คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 47
วันก่อนเห็นคอมเมนท์ในเฟสบุค มีคนมาแซะว่าอาชีพนี้ฝรั่งเค้าไม่ได้มองว่าเป็นอาชีพนางฟ้านะ บางคนก็มาแซะว่าเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ ... อ่านแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย อยากขอพื้นที่ตรงนี้อธิบายนิดนึงนะคะ
คำว่าอาชีพนางฟ้านี่เราไม่ได้เป็นคนตั้งนะคะ แต่มันเหมือนคำเปรียบเปรย เป็น stereotype ที่คนไทยตั้งขึ้นมา เพราะเหมือนทำงานบนฟ้า เหมือนมีปีกบินไปบินมา ไม่ได้หมายความว่าเรามายกยอปอปั้นตัวเองว่าเป็นนางฟ้านะคะ อย่าเข้าใจผิดค่ะ มันผิดจุดประสงค์ที่เขียนกระทู้นี้ ที่เขียนเพราะแค่อยากเล่าประสบการณ์เฉยๆ ว่ากว่าจะได้ทำงาน กว่าจะเทรนจบ มันเป็นยังไง แตกต่างกับสายการบินอื่นยังไง ไม่ได้มาอวดว่าตัวเองเป็นนางฟ้า
ตอนแรกที่เขียนเพราะมันเซ็ง มันเบื่อ มันว่าง ไม่มีอะไรจะทำ ก็อยากมาเขียนบันทึกชีวิตตัวเองเล่นๆ ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเพราะมันยาวมาก รู้ว่าปกติคนไทยไม่ค่อยชอบอ่านอะไรยาวๆ แต่ดันได้ติดเทรนด์ เอาไปแชร์ในเฟส ... ไอ้เรามันก็คน sensitive อ่านบางข้อความแล้วก็เสียกำลังใจ ถ้าอ่านแค่หัวข้อไม่ได้อ่านเนื้อหาก็ข้ามไปก็ได้ค่ะ อย่ามาแขวะให้เสียความรู้สึกเลยเน้ออออออ
คำว่าอาชีพนางฟ้านี่เราไม่ได้เป็นคนตั้งนะคะ แต่มันเหมือนคำเปรียบเปรย เป็น stereotype ที่คนไทยตั้งขึ้นมา เพราะเหมือนทำงานบนฟ้า เหมือนมีปีกบินไปบินมา ไม่ได้หมายความว่าเรามายกยอปอปั้นตัวเองว่าเป็นนางฟ้านะคะ อย่าเข้าใจผิดค่ะ มันผิดจุดประสงค์ที่เขียนกระทู้นี้ ที่เขียนเพราะแค่อยากเล่าประสบการณ์เฉยๆ ว่ากว่าจะได้ทำงาน กว่าจะเทรนจบ มันเป็นยังไง แตกต่างกับสายการบินอื่นยังไง ไม่ได้มาอวดว่าตัวเองเป็นนางฟ้า
ตอนแรกที่เขียนเพราะมันเซ็ง มันเบื่อ มันว่าง ไม่มีอะไรจะทำ ก็อยากมาเขียนบันทึกชีวิตตัวเองเล่นๆ ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเพราะมันยาวมาก รู้ว่าปกติคนไทยไม่ค่อยชอบอ่านอะไรยาวๆ แต่ดันได้ติดเทรนด์ เอาไปแชร์ในเฟส ... ไอ้เรามันก็คน sensitive อ่านบางข้อความแล้วก็เสียกำลังใจ ถ้าอ่านแค่หัวข้อไม่ได้อ่านเนื้อหาก็ข้ามไปก็ได้ค่ะ อย่ามาแขวะให้เสียความรู้สึกเลยเน้ออออออ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
เห็นมั้ยคะว่ากว่าจะเป็นแอร์ได้มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วอะไรคือการที่เรียนเรื่องบริการแค่สามวันนนนนน แต่เรียนเรื่องความปลอดภัยเป็นเดือน เพราะงั้นอย่าแปลกใจเลยค่ะว่าทำไมฝรั่งถึงบริการไม่ค่อยดี ไม่นอบน้อมเท่าของเอเชีย เพราะเราไม่ได้เน้นบริการ เน้นเรื่องความปลอดภัยล้วนๆ แต่คนที่ไม่รู้ก็จะมองแค่เรื่องบริการ หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังพวกเราทุ่มเทกันแน่ไหนกับเรื่องความปลอดภัย เพราะ there is no second chance แล้วจะมาใช้เส้นใช้สายเหมือนเมืองไทยไม่ได้ เพราะสอบตกยังไงก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี เอะอะไล่กลับๆ
เรามาคุยกันดีกว่าว่าข้อดีข้อเสียของการเป็นแอร์คือยังไง ทำไมบางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี
คือก่อนอื่นอาชีพนี้มันเป็นไลฟ์สไตล์ค่ะ บางคนชอบทำงานประจำ มีเวลาเข้างานออกงานชัดเจน มีวันหยุดแน่นอน ได้กลับบ้านทุกวัน บางคนไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ บางคนชอบอยู่บ้าน ดูทีวี อ่านหนังสือ เล่นกับหมา บางคนชอบออกไปข้างนอก อยู่ไม่ติดบ้าน พวกนี้มันคือไลฟ์สไตล์ ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบแบบไหน โดยส่วนตัวเราเป็นพวกอยู่บ้านไม่ติด ต้องออกไปไหน ไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบทำอะไรเหมือนๆกันทุกวัน เราชอบไปเที่ยว ชอบเดินทาง เราเคยทำงานร้านอาหารซึ่งเราก็ชอบงานแนวนี้ ได้เจอผู้เจอคน
ข้อดีของการเป็นแอร์เท่าที่นึกได้นะคะ
- ได้บินไปโน่นไปนี่ เวลาทำงานถ้าต้องไปค้างที่อื่นก็ได้พักโรงแรมดีๆ มีเวลาเหลือก็ได้ออกไปเดินชมบ้านชมเมือง
- บินภายในประเทศฟรี ถ้าต่างประเทศเสียค่าภาษีนิดหน่อย
