คู ชา-ชอล ห้องเครื่องจากเอาก์สบวร์กกำลังจะลงเล่นเกมที่ 200 ของเขาในบุนเดสลีกาหลังผ่านการค้าแข้งกับโวล์ฟสบวร์ก ไมนซ์ และเอาก์สบวร์กมากว่า 8 ปี
เพื่อฉลองความสำเร็จของแข้งดังจากแดนโสมขาววัย 29 ปีรายนี้ วันนี้เราขอพาไปย้อนชมเส้นทางอาชีพค้าแข้งของเขา พร้อมกับอีก 2 ตำนานดาวเตะเพื่อนร่วมชาติที่เคยฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา
จุดเริ่มต้น คู ชา-ชอล
หลังโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมเจจู ยูไนเต็ด ในลีกบ้านเกิด คู ในวัย 21 ปีก็บินข้ามทวีปมาค้าแข้งในเยอรมนีกับทีมโวล์ฟสบวร์กในเดือนมกราคมปี 2011 ซึ่งในปีต่อมาเขาได้โอกาสลงสนามในลีกถึง 22 นัด ก่อนที่จะย้ายไปเอาก์สบวร์กด้วยสัญญายืมตัว 18 เดือนตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2012 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นมิดฟิลด์ที่มีบทบาทสำคัญในทีมใหม่ เมื่อสามารถยิงได้ถึง 5 ประตูในครึ่งหลังของฤดูกาล 2011/12 รวมถึงยิงประตู “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ได้ถึงถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า ซึ่งช่วยให้ทีมเอาก์สบวร์กหนีตกชั้นได้สำเร็จ
หลังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนในฤดูกาล 2012/13 และย้ายกลับมายังโวล์ฟสบวร์ก เขาได้โอกาสลงเล่นไม่มากนัก ก่อนจะถูกไมนซ์คว้าตัวไปร่วมทีมในเดือนมกราคมปี 2014 ซึ่งเขามีความสุขและประสบความสำเร็จกับไมนซ์เป็นอย่างดี จนกระทั่งย้ายกลับมายังเอาก์สบวร์กในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 และอยู่กับทีมมาจนถึงทุกวันนี้
“เอาก์สบวร์กเป็นบ้านหลังที่สองของผม ผมกับครอบครัวมีความสุขที่นี่ มีพื้นที่สีเขียวมากมายและอากาศบริสุทธิ์ ผมอยากอยู่ที่เยอรมนีไปนานๆ โดยเฉพาะที่เอาก์สบวร์ก ตอนแรกที่ผมมาที่นี่ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีและเหงานิดหน่อย ผมไม่รู้ภาษาเลย แต่ผมก็บอกตัวเองว่าจะต้องยิงในเยอรมนีให้ได้สักประตูก่อนกลับบ้าน ผมยิงประตูแรกได้และอะไรๆ ก็เริ่มดีขึ้น และจากนั้นผมก็อยู่ยาวมาจนถึงตอนนี้!”
