได้
มีเงินแล้ว
เค้าก็เห็นหนูเป็นคนหาเงินเข้าบ้านได้
เค้าก็ทำแบบที่เค้าเคยทำ
อาจจะสืบทอดมาทั้งปู่ย่าตายายเลย
คือให้หนูกู้.. และเป็นหนี้ และหมุนเงิน
จริงๆ 5000 สี่ชีวิตมันไม่พอหรอก
ค่าไฟยังไม่พอเลยอ่ะ
หนูลองทบทวนนั่งคิดนะว่า
ที่ผ่านมา แม่หนูทำยังไง
จะได้ลดทอนความรู้สึกที่กัดกินหนูว่าทำไมๆๆๆ
เงินหนูหนูหามา ทำไมต้องทำกับหนูแบบนี้
หนูให้ตั้ง 5000 แล้ว ทำไมๆๆ เงินหนูล่ะ ชีวิตหนูล่ะ
...
ดีใจที่อ่านแล้วรู้สึกว่าหนูพยายามจัดการเงินได้เป็นอย่างดี
ไม่อยากเป็นหนี้ มีเงินก็รีบปิดหนี้ก่อน
ชีวิตหนูดีกว่าแม่แน่นอน
ตอนนี้ออกจากบ้านได้ก็ออกมาก่อนได้นะ
ลองหาหอใกล้ที่ทำงาน ให้ค่าที่พักรวมทุกอย่างแล้วไม่เกิน 5000
หักให้แม่ 3000
ให้ยาย 1000
พ่องดไป...
ค่าที่พัก 5000... ป้าไม่รู้ว่าหนูอยู่จังหวัดไหนค่าที่พักอาจจะถูกกว่านี้
ค่ากินใช้ 5000
แล้วค่าผ่อนนั้นนี่ให้อยู่ราวๆ 4000
แล้วเหลือเก็บสักพันนึง
อยู่ไกลกัน อาจจะสบายใจกว่านะ
พอสบายใจ เดี๋ยวสมองก็โล่งปลอดโปร่ง
อาจจะหางานพิเศษทำเพิ่มอีกเพื่อเงินเก็บตัวเองล้วนๆ
เค้าบ่นก็ทำหูทวนลมไปซะ
เราเปลี่ยนแม่ไม่ได้เลยจริงๆ นะ
อดทนนะหนู ชีวิตหนูต้องดีขึ้นแน่ๆ
แต่เตือนไว้หน่อยนะหนู พอหนูทำงานมีเงินมากขึ้นกว่าตอนนี้หนูจะอยากใช้จ่ายมากขึ้น
(มันเป็นไปเองตามอัตโนมัติ)
อยู่คนเดียวก็ระวังตัวเองดีๆ นะ
มีแฟนก็อย่าเพิ่งไว้ใจมากไป
สู้ๆ
ใจเย็นๆ
ดูลักษณะครอบครัวแล้ว
แม่เค้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หนูยังไม่เกิดอ่ะ
ถ้าไม่เป็นแบบนี้
ครอบครัวหนูก็มีกินมีใช้ไม่ลำบากไปแล้ว
กว่าจะเลี้ยงหนูมาให้โต
เค้าก็อยู่ด้วยเงินหมุนเงินกู้อ่ะ
หมุนเงินส่งให้หนูเรียน ให้น้องเรียน
พอเปิดเทอมก็ก่ายหน้าผากล่ะจะยังไงดี
พอถึงจุดหนึ่งที่หนูโตพอจะทำงานพิเศษได้
มีเงินแล้ว
เค้าก็เห็นหนูเป็นคนหาเงินเข้าบ้านได้
เค้าก็ทำแบบที่เค้าเคยทำ
อาจจะสืบทอดมาทั้งปู่ย่าตายายเลย
คือให้หนูกู้.. และเป็นหนี้ และหมุนเงิน
จริงๆ 5000 สี่ชีวิตมันไม่พอหรอก
ค่าไฟยังไม่พอเลยอ่ะ
หนูลองทบทวนนั่งคิดนะว่า
ที่ผ่านมา แม่หนูทำยังไง
จะได้ลดทอนความรู้สึกที่กัดกินหนูว่าทำไมๆๆๆ
เงินหนูหนูหามา ทำไมต้องทำกับหนูแบบนี้
หนูให้ตั้ง 5000 แล้ว ทำไมๆๆ เงินหนูล่ะ ชีวิตหนูล่ะ
...
ดีใจที่อ่านแล้วรู้สึกว่าหนูพยายามจัดการเงินได้เป็นอย่างดี
ไม่อยากเป็นหนี้ มีเงินก็รีบปิดหนี้ก่อน
ชีวิตหนูดีกว่าแม่แน่นอน
ตอนนี้ออกจากบ้านได้ก็ออกมาก่อนได้นะ
ลองหาหอใกล้ที่ทำงาน ให้ค่าที่พักรวมทุกอย่างแล้วไม่เกิน 5000
หักให้แม่ 3000
ให้ยาย 1000
พ่องดไป...
ค่าที่พัก 5000... ป้าไม่รู้ว่าหนูอยู่จังหวัดไหนค่าที่พักอาจจะถูกกว่านี้
ค่ากินใช้ 5000
แล้วค่าผ่อนนั้นนี่ให้อยู่ราวๆ 4000
แล้วเหลือเก็บสักพันนึง
อยู่ไกลกัน อาจจะสบายใจกว่านะ
พอสบายใจ เดี๋ยวสมองก็โล่งปลอดโปร่ง
อาจจะหางานพิเศษทำเพิ่มอีกเพื่อเงินเก็บตัวเองล้วนๆ
เค้าบ่นก็ทำหูทวนลมไปซะ
เราเปลี่ยนแม่ไม่ได้เลยจริงๆ นะ
อดทนนะหนู ชีวิตหนูต้องดีขึ้นแน่ๆ
แต่เตือนไว้หน่อยนะหนู พอหนูทำงานมีเงินมากขึ้นกว่าตอนนี้หนูจะอยากใช้จ่ายมากขึ้น
(มันเป็นไปเองตามอัตโนมัติ)
อยู่คนเดียวก็ระวังตัวเองดีๆ นะ
มีแฟนก็อย่าเพิ่งไว้ใจมากไป
สู้ๆ
แสดงความคิดเห็น
แม่ไล่เราออกจากบ้าน เพราะเราให้เงินไม่พอใช้