- พ่อแม่ ได้สิทธิ์เท่ากัน ส่งลูกไปเทรน แต่พ่อแม่ได้บินฟรี ได้สิทธิ์เท่ากันเลยจ้า
- สามีหรือภรรยา ลูก ก็ได้สิทธิ์บินฟรีนะคะ แต่มากน้อยยังไงจำไม่ได้แล้วเพราะเราไม่มีแฟนไม่มีลูก ตอนเค้าอธิบายเลยไม่ได้ตั้งใจฟัง
- Buddy pass คือตั๋วฟรี ปีนึงได้กี่ใบจำไม่ได้แล้ว ให้ใครใช้ก็ได้แล้วแต่เรา แต่มีข้อแม้คือต้องแต่งกายสุภาพ ทำตัวดีๆ ไม่ได้ทะเลาะหรือสร้างความวุ่นวาย
- ประกันสุขภาพดีในราคาถูก แต่ไม่ครอบคลุมพ่อแม่ ได้แค่คู่ครองกับลูก ถ้าป่วยไม่มาก สามารถไปคลินิคในสนามบินได้ ฟรีค่ะ
- เงินปีแรกยังไม่ดีค่ะ แต่เพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งทำนานๆเงินยิ่งเยอะ ยิ่งถ้าขยันทำเกินเวลาก็ยิ่งได้ตังค์มากขึ้น
- เรียนจบมัธยมก็สมัครงานได้ อายุขั้นต่ำคือ 21 แต่ไม่จำกัดอายุ คืออายุ 60 ก็มาสมัครได้ อ้วนผอมขาวดำมาสมัครได้หมด คือถ้าเป็นงานอื่น บางทีเรารู้สึกว่าข้อจำกัดมันเยอะ อายุมากขึ้นจะเปลี่ยนงานก็ยาก หน้าตาไม่ดี ไม่มีเส้นก็หางานยาก แต่งานนี้เหมือนมันค่อนข้างเปิดกว้างให้สิทธิ์คนเท่าเทียมกัน ตอนเราสมัคร มีคนมากมายที่สวย ดูดี แต่ก็ไม่ผ่าน คือก่อนที่จะมาเทรนเราว่าเค้าคัดจากทัศนคติก่อน ผ่านเข้ามาเทรนก็วัดที่ความสามารถ ไม่ต้องมานั่งแข่งขันเรื่องรูปร่างหน้าตา ไม่ต้องมาแข่งขันเรื่องเส้นสายว่าใครเส้นใหญ่กว่า คัดคนออกเรื่อยๆเหลือแต่คุณภาพดีๆ แฟร์ๆดีค่ะ
- งานไม่เครียด เดินออกจากเครื่องบินก็คือจบไม่ต้องแบกงานมาทำต่อที่บ้าน ไม่ต้องมานั่งคิดนั่งเครียดต่อ จบแล้วก็คือจบ สบายใจ
- เพื่อนร่วมงานส่วนมากจะดี บางทีไปบินกลับมาก็ได้เพื่อนดีๆเพิ่ม หรือถ้าเจอคนไหนไม่ค่อยดี ทำงานจบแล้วก็แยกย้าย โอกาสที่จะได้เจออีกค่อยข้างน้อย ไม่ต้องมานั่งมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
- กัปตันใจดีทั้งนั้น ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้คุยอะไร แต่บางทีกัปตันชอบเลี้ยงกาแฟ กัปตันชอบบอกว่ามีปัญหาอะไรให้บอก ถ้าพวกเธอ happy ชั้นก็ happy เลยไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาเจ้านายงี่เง่าเอาแต่ใจอะไรพวกนั้น
- ได้ส่วนลดเยอะ ส่วนลดโรงแรม เช่ารถ ล่องเรือครูซ ไปพิพิธภัณฑ์ฟรี ส่วนลดค่าโทรศัพท์ โน่นนี่นั่น
- เข้าไปในสนามบินโดยใช้บัตรพนักงาน อันนี้เป็นอะไรที่ชอบมากกกกกก ไม่ต้องไปต่อแถว security ไม่ต้องมาเช็คสแกนกระเป๋า ขนน้ำขนอาหารเข้าได้ไป แค่โชว์บัตรก็เดินปร๋อเข้าไปเลย
- เนื้องานค่อนข้างง่าย งานไม่หนัก คือหลักๆแค่เสิร์ฟน้ำหรืออาหาร รายละเอียดปลีกย่อยมีเยอะก็จริง แต่พอทำจนชินมันก็ไม่มีอะไรมาก สมมติบินในประเทศสองชั่วโมง พอเครื่องขึ้นแล้ว เสิร์ฟน้ำจริงๆใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เดินเก็บขยะรอบสองรอบ แค่นี้เองค่ะ เวลาที่เหลือว่างๆก็เม้ามอยกันไป ตั้งแต่ทำงาน ถ้าเปรียบเทียบกับร้านอาหาร เราว่างานนี้มันง่ายกว่าเยอะเลย เพราะร้านอาหารจุกจิกกว่าเยอะ ลูกค้าเรื่องมากกว่าเยอะ เดี๋ยวไม่ใส่ผักโน่น ไม่เอาอันนี้ จะเอาอันนั้น เปลี่ยนอันนี้เป็นอันนั้น วุ่นวาย เรื่องมาก เมื่อก่อนเคยมีลูกค้าชอบสั่งแกง เอาน้ำแกงข้นๆ แต่ไม่ข้นมาก แต่ห้ามเหลวเหมือนปกติ โอ้ยยยยยย .... หรือสั่งผัดวุ้นเส้นไม่ใส่ซอสซีอิ๊ว แค่ให้ใส่น้ำจิ้มไก่แทน บ้าบออออออ งานเรามันก็แค่มีหรือไม่มี สั่งดื่มมา มีก็ให้ ไม่มีก็บอกไปว่าไม่มี จบ ไม่ต้องยุ่งยากอะไร
- เดือนหนึ่งได้หยุด 12 วัน สำหรับพวกเด็กใหม่นะคะ แต่ถ้าแอร์รุ่นป้านี่ได้หยุดเยอะกว่านี้ ตารางแต่ละเดือนไม่เหมือนกัน แต่อย่างเดือนนี้เราได้หยุด 7 วันติดกัน นี่จองตั๋วไปอังกฤษแล้วจ้า อิอิ วันหยุดสามารถแลกเปลี่ยนได้ แล้วแต่ตาราง แล้วแต่จังหวะเวลา ห้ามทำงานเกิน 6 วัน เพราะแอร์ต้องพักผ่อน เสร็จจากทริปแอร์ต้องได้พักอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
- บนเครื่องจะกินน้ำอะไรก็กินไปค่ะ ยกเว้นแอลกอฮอล์ บางทีถ้าอาหารมันเหลือ หมายถึงขายไม่หมด หรือเกินมา เช่นผู้โดยสารเฟิร์สคลาสมี 12 คน แต่บางคนไม่กิน จะนอนอย่างเดียว หรือไม่ชอบเมนูอาหาร อันที่เหลือก็เสร็จพวกเรานี่แหละค่ะ หิวก็กิน ไม่หิวก็ทิ้ง