ที่จริงแล้วเขาได้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของเอาก์สบวร์กเลยทีเดียว เป็นมิดฟิลด์สารพัดประโยชน์เคยยิงได้สูงสุด 8 ประตูกับทำอีก 4 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2015/16 จนเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในบุนเดสลีกาปีนั้น แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง แต่เขาก็เป็นกำลังสำคัญในการพาทีมหนีตกชั้นได้
นอกจากนี้คูเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมชาติเกาหลีใต้ เขาทำไปแล้ว 19 ประตูจากการรับใช้ชาติ 71 นัด เคยพาทีมคว้าเหรียญทองแดงกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ซึ่งทำให้เขาได้รับการงดเว้นเข้าเกณฑ์ทหารตามกฏหมายเกาหลีใต้
ล่าสุดเจ้าตัวยังติดทัพทีมชาติเกาหลีใต้ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แม้ทีมจะตกรอบแบ่งกลุ่มแต่ก็สร้างประวัติศาสตร์โค่นแชมป์เก่าเยอรมนีจนกอดคอตกรอบตามกันไปได้สำเร็จ และในขณะนี้เขาก็กำลังพาทีมบ้านเกิดสู้ศึกเอเชียนคัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตเพื่อทวงบัลลังก์แชมป์กลับมาอีกครั้งหลังทำได้ครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว (ปี 1960) โดยเขาเดินทางไปลุยศึกครั้งนี้ร่วมกับ จี ดง-วอน เพื่อนร่วมทีมเอาก์สบวร์กที่แจ้งเกิดในบุนเดสลีกาเช่นเดียวกับเขาอีกด้วย ซน ฮึง-มิน ดาวรุ่งในถิ่นฮัมบวร์กและเลเวอร์คูเซน
แฟนบอลมักรู้จักซนดีในฐานะที่เป็นนักเตะคนสำคัญของทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แต่จริงๆ แล้วเขาเริ่มอาชีพนักเตะในวัย 16 ปีที่โรงเรียนฝึกหัดฟุตบอลเยาวชนของฮัมบวร์ก และเมื่อทีมยักษ์ใหญ่แห่งแดนเหนือมาเห็นแววเข้าจึงจับเขาเข้ามาฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ร่วมกับซูเปอร์สตาร์อย่าง รุด ฟาน นิสเตอรอย และ ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท “ผมไม่รู้จักใครเลยและไม่มีใครเข้าหาผม” ซนกล่าว
“ผมรู้สึกเหงา แต่ก็อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะทุกๆ คนก็ให้ความช่วยเหลือผม บางครั้งผมก็คิดถึงเกาหลีนะ แต่ผมอยากเล่นฟุตบอลอาชีพในยุโรป ผมจึงต้องอยู่ ฟาน นิสเตอรอย ช่วยผมไว้มาก เขาเห็นผมตั้งแต่ลงซ้อมครั้งแรกและคุยกับผม เขาบอกว่าผมเป็นนักเตะที่ดี เขาสร้างความมั่นใจให้ผมและผมก็อยากจะขอบคุณเขาเรื่องนี้”
แม้จะประสบการณ์น้อย แต่เขาก็โดดเด่นในฐานะปีกซ้ายตัวจี้ดของทีม ที่เปี่ยมด้วยเทคนิคและทักษะการเลี้ยงบอลยอดเยี่ยม ทำเอาดีตโค้ชฮัมบวร์ก อาร์มิน เฟห์ ประทับใจเป็นอย่างยิ่งจนต้องเอ่ยปากชมว่า “เขาอายุแค่ 18 ปี แต่ซนสามารถทำอะไรหลายอย่างที่นักเตะวัย 30 คนอื่นยังทำไม่ได้เลย! หลังใช้เวลาเพียง 24 นาทีทำประตูแรกในนัดประเดิมสนามบุนเดสลีกาปี 2010 ซนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดได้ในฤดูกาล 2012/13 เมื่อยิงได้ถึง 12 ประตูกับ 2 แอสซิสต์พาฮัมบวร์กจบอันดับ 7 บนตารางลีก หลังจบฤดูกาลนั้น ไบเออร์ เลเวอร์คูเซนก็รีบดึงตัวเขาไปร่วมทีมด้วยสถิติสโมสร รูดี้ โฟเลอร์ สปอร์ตติ้ง ไดเร็คเตอร์ ออกมากล่าวอย่างมั่นใจว่าซนจะช่วยทีมถล่มประตูได้ในบุนเดสลีกา เดเอฟเบ โพคาล และแชมเปียนส์ลีก และก็เป็นไปตามนั้น ซนช่วยให้ทีมจบท็อปโฟร์ได้ทั้งสองฤดูกาลที่เขาลงเล่น และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในแชมเปียนส์ลีกแม้จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายหลังพ่ายการดวลจุดโทษต่อแอธเลติโก มาดริด ก่อนที่จะถูกสเปอร์สคว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2015 ชื่อเสียงของเขาที่ดังกระฉ่อนไปทั่วทำให้เขามักถูกนำไปเปรียบกับ ชา บุม-กุน แข้งโสมขาวคนแรกในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา
ชา บูมมมมม! ตำนานโสมขาวคนแรกที่ได้มาโลดแล่นในลีกยุโรป ชาเคยค้าแข้งให้กับดาร์มชตัดท์ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และเลเวอร์คูเซนระหว่างปี 1979 ถึง 1989 อาชีพค้าแข้งของชาในถิ่นดาร์มชตัดท์นั้นมีอันต้องสะดุดเพราะติดหน้าที่เกณฑ์ทหาร แต่เขาก็กลับมาชดเชยเวลาที่เสียไปได้ที่แฟรงค์เฟิร์ต เมื่อคว้าแชมป์ยูเอฟ่า คัพ กับทีมได้ในปี 1980 และยิงประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศพาทีมคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ในปี 1981 ากนั้นเขาก็ถูกไกเซอร์สเลาเทิร์นดึงตัวไปร่วมทีมในปี 1983 ซึ่งก็คว้าแชมป์ยูเอฟ่า คัพ กับทีมได้อีกสมัยในปี 1988 ชาถูกเรียกว่า “ชา-บูม” ด้วยฝีมือการยิงประตูของเขา โดยเขาพังตาข่ายได้ถึง 98 ประตูจากการลงสนามในบุนเดสลีกา 308 นัด ยิงในเกมเดเอฟเบ โพคาล 10 ประตูจาก 21 นัด และยิงในฟุตบอลถ้วยยุโรป 4 ประตูจาก 19 นัด
ชา ดู-รี ลูกชายของเขาก็เป็นนักเตะที่ค้าแข้งในเยอรมนีเช่นกัน เขายิงประตูในบุนเดสลีกาไป 6 ประตู และยิงในบุนเดสลีกาสอง 11 ประตูตลอดการค้าแข้งกับแฟรงค์เฟิร์ต อาร์มิเนีย บีเลอเฟลด์ ไมนซ์ และฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ
ชา ดู-รี กล่าวว่า “สไตล์การเล่นในบุนเดสลีกานั้นเหมาะกับชาวเกาหลีใต้ ในช่วงก่อน พรีเมียร์ลีกอังกฤษถือเป็นลีกในฝันของนักเตะเกาหลีส่วนใหญ่โดยมี ปาร์ค จี-ซอง ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นต้นแบบ แต่ในช่วงไม่กี่ปีหลัง บุนเดสลีกาเริ่มมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นลีกที่ดีที่สุดลีกหนึ่งในโลก”
credit : www.siamsport.co.th
คู ชา-ชอล, ซน ฮึง-มิน และ ชา บุม-กุน สามแข้งโสมขาวในตำนานของบุนเดสลีกา
เพื่อฉลองความสำเร็จของแข้งดังจากแดนโสมขาววัย 29 ปีรายนี้ วันนี้เราขอพาไปย้อนชมเส้นทางอาชีพค้าแข้งของเขา พร้อมกับอีก 2 ตำนานดาวเตะเพื่อนร่วมชาติที่เคยฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา
จุดเริ่มต้น คู ชา-ชอล
หลังโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมเจจู ยูไนเต็ด ในลีกบ้านเกิด คู ในวัย 21 ปีก็บินข้ามทวีปมาค้าแข้งในเยอรมนีกับทีมโวล์ฟสบวร์กในเดือนมกราคมปี 2011 ซึ่งในปีต่อมาเขาได้โอกาสลงสนามในลีกถึง 22 นัด ก่อนที่จะย้ายไปเอาก์สบวร์กด้วยสัญญายืมตัว 18 เดือนตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2012 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นมิดฟิลด์ที่มีบทบาทสำคัญในทีมใหม่ เมื่อสามารถยิงได้ถึง 5 ประตูในครึ่งหลังของฤดูกาล 2011/12 รวมถึงยิงประตู “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ได้ถึงถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า ซึ่งช่วยให้ทีมเอาก์สบวร์กหนีตกชั้นได้สำเร็จ
หลังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนในฤดูกาล 2012/13 และย้ายกลับมายังโวล์ฟสบวร์ก เขาได้โอกาสลงเล่นไม่มากนัก ก่อนจะถูกไมนซ์คว้าตัวไปร่วมทีมในเดือนมกราคมปี 2014 ซึ่งเขามีความสุขและประสบความสำเร็จกับไมนซ์เป็นอย่างดี จนกระทั่งย้ายกลับมายังเอาก์สบวร์กในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 และอยู่กับทีมมาจนถึงทุกวันนี้
“เอาก์สบวร์กเป็นบ้านหลังที่สองของผม ผมกับครอบครัวมีความสุขที่นี่ มีพื้นที่สีเขียวมากมายและอากาศบริสุทธิ์ ผมอยากอยู่ที่เยอรมนีไปนานๆ โดยเฉพาะที่เอาก์สบวร์ก ตอนแรกที่ผมมาที่นี่ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีและเหงานิดหน่อย ผมไม่รู้ภาษาเลย แต่ผมก็บอกตัวเองว่าจะต้องยิงในเยอรมนีให้ได้สักประตูก่อนกลับบ้าน ผมยิงประตูแรกได้และอะไรๆ ก็เริ่มดีขึ้น และจากนั้นผมก็อยู่ยาวมาจนถึงตอนนี้!”