- ไม่จำกัดอายุเกษียณงาน บางคนนี่ทำจนงอมแล้วก็ไม่ยอมเกษียณ ตอนบินครั้งแรกเจอแอร์รุ่นป้า แต่นางบอกนางเพิ่งบินได้สามปี ถามว่านางอายุเท่าไหร่ นางบอกปีนี้ 60 โอ้ยยยยย คุณป้า เพิ่งเริ่มบินตอนอายุ 57 กับเมื่อวานเจอแอร์แม่ พวกเราเรียกแอร์รุ่นโบราณว่า senior mama นางบินมา 33 ปี แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดด้วย ยอมใจมาก
- โลกกว้างขึ้น ถึงเราจะทำได้ไม่นาน แต่ก็รู้สึกได้ว่าโลกมันกว้างขึ้น เจอคนมากขึ้น ทำงานทุกครั้งได้เพื่อนกลับมาทุกครั้ง หรือบางทีเวลาบินกับรุ่นเก๋า เราก็นั่งฟังประสบการณ์ของเค้าไป เพราะเค้าไปกันมาทั่วโลกแล้ว อะไรควรทำไม่ควรทำเค้าก็เล่าให้ฟังหมด
อันนี้เท่าที่นึกได้นะคะ เดี๋ยวถ้านึกอะไรได้เพิ่มเติมแล้วจะมาบอก
แต่ข้อเสียมันก็มีค่ะ มาฟังกันดีกว่า
- เหนื่อยกับการเดินทางและเวลาเปลี่ยน เวลากินเวลานอนนี่รวนหมดดดดดด ช่วงแรกๆร่างพังมาก ยิ่งถ้าทำกะกลางคืนยันเช้าเป็นอะไรที่รวนสุด ซึ่งเราไม่เคยเลย ปกติเป็นคนกินนอนตรงเวลา อันนี้เรายังปรับตัวอยู่ ยิ่งวันไหนที่บินหลายรัฐแล้วแต่ละที่เวลาไม่เหมือนกันนี่เป็นอะไรที่รวนสุด
- ช่วงแรกๆเราไม่มีตารางงาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องรอกี่ปีถึงจะได้ hold line หมายถึงรู้ตารางแน่นอนว่าวันนี้ไปไหนยังไง ของพวกเราตอนนี้เป็น reserve หรือคอยสแตนบายไว้ ต้องพร้อมเสมอ บางวันโทรมาเรียกตอนตี 3 ให้เวลาเตรียมตัว 2-3 ชั่วโมง หรือบางวันต้องไปนั่งสแตนบายที่สนามบิน เรียกปุ๊ปไปปั๊ป บางวันนอนแกร่วรออยู่บ้าน 4-5 วันก็ไม่เรียกไปทำงานซักที คือชีวิตขึ้นอยู่กับความไม่รู้ พวกเราจะรู้แค่ว่าทำงานวันไหน หยุดวันไหน แค่ไม่รู้ว่าจะได้ไปไหน
- รู้สึกป่วยง่ายขึ้น หรือเป็นเพราะเราย้ายจากเมืองร้อนอย่างฟลอริด้า จู่ๆมาเจออากาศหนาวที่นี่เลยป่วยง่ายรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าย้ายมาอาทิตย์แรกก็ป่วยเลย แถมหวัดลงคอ ไปบินครั้งแรกกลับมาเสียงหายเลยจ้า ต้องไปหาหมอ โดนหมอสั่งพักงาน เป็นเรื่องเป็นราวไปอีก บวกกับช่วงหน้าหนาวคนไม่สบายเยอะ เรารู้สึกว่าบนเครื่องเชื้อโรคยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่
- ตารางชีวิตไม่เหมือนชาวบ้าน คนอื่นหยุด เราทำงาน คนอื่นทำงาน เราหยุด เค้าไปฉลองเทศกาลอะไรกัน เราก็ไม่ได้ไปกับเค้า แต่โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยซีเรียสเรื่องวันหยุดเทศกาล เลยไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่
- บางทีมันก็เป็นอาชีพเหงาๆนะ คือทำงานไม่เป็นเวลา อยู่ห่างครอบครัว แต่ตัวเราไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะอยู่ห่างครอบครัวจนชิน แล้วเราแชร์บ้านกับเพื่อนที่เทรน กลับมาก็มาเม้ามอยกันทุกวัน ไม่เคยได้เหงา
- เงินเดือนปีแรกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีกว่างานอื่นๆอยู่ดี
- เทรนยากกกกกก
อันนี้มันขึ้นกับนิสัยและไลฟ์สไตล์ล้วนๆ ถ้าคนไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ ส่วนคนที่ชอบ ต่อให้บิน 40 ปี บินจนตายเค้าก็จะบิน แต่โดยส่วนตัวเราคิดว่าช่วงนี้โสดก็ทำไปเอาประสบการณ์ แต่ถึงวันนึงที่มีลูกมีครอบครัวก็คงต้องพักเบรค แต่เรื่องของอนาคตเดี๋ยวค่อยว่ากัน
ตอนเราตัดสินใจมาทำงานนี้ มีแต่โดนคนรอบข้างว่า ว่าเรียนจบตั้งโท พูดได้สามภาษา ทำไมเลือกมาทำงานนี้ เหนื่อยก็เหนื่อย ไม่เคยได้อยู่บ้าน ทำก็แค่งานเสิร์ฟบนเครื่องบิน ทำไมไม่ไปหางานอื่นดีๆทำ โดยส่วนตัวทีแรกเราอยากทำงานบริษัทหาประสบการ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพราะเราจบโทด้านนี้มา แต่เอาจริงๆคือตอนกลับมาหางาน จะเอางานดีๆเงินดีๆแต่ไม่มีประสบการณ์มันหางานยากจริงๆค่ะ เราสมัครงานรัฐบาลไปเยอะมากกกก แล้วก็โดนปฏิเสธกลับมาเพราะเราไม่มีประสบการณ์ ก็เพิ่งเรียนจบอ่ะ ไม่ให้โอกาสทำแล้วจะให้เอาประสบการณ์ที่ไหนอ่ะ แล้วระหว่างรองานอื่นๆเราก็ได้งานแอร์ก่อน ก็เลยคิดว่าทำอะไรไปก่อนก็ได้ เก็บประสบการณ์ไป ถ้าชอบก็ทำต่อ ไม่ชอบก็ค่อยหาใหม่ ดีกว่าทำร้านอาหารแล้วอยู่บ้านเกาะพ่อแม่ไปวันๆ เพื่อนๆพ่อแม่ทั้งไทยทั้งฝรั่งค่อนข้างดูถูกงานแอร์ บอกว่าเป็นขี้ข้าบนเครื่องบิน ตอนนั้นเราโมโหมาก กดดันมาก แต่เรารู้สึกว่างานมันก็คืองาน เราทำงานสุจริต เราต้องการโต ต้องการทำงานหาเงินเอง จ่ายค่าบ้านเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง มีบัตรเครดิตเป็นของตัวเอง ขอให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบก่อนได้มั้ย เพราะอาชีพนี้คืออาชีพในฝันตอนเด็กๆ
ถามว่าเงินมันแย่มั้ย ถ้าทำสายการบิน regional สายการบินเล็กๆ เงินน้อยจริงค่ะ แต่ถ้าทำ mainline สายการบินใหญ่ๆพวกเดลต้า ยูไนเตด อเมริกันแอร์ คือเงินมันค่อยข้างดีนะ สมมติเริ่มแรกได้ชั่วโมงละ $27 บวก per diem $2 ตีคร่าวๆเริ่มต้นชั่วโมงละ $29 คือถ้าทำงานอย่างอื่นเค้าได้กันแค่ชั่วโมงละ $10-15 เหรียญ แล้วพวกรุ่นป้าได้ชั่วโมงละ $70 เหรียญงี้ คือเงินดีนะคะ แถมได้เที่ยว ได้สวัสดิการอย่างอื่น แต่ของสายการบินเล็กนี่เราไม่แน่ใจว่ายังไง
อย่างที่บอกว่าทุกอย่างก็มีข้อดีข้อเสียอะค่ะ ทำงานประจำก็ใช่ว่าจะเพอร์เฟค ทำงานรัฐบาลก็ใช่ว่าจะมั่นคง จะสบาย ทำธุรกิจก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป do what you love, love what do you
เดี๋ยวไว้จะมาเล่าประสบการณ์ตอนไปบินให้ฟังนะคะ
เรามาคุยกันดีกว่าว่าข้อดีข้อเสียของการเป็นแอร์คือยังไง ทำไมบางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี
คือก่อนอื่นอาชีพนี้มันเป็นไลฟ์สไตล์ค่ะ บางคนชอบทำงานประจำ มีเวลาเข้างานออกงานชัดเจน มีวันหยุดแน่นอน ได้กลับบ้านทุกวัน บางคนไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ บางคนชอบอยู่บ้าน ดูทีวี อ่านหนังสือ เล่นกับหมา บางคนชอบออกไปข้างนอก อยู่ไม่ติดบ้าน พวกนี้มันคือไลฟ์สไตล์ ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบแบบไหน โดยส่วนตัวเราเป็นพวกอยู่บ้านไม่ติด ต้องออกไปไหน ไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบทำอะไรเหมือนๆกันทุกวัน เราชอบไปเที่ยว ชอบเดินทาง เราเคยทำงานร้านอาหารซึ่งเราก็ชอบงานแนวนี้ ได้เจอผู้เจอคน
ข้อดีของการเป็นแอร์เท่าที่นึกได้นะคะ
- ได้บินไปโน่นไปนี่ เวลาทำงานถ้าต้องไปค้างที่อื่นก็ได้พักโรงแรมดีๆ มีเวลาเหลือก็ได้ออกไปเดินชมบ้านชมเมือง
- บินภายในประเทศฟรี ถ้าต่างประเทศเสียค่าภาษีนิดหน่อย
- พ่อแม่ ได้สิทธิ์เท่ากัน ส่งลูกไปเทรน แต่พ่อแม่ได้บินฟรี ได้สิทธิ์เท่ากันเลยจ้า
- สามีหรือภรรยา ลูก ก็ได้สิทธิ์บินฟรีนะคะ แต่มากน้อยยังไงจำไม่ได้แล้วเพราะเราไม่มีแฟนไม่มีลูก ตอนเค้าอธิบายเลยไม่ได้ตั้งใจฟัง
- Buddy pass คือตั๋วฟรี ปีนึงได้กี่ใบจำไม่ได้แล้ว ให้ใครใช้ก็ได้แล้วแต่เรา แต่มีข้อแม้คือต้องแต่งกายสุภาพ ทำตัวดีๆ ไม่ได้ทะเลาะหรือสร้างความวุ่นวาย
- ประกันสุขภาพดีในราคาถูก แต่ไม่ครอบคลุมพ่อแม่ ได้แค่คู่ครองกับลูก ถ้าป่วยไม่มาก สามารถไปคลินิคในสนามบินได้ ฟรีค่ะ
- เงินปีแรกยังไม่ดีค่ะ แต่เพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งทำนานๆเงินยิ่งเยอะ ยิ่งถ้าขยันทำเกินเวลาก็ยิ่งได้ตังค์มากขึ้น
- เรียนจบมัธยมก็สมัครงานได้ อายุขั้นต่ำคือ 21 แต่ไม่จำกัดอายุ คืออายุ 60 ก็มาสมัครได้ อ้วนผอมขาวดำมาสมัครได้หมด คือถ้าเป็นงานอื่น บางทีเรารู้สึกว่าข้อจำกัดมันเยอะ อายุมากขึ้นจะเปลี่ยนงานก็ยาก หน้าตาไม่ดี ไม่มีเส้นก็หางานยาก แต่งานนี้เหมือนมันค่อนข้างเปิดกว้างให้สิทธิ์คนเท่าเทียมกัน ตอนเราสมัคร มีคนมากมายที่สวย ดูดี แต่ก็ไม่ผ่าน คือก่อนที่จะมาเทรนเราว่าเค้าคัดจากทัศนคติก่อน ผ่านเข้ามาเทรนก็วัดที่ความสามารถ ไม่ต้องมานั่งแข่งขันเรื่องรูปร่างหน้าตา ไม่ต้องมาแข่งขันเรื่องเส้นสายว่าใครเส้นใหญ่กว่า คัดคนออกเรื่อยๆเหลือแต่คุณภาพดีๆ แฟร์ๆดีค่ะ
- งานไม่เครียด เดินออกจากเครื่องบินก็คือจบไม่ต้องแบกงานมาทำต่อที่บ้าน ไม่ต้องมานั่งคิดนั่งเครียดต่อ จบแล้วก็คือจบ สบายใจ
- เพื่อนร่วมงานส่วนมากจะดี บางทีไปบินกลับมาก็ได้เพื่อนดีๆเพิ่ม หรือถ้าเจอคนไหนไม่ค่อยดี ทำงานจบแล้วก็แยกย้าย โอกาสที่จะได้เจออีกค่อยข้างน้อย ไม่ต้องมานั่งมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