ที่จริงแล้วเขาได้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของเอาก์สบวร์กเลยทีเดียว เป็นมิดฟิลด์สารพัดประโยชน์เคยยิงได้สูงสุด 8 ประตูกับทำอีก 4 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2015/16 จนเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในบุนเดสลีกาปีนั้น แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง แต่เขาก็เป็นกำลังสำคัญในการพาทีมหนีตกชั้นได้
นอกจากนี้คูเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมชาติเกาหลีใต้ เขาทำไปแล้ว 19 ประตูจากการรับใช้ชาติ 71 นัด เคยพาทีมคว้าเหรียญทองแดงกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ซึ่งทำให้เขาได้รับการงดเว้นเข้าเกณฑ์ทหารตามกฏหมายเกาหลีใต้
ล่าสุดเจ้าตัวยังติดทัพทีมชาติเกาหลีใต้ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แม้ทีมจะตกรอบแบ่งกลุ่มแต่ก็สร้างประวัติศาสตร์โค่นแชมป์เก่าเยอรมนีจนกอดคอตกรอบตามกันไปได้สำเร็จ และในขณะนี้เขาก็กำลังพาทีมบ้านเกิดสู้ศึกเอเชียนคัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตเพื่อทวงบัลลังก์แชมป์กลับมาอีกครั้งหลังทำได้ครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว (ปี 1960) โดยเขาเดินทางไปลุยศึกครั้งนี้ร่วมกับ จี ดง-วอน เพื่อนร่วมทีมเอาก์สบวร์กที่แจ้งเกิดในบุนเดสลีกาเช่นเดียวกับเขาอีกด้วย ซน ฮึง-มิน ดาวรุ่งในถิ่นฮัมบวร์กและเลเวอร์คูเซน
แฟนบอลมักรู้จักซนดีในฐานะที่เป็นนักเตะคนสำคัญของทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แต่จริงๆ แล้วเขาเริ่มอาชีพนักเตะในวัย 16 ปีที่โรงเรียนฝึกหัดฟุตบอลเยาวชนของฮัมบวร์ก และเมื่อทีมยักษ์ใหญ่แห่งแดนเหนือมาเห็นแววเข้าจึงจับเขาเข้ามาฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ร่วมกับซูเปอร์สตาร์อย่าง รุด ฟาน นิสเตอรอย และ ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท “ผมไม่รู้จักใครเลยและไม่มีใครเข้าหาผม” ซนกล่าว
“ผมรู้สึกเหงา แต่ก็อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะทุกๆ คนก็ให้ความช่วยเหลือผม บางครั้งผมก็คิดถึงเกาหลีนะ แต่ผมอยากเล่นฟุตบอลอาชีพในยุโรป ผมจึงต้องอยู่ ฟาน นิสเตอรอย ช่วยผมไว้มาก เขาเห็นผมตั้งแต่ลงซ้อมครั้งแรกและคุยกับผม เขาบอกว่าผมเป็นนักเตะที่ดี เขาสร้างความมั่นใจให้ผมและผมก็อยากจะขอบคุณเขาเรื่องนี้”