- กัปตันใจดีทั้งนั้น ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้คุยอะไร แต่บางทีกัปตันชอบเลี้ยงกาแฟ กัปตันชอบบอกว่ามีปัญหาอะไรให้บอก ถ้าพวกเธอ happy ชั้นก็ happy เลยไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาเจ้านายงี่เง่าเอาแต่ใจอะไรพวกนั้น
- ได้ส่วนลดเยอะ ส่วนลดโรงแรม เช่ารถ ล่องเรือครูซ ไปพิพิธภัณฑ์ฟรี ส่วนลดค่าโทรศัพท์ โน่นนี่นั่น
- เข้าไปในสนามบินโดยใช้บัตรพนักงาน อันนี้เป็นอะไรที่ชอบมากกกกกก ไม่ต้องไปต่อแถว security ไม่ต้องมาเช็คสแกนกระเป๋า ขนน้ำขนอาหารเข้าได้ไป แค่โชว์บัตรก็เดินปร๋อเข้าไปเลย
- เนื้องานค่อนข้างง่าย งานไม่หนัก คือหลักๆแค่เสิร์ฟน้ำหรืออาหาร รายละเอียดปลีกย่อยมีเยอะก็จริง แต่พอทำจนชินมันก็ไม่มีอะไรมาก สมมติบินในประเทศสองชั่วโมง พอเครื่องขึ้นแล้ว เสิร์ฟน้ำจริงๆใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เดินเก็บขยะรอบสองรอบ แค่นี้เองค่ะ เวลาที่เหลือว่างๆก็เม้ามอยกันไป ตั้งแต่ทำงาน ถ้าเปรียบเทียบกับร้านอาหาร เราว่างานนี้มันง่ายกว่าเยอะเลย เพราะร้านอาหารจุกจิกกว่าเยอะ ลูกค้าเรื่องมากกว่าเยอะ เดี๋ยวไม่ใส่ผักโน่น ไม่เอาอันนี้ จะเอาอันนั้น เปลี่ยนอันนี้เป็นอันนั้น วุ่นวาย เรื่องมาก เมื่อก่อนเคยมีลูกค้าชอบสั่งแกง เอาน้ำแกงข้นๆ แต่ไม่ข้นมาก แต่ห้ามเหลวเหมือนปกติ โอ้ยยยยยย .... หรือสั่งผัดวุ้นเส้นไม่ใส่ซอสซีอิ๊ว แค่ให้ใส่น้ำจิ้มไก่แทน บ้าบออออออ งานเรามันก็แค่มีหรือไม่มี สั่งดื่มมา มีก็ให้ ไม่มีก็บอกไปว่าไม่มี จบ ไม่ต้องยุ่งยากอะไร
- เดือนหนึ่งได้หยุด 12 วัน สำหรับพวกเด็กใหม่นะคะ แต่ถ้าแอร์รุ่นป้านี่ได้หยุดเยอะกว่านี้ ตารางแต่ละเดือนไม่เหมือนกัน แต่อย่างเดือนนี้เราได้หยุด 7 วันติดกัน นี่จองตั๋วไปอังกฤษแล้วจ้า อิอิ วันหยุดสามารถแลกเปลี่ยนได้ แล้วแต่ตาราง แล้วแต่จังหวะเวลา ห้ามทำงานเกิน 6 วัน เพราะแอร์ต้องพักผ่อน เสร็จจากทริปแอร์ต้องได้พักอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
- บนเครื่องจะกินน้ำอะไรก็กินไปค่ะ ยกเว้นแอลกอฮอล์ บางทีถ้าอาหารมันเหลือ หมายถึงขายไม่หมด หรือเกินมา เช่นผู้โดยสารเฟิร์สคลาสมี 12 คน แต่บางคนไม่กิน จะนอนอย่างเดียว หรือไม่ชอบเมนูอาหาร อันที่เหลือก็เสร็จพวกเรานี่แหละค่ะ หิวก็กิน ไม่หิวก็ทิ้ง
- ไม่จำกัดอายุเกษียณงาน บางคนนี่ทำจนงอมแล้วก็ไม่ยอมเกษียณ ตอนบินครั้งแรกเจอแอร์รุ่นป้า แต่นางบอกนางเพิ่งบินได้สามปี ถามว่านางอายุเท่าไหร่ นางบอกปีนี้ 60 โอ้ยยยยย คุณป้า เพิ่งเริ่มบินตอนอายุ 57 กับเมื่อวานเจอแอร์แม่ พวกเราเรียกแอร์รุ่นโบราณว่า senior mama นางบินมา 33 ปี แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดด้วย ยอมใจมาก
- โลกกว้างขึ้น ถึงเราจะทำได้ไม่นาน แต่ก็รู้สึกได้ว่าโลกมันกว้างขึ้น เจอคนมากขึ้น ทำงานทุกครั้งได้เพื่อนกลับมาทุกครั้ง หรือบางทีเวลาบินกับรุ่นเก๋า เราก็นั่งฟังประสบการณ์ของเค้าไป เพราะเค้าไปกันมาทั่วโลกแล้ว อะไรควรทำไม่ควรทำเค้าก็เล่าให้ฟังหมด
อันนี้เท่าที่นึกได้นะคะ เดี๋ยวถ้านึกอะไรได้เพิ่มเติมแล้วจะมาบอก
แต่ข้อเสียมันก็มีค่ะ มาฟังกันดีกว่า
- เหนื่อยกับการเดินทางและเวลาเปลี่ยน เวลากินเวลานอนนี่รวนหมดดดดดด ช่วงแรกๆร่างพังมาก ยิ่งถ้าทำกะกลางคืนยันเช้าเป็นอะไรที่รวนสุด ซึ่งเราไม่เคยเลย ปกติเป็นคนกินนอนตรงเวลา อันนี้เรายังปรับตัวอยู่ ยิ่งวันไหนที่บินหลายรัฐแล้วแต่ละที่เวลาไม่เหมือนกันนี่เป็นอะไรที่รวนสุด
- ช่วงแรกๆเราไม่มีตารางงาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องรอกี่ปีถึงจะได้ hold line หมายถึงรู้ตารางแน่นอนว่าวันนี้ไปไหนยังไง ของพวกเราตอนนี้เป็น reserve หรือคอยสแตนบายไว้ ต้องพร้อมเสมอ บางวันโทรมาเรียกตอนตี 3 ให้เวลาเตรียมตัว 2-3 ชั่วโมง หรือบางวันต้องไปนั่งสแตนบายที่สนามบิน เรียกปุ๊ปไปปั๊ป บางวันนอนแกร่วรออยู่บ้าน 4-5 วันก็ไม่เรียกไปทำงานซักที คือชีวิตขึ้นอยู่กับความไม่รู้ พวกเราจะรู้แค่ว่าทำงานวันไหน หยุดวันไหน แค่ไม่รู้ว่าจะได้ไปไหน
- รู้สึกป่วยง่ายขึ้น หรือเป็นเพราะเราย้ายจากเมืองร้อนอย่างฟลอริด้า จู่ๆมาเจออากาศหนาวที่นี่เลยป่วยง่ายรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าย้ายมาอาทิตย์แรกก็ป่วยเลย แถมหวัดลงคอ ไปบินครั้งแรกกลับมาเสียงหายเลยจ้า ต้องไปหาหมอ โดนหมอสั่งพักงาน เป็นเรื่องเป็นราวไปอีก บวกกับช่วงหน้าหนาวคนไม่สบายเยอะ เรารู้สึกว่าบนเครื่องเชื้อโรคยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่
- ตารางชีวิตไม่เหมือนชาวบ้าน คนอื่นหยุด เราทำงาน คนอื่นทำงาน เราหยุด เค้าไปฉลองเทศกาลอะไรกัน เราก็ไม่ได้ไปกับเค้า แต่โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยซีเรียสเรื่องวันหยุดเทศกาล เลยไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่
- บางทีมันก็เป็นอาชีพเหงาๆนะ คือทำงานไม่เป็นเวลา อยู่ห่างครอบครัว แต่ตัวเราไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะอยู่ห่างครอบครัวจนชิน แล้วเราแชร์บ้านกับเพื่อนที่เทรน กลับมาก็มาเม้ามอยกันทุกวัน ไม่เคยได้เหงา
- เงินเดือนปีแรกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีกว่างานอื่นๆอยู่ดี
- เทรนยากกกกกก
อันนี้มันขึ้นกับนิสัยและไลฟ์สไตล์ล้วนๆ ถ้าคนไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ ส่วนคนที่ชอบ ต่อให้บิน 40 ปี บินจนตายเค้าก็จะบิน แต่โดยส่วนตัวเราคิดว่าช่วงนี้โสดก็ทำไปเอาประสบการณ์ แต่ถึงวันนึงที่มีลูกมีครอบครัวก็คงต้องพักเบรค แต่เรื่องของอนาคตเดี๋ยวค่อยว่ากัน
ตอนเราตัดสินใจมาทำงานนี้ มีแต่โดนคนรอบข้างว่า ว่าเรียนจบตั้งโท พูดได้สามภาษา ทำไมเลือกมาทำงานนี้ เหนื่อยก็เหนื่อย ไม่เคยได้อยู่บ้าน ทำก็แค่งานเสิร์ฟบนเครื่องบิน ทำไมไม่ไปหางานอื่นดีๆทำ โดยส่วนตัวทีแรกเราอยากทำงานบริษัทหาประสบการ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพราะเราจบโทด้านนี้มา แต่เอาจริงๆคือตอนกลับมาหางาน จะเอางานดีๆเงินดีๆแต่ไม่มีประสบการณ์มันหางานยากจริงๆค่ะ เราสมัครงานรัฐบาลไปเยอะมากกกก แล้วก็โดนปฏิเสธกลับมาเพราะเราไม่มีประสบการณ์ ก็เพิ่งเรียนจบอ่ะ ไม่ให้โอกาสทำแล้วจะให้เอาประสบการณ์ที่ไหนอ่ะ แล้วระหว่างรองานอื่นๆเราก็ได้งานแอร์ก่อน ก็เลยคิดว่าทำอะไรไปก่อนก็ได้ เก็บประสบการณ์ไป ถ้าชอบก็ทำต่อ ไม่ชอบก็ค่อยหาใหม่ ดีกว่าทำร้านอาหารแล้วอยู่บ้านเกาะพ่อแม่ไปวันๆ เพื่อนๆพ่อแม่ทั้งไทยทั้งฝรั่งค่อนข้างดูถูกงานแอร์ บอกว่าเป็นขี้ข้าบนเครื่องบิน ตอนนั้นเราโมโหมาก กดดันมาก แต่เรารู้สึกว่างานมันก็คืองาน เราทำงานสุจริต เราต้องการโต ต้องการทำงานหาเงินเอง จ่ายค่าบ้านเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง มีบัตรเครดิตเป็นของตัวเอง ขอให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบก่อนได้มั้ย เพราะอาชีพนี้คืออาชีพในฝันตอนเด็กๆ
ถามว่าเงินมันแย่มั้ย ถ้าทำสายการบิน regional สายการบินเล็กๆ เงินน้อยจริงค่ะ แต่ถ้าทำ mainline สายการบินใหญ่ๆพวกเดลต้า ยูไนเตด อเมริกันแอร์ คือเงินมันค่อยข้างดีนะ สมมติเริ่มแรกได้ชั่วโมงละ $27 บวก per diem $2 ตีคร่าวๆเริ่มต้นชั่วโมงละ $29 คือถ้าทำงานอย่างอื่นเค้าได้กันแค่ชั่วโมงละ $10-15 เหรียญ แล้วพวกรุ่นป้าได้ชั่วโมงละ $70 เหรียญงี้ คือเงินดีนะคะ แถมได้เที่ยว ได้สวัสดิการอย่างอื่น แต่ของสายการบินเล็กนี่เราไม่แน่ใจว่ายังไง
อย่างที่บอกว่าทุกอย่างก็มีข้อดีข้อเสียอะค่ะ ทำงานประจำก็ใช่ว่าจะเพอร์เฟค ทำงานรัฐบาลก็ใช่ว่าจะมั่นคง จะสบาย ทำธุรกิจก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป do what you love, love what do you
เดี๋ยวไว้จะมาเล่าประสบการณ์ตอนไปบินให้ฟังนะคะ
ความคิดเห็นที่ 25
นี่คือเรียนมาเดือนกว่าๆจนใกล้จะจบแล้ว มีแต่เรื่องความปลอดภัยล้วนๆๆๆๆ ยังไม่ได้เรียนเรื่องบริการเลยยยยย
สอบไฟนอลเสร็จ ก็โดนจับไปบินเลยค่า!!! ใช่ค่ะ เราไปบินโดยที่เรายังไม่ได้เรียนเรื่องบริการ ไม่ได้เรียนเรื่องเสิร์ฟ แต่ครั้งนี้คือไปประกบแอร์เฉยๆ ไปเรียนรู้งาน วันนั้นพวกเราไม่มีสิทธิ์ทำอะไรที่เกี่ยวกับ safety เช่นไม่สามารถเปิดปิดประตู แต่สามารถช่วยเรื่องบริการ เช่นเสิร์ฟดื่ม หรืออาหาร เทคออเดอร์ในเฟิร์สคลาส