แม้จะประสบการณ์น้อย แต่เขาก็โดดเด่นในฐานะปีกซ้ายตัวจี้ดของทีม ที่เปี่ยมด้วยเทคนิคและทักษะการเลี้ยงบอลยอดเยี่ยม ทำเอาดีตโค้ชฮัมบวร์ก อาร์มิน เฟห์ ประทับใจเป็นอย่างยิ่งจนต้องเอ่ยปากชมว่า “เขาอายุแค่ 18 ปี แต่ซนสามารถทำอะไรหลายอย่างที่นักเตะวัย 30 คนอื่นยังทำไม่ได้เลย! หลังใช้เวลาเพียง 24 นาทีทำประตูแรกในนัดประเดิมสนามบุนเดสลีกาปี 2010 ซนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดได้ในฤดูกาล 2012/13 เมื่อยิงได้ถึง 12 ประตูกับ 2 แอสซิสต์พาฮัมบวร์กจบอันดับ 7 บนตารางลีก หลังจบฤดูกาลนั้น ไบเออร์ เลเวอร์คูเซนก็รีบดึงตัวเขาไปร่วมทีมด้วยสถิติสโมสร รูดี้ โฟเลอร์ สปอร์ตติ้ง ไดเร็คเตอร์ ออกมากล่าวอย่างมั่นใจว่าซนจะช่วยทีมถล่มประตูได้ในบุนเดสลีกา เดเอฟเบ โพคาล และแชมเปียนส์ลีก และก็เป็นไปตามนั้น ซนช่วยให้ทีมจบท็อปโฟร์ได้ทั้งสองฤดูกาลที่เขาลงเล่น และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในแชมเปียนส์ลีกแม้จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายหลังพ่ายการดวลจุดโทษต่อแอธเลติโก มาดริด ก่อนที่จะถูกสเปอร์สคว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2015 ชื่อเสียงของเขาที่ดังกระฉ่อนไปทั่วทำให้เขามักถูกนำไปเปรียบกับ ชา บุม-กุน แข้งโสมขาวคนแรกในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา
ชา บูมมมมม! ตำนานโสมขาวคนแรกที่ได้มาโลดแล่นในลีกยุโรป ชาเคยค้าแข้งให้กับดาร์มชตัดท์ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และเลเวอร์คูเซนระหว่างปี 1979 ถึง 1989 อาชีพค้าแข้งของชาในถิ่นดาร์มชตัดท์นั้นมีอันต้องสะดุดเพราะติดหน้าที่เกณฑ์ทหาร แต่เขาก็กลับมาชดเชยเวลาที่เสียไปได้ที่แฟรงค์เฟิร์ต เมื่อคว้าแชมป์ยูเอฟ่า คัพ กับทีมได้ในปี 1980 และยิงประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศพาทีมคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ในปี 1981 ากนั้นเขาก็ถูกไกเซอร์สเลาเทิร์นดึงตัวไปร่วมทีมในปี 1983 ซึ่งก็คว้าแชมป์ยูเอฟ่า คัพ กับทีมได้อีกสมัยในปี 1988 ชาถูกเรียกว่า “ชา-บูม” ด้วยฝีมือการยิงประตูของเขา โดยเขาพังตาข่ายได้ถึง 98 ประตูจากการลงสนามในบุนเดสลีกา 308 นัด ยิงในเกมเดเอฟเบ โพคาล 10 ประตูจาก 21 นัด และยิงในฟุตบอลถ้วยยุโรป 4 ประตูจาก 19 นัด
ชา ดู-รี ลูกชายของเขาก็เป็นนักเตะที่ค้าแข้งในเยอรมนีเช่นกัน เขายิงประตูในบุนเดสลีกาไป 6 ประตู และยิงในบุนเดสลีกาสอง 11 ประตูตลอดการค้าแข้งกับแฟรงค์เฟิร์ต อาร์มิเนีย บีเลอเฟลด์ ไมนซ์ และฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ
ชา ดู-รี กล่าวว่า “สไตล์การเล่นในบุนเดสลีกานั้นเหมาะกับชาวเกาหลีใต้ ในช่วงก่อน พรีเมียร์ลีกอังกฤษถือเป็นลีกในฝันของนักเตะเกาหลีส่วนใหญ่โดยมี ปาร์ค จี-ซอง ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นต้นแบบ แต่ในช่วงไม่กี่ปีหลัง บุนเดสลีกาเริ่มมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นลีกที่ดีที่สุดลีกหนึ่งในโลก”
credit : www.siamsport.co.th