วันนั้นเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกก แต่ยังรู้สึกสนุกเพราะวันนั้นได้บินกับเพื่อนสนิท ก็เลยฮาๆกันไป มีอาจารย์ไปด้วยหนึ่งคน พวกเรามีกันสี่คน บิน Chicago – Denver ไปถึงแล้วก็กลับเลย ไม่มีเวลากินข้าวด้วยซ้ำ ... ขึ้นเครื่องลำ 737 ... ขาไปเราได้เสิร์ฟเฟิร์สคลาส เทคออเดอร์ดื่ม อาหาร แจกผ้าร้อนเช็ดมือ ดูแลตรงนั้น ส่วนขากลับเสิร์ฟชั้น economy ก็แจกขนม เสิร์ฟน้ำ ไม่ยุ่งยากอะไร
แต่ตอนวางแก้วนี่เห็นเลยว่ามือสั่น แถมด้วยความตื่นเต้นบวกเกร็ง เราจะหยิบแก้วน้ำ แต่ด้วยความมือสั่น นี่ก็ทำแก้วปลิวตกใส่ผู้โดยสารบ้าง ทำกระดาษทิชชู่หล่นปลิวว่อนบ้าง ก็ตกใจ แล้วก็ขอโทษขอโพยไป บอกไปว่าเป็นเด็กฝึกงาน ซึ่งทุกคนก็เข้าใจดี ไม่ได้ว่าอะไร แต่คือเป็นอะไรที่นึกแล้วก็ฮา เพื่อนเรานี่ยิ่งหนัก ไปทำน้ำส้มหกใส่ผู้โดยสารเฟิร์สคลาสกันเลยทีเดียว
พอเสร็จจากนั้นก็กลับมาเรียนต่อค่ะ ใช่ค่ะ เรียนบริการค่ะ
วันแรกเรียนเฟิร์สคลาส
หูยยยยยยย งานดีมาก ชอบมาก เรียนเยอะก็จริง แต่คือเป็นวันที่ได้กินดีเหลือเกิน
อาจารย์เอาอุปกรณ์จริงมาทุกอย่าง สอนๆๆๆไปซักพัก ถึงเวลาสาธิต เสิร์ฟดื่มก่อน ให้พวกเรานี่แหละเสิร์ฟกันเอง ได้กินน้ำเสร็จแล้วได้กินของว่าง เป็นถั่วรวมหลายๆชนิดใส่ถ้วยเล็กๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆเรามันไม่กิน เสร็จโจรสิ หึหึ ... ฟาดถั่วไปสองถ้วย เอ้า ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ได้กินเมนูลอบเตอร์จ้า มีสลัด มีขนมปังกับเนยอีก เสิร์ฟดื่มอีก ของหวานต่อด้วยคุกกี้ยักษ์อีก โอ้ยยยยย พุงจะแตกตาย
วันต่อมาเรียนชั้น economy เหอะ! กินแซนวิชจ้า (มองแรงงงงง)
คือต้องอธิบายก่อนว่าช่วงเทรนใหม่ๆเราก็ได้กินดีอยู่ดีอะค่ะ กินพาสต้า กิน taco กินข้าวกินไก่ มีสลัด มีผัก แต่กินดีอยู่ได้ไม่กี่วัน ที่เหลือก็จะเป็นแซนวิช กินแรกๆก็อร่อย พอกินติดๆกันนานๆเท่านั้นแหละ โอ้ยยยยย แค่เห็นกล่องก็อยากจะเขวี้ยงทิ้งแล้ว แต่ถึงเวลาจริงๆมันหิว กินอะไรก็อร่อยแหละ แต่มันก็เอือมอ่ะ ตั้งแต่เทรนจบ เราไม่เคยแตะแซนวิชอีกเลย ขยาดไปอีกนานนนนน
เรียน economy ก็ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ ไม่ยุ่งยาก ไม่มีพิธีรีตองอะไรเยอะเหมือนเฟิร์สคลาส พอเรียนจบคราวนี้ก็ได้เวลาบินอีกแล้ววววววว
อีกวันเรียน international อันนี้ก็ดีเทล์เยอะะะะะ แต่ได้กินดีกว่า economy นิดนึง มีอาหาร มีของหวาน
คราวนี้บินกับเพื่อนในห้องเหมือนเดิม แต่สลับคน สลับที่ สลับตำแหน่งกัน คือแอร์เนี่ยจะมีตำแหน่งของแต่ละคน มีที่นั่งระบุชัดเจนว่าต้องนั่งตรงไหน มีหน้าที่ความรับผิดชอบแบ่งแยกชัดเจน แต่ละครั้งที่บินเราไม่รู้หรอกว่าจะได้ตำแหน่งอะไร ก็แล้วแต่เค้าจะจัดมา เพราะฉะนั้นต้องเป็นทุกตำแหน่ง
รอบนี้ไปกันสามคน บิน Chicago-Pittsburgh แต่รอบนี้บินแอร์บัส คราวนี้มีแอร์อยู่ด้วยก็จริง แต่คราวนี้เค้าให้ล็อคและปลดล็อคประตู โดยที่แอร์พี่เลี้ยงยืนประกบอยู่ข้างๆ แต่เค้าให้เราประกาศเอง รอเครื่องขึ้น แอร์พี่เลี้ยงก็ไปนั่ง ปล่อยให้พวกเราทำเองหมดจนถึงช่วงใกล้ๆจะลง เค้าถึงมาประจำตำแหน่งตัวเอง แล้วให้พวกเรากลับไปนั่งที่ ส่วนอาจารย์ก็ไปนั่งเม้ามอยอยู่กับแอร์พี่เลี้ยงข้างหลัง
รอบนี้เรานี่ซวยสุดดดดดดดดด ปกติเราก็เข้ากับเพื่อนได้หมดทุกคนนะ ยกเว้นมีคนนึงที่เราไม่ชอบเอามากๆ ขอเม้านางหน่อยนะ คือนางอะเป็นผิวดำที่สวยนะ สูงผอม เคยเป็นแอร์มาก่อน ฉลาดมาก แต่นิสัยเสีย ชอบอวดรู้ ชอบติคนอื่น ชอบทำตัวเด่น แต่หยิ่งมาก แถมเจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวเป็นบอส จนหลังๆเพื่อนเอือมระอา ไม่มีใครคบ แล้วเราก็ดันได้บินกับนางอีกกกกก โอ้ยยยย ตอนที่รู้นี่แบบ .... เครียดดดดดดดด
ยังไม่พอ เราได้ตำแหน่ง purser แอร์ที่เป็นหลีด เป็นคนประกาศ แล้วแอร์บัสลำมันเล็ก ตอนบินเราอยู่ข้างหน้าคนเดียว กดดันไปอีกกกกกก ขากลับค่อยยังชั่วหน่อยได้ไปอยู่ข้างหลัง เม้ามอยกับเพื่อนไป ขากลับโจทย์เรานางเป็น purser อยู่ข้างหน้าคนเดียว .. สบายใจ ...
บินเสร็จ อาจารย์ก็เรียกไปคุย บอกว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนที่ต้องแก้ไข แล้วนางก็ชมว่าพวกเราทำได้ดีนะ ทำสาธิต safety demo ได้ดีมาก สรุปผ่านทุกคน
หลังจากนี้ก็กลับไปเรียนอีกวันสองวัน แล้วก็รับปริญญาแล้วค่ะ พิธีสั้นๆได้ใจความ ซ้อมรับตอนเช้า ตอนบ่ายเข้าพิธี น้ำตาซึมกันไป เค้าให้ตั๋วฟรีสองที่นั่งเชิญใครมาก็ได้ เราให้พ่อแม่มา บางคนก็ขนกันมาเป็นครอบครัว รับปริญญาเสร็จกลับบ้านกันวันนั้นเลย ถ้าจะอยู่ต่อ ต้องจ่ายค่าโรงแรมเอง ค่าตั๋วทั้งขามาและขากลับฟรีหมดค่ะ ไม่ได้จ่ายอะไร ให้กลับไปพักหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะได้ปฐมนิเทศ
สอบไฟนอลเสร็จ ก็โดนจับไปบินเลยค่า!!! ใช่ค่ะ เราไปบินโดยที่เรายังไม่ได้เรียนเรื่องบริการ ไม่ได้เรียนเรื่องเสิร์ฟ แต่ครั้งนี้คือไปประกบแอร์เฉยๆ ไปเรียนรู้งาน วันนั้นพวกเราไม่มีสิทธิ์ทำอะไรที่เกี่ยวกับ safety เช่นไม่สามารถเปิดปิดประตู แต่สามารถช่วยเรื่องบริการ เช่นเสิร์ฟดื่ม หรืออาหาร เทคออเดอร์ในเฟิร์สคลาส
วันนั้นเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกก แต่ยังรู้สึกสนุกเพราะวันนั้นได้บินกับเพื่อนสนิท ก็เลยฮาๆกันไป มีอาจารย์ไปด้วยหนึ่งคน พวกเรามีกันสี่คน บิน Chicago – Denver ไปถึงแล้วก็กลับเลย ไม่มีเวลากินข้าวด้วยซ้ำ ... ขึ้นเครื่องลำ 737 ... ขาไปเราได้เสิร์ฟเฟิร์สคลาส เทคออเดอร์ดื่ม อาหาร แจกผ้าร้อนเช็ดมือ ดูแลตรงนั้น ส่วนขากลับเสิร์ฟชั้น economy ก็แจกขนม เสิร์ฟน้ำ ไม่ยุ่งยากอะไร
แต่ตอนวางแก้วนี่เห็นเลยว่ามือสั่น แถมด้วยความตื่นเต้นบวกเกร็ง เราจะหยิบแก้วน้ำ แต่ด้วยความมือสั่น นี่ก็ทำแก้วปลิวตกใส่ผู้โดยสารบ้าง ทำกระดาษทิชชู่หล่นปลิวว่อนบ้าง ก็ตกใจ แล้วก็ขอโทษขอโพยไป บอกไปว่าเป็นเด็กฝึกงาน ซึ่งทุกคนก็เข้าใจดี ไม่ได้ว่าอะไร แต่คือเป็นอะไรที่นึกแล้วก็ฮา เพื่อนเรานี่ยิ่งหนัก ไปทำน้ำส้มหกใส่ผู้โดยสารเฟิร์สคลาสกันเลยทีเดียว
พอเสร็จจากนั้นก็กลับมาเรียนต่อค่ะ ใช่ค่ะ เรียนบริการค่ะ
วันแรกเรียนเฟิร์สคลาส
หูยยยยยยย งานดีมาก ชอบมาก เรียนเยอะก็จริง แต่คือเป็นวันที่ได้กินดีเหลือเกิน
อาจารย์เอาอุปกรณ์จริงมาทุกอย่าง สอนๆๆๆไปซักพัก ถึงเวลาสาธิต เสิร์ฟดื่มก่อน ให้พวกเรานี่แหละเสิร์ฟกันเอง ได้กินน้ำเสร็จแล้วได้กินของว่าง เป็นถั่วรวมหลายๆชนิดใส่ถ้วยเล็กๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆเรามันไม่กิน เสร็จโจรสิ หึหึ ... ฟาดถั่วไปสองถ้วย เอ้า ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ได้กินเมนูลอบเตอร์จ้า มีสลัด มีขนมปังกับเนยอีก เสิร์ฟดื่มอีก ของหวานต่อด้วยคุกกี้ยักษ์อีก โอ้ยยยยย พุงจะแตกตาย
วันต่อมาเรียนชั้น economy เหอะ! กินแซนวิชจ้า (มองแรงงงงง)
คือต้องอธิบายก่อนว่าช่วงเทรนใหม่ๆเราก็ได้กินดีอยู่ดีอะค่ะ กินพาสต้า กิน taco กินข้าวกินไก่ มีสลัด มีผัก แต่กินดีอยู่ได้ไม่กี่วัน ที่เหลือก็จะเป็นแซนวิช กินแรกๆก็อร่อย พอกินติดๆกันนานๆเท่านั้นแหละ โอ้ยยยยย แค่เห็นกล่องก็อยากจะเขวี้ยงทิ้งแล้ว แต่ถึงเวลาจริงๆมันหิว กินอะไรก็อร่อยแหละ แต่มันก็เอือมอ่ะ ตั้งแต่เทรนจบ เราไม่เคยแตะแซนวิชอีกเลย ขยาดไปอีกนานนนนน
เรียน economy ก็ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ ไม่ยุ่งยาก ไม่มีพิธีรีตองอะไรเยอะเหมือนเฟิร์สคลาส พอเรียนจบคราวนี้ก็ได้เวลาบินอีกแล้ววววววว
อีกวันเรียน international อันนี้ก็ดีเทล์เยอะะะะะ แต่ได้กินดีกว่า economy นิดนึง มีอาหาร มีของหวาน
คราวนี้บินกับเพื่อนในห้องเหมือนเดิม แต่สลับคน สลับที่ สลับตำแหน่งกัน คือแอร์เนี่ยจะมีตำแหน่งของแต่ละคน มีที่นั่งระบุชัดเจนว่าต้องนั่งตรงไหน มีหน้าที่ความรับผิดชอบแบ่งแยกชัดเจน แต่ละครั้งที่บินเราไม่รู้หรอกว่าจะได้ตำแหน่งอะไร ก็แล้วแต่เค้าจะจัดมา เพราะฉะนั้นต้องเป็นทุกตำแหน่ง
รอบนี้ไปกันสามคน บิน Chicago-Pittsburgh แต่รอบนี้บินแอร์บัส คราวนี้มีแอร์อยู่ด้วยก็จริง แต่คราวนี้เค้าให้ล็อคและปลดล็อคประตู โดยที่แอร์พี่เลี้ยงยืนประกบอยู่ข้างๆ แต่เค้าให้เราประกาศเอง รอเครื่องขึ้น แอร์พี่เลี้ยงก็ไปนั่ง ปล่อยให้พวกเราทำเองหมดจนถึงช่วงใกล้ๆจะลง เค้าถึงมาประจำตำแหน่งตัวเอง แล้วให้พวกเรากลับไปนั่งที่ ส่วนอาจารย์ก็ไปนั่งเม้ามอยอยู่กับแอร์พี่เลี้ยงข้างหลัง
รอบนี้เรานี่ซวยสุดดดดดดดดด ปกติเราก็เข้ากับเพื่อนได้หมดทุกคนนะ ยกเว้นมีคนนึงที่เราไม่ชอบเอามากๆ ขอเม้านางหน่อยนะ คือนางอะเป็นผิวดำที่สวยนะ สูงผอม เคยเป็นแอร์มาก่อน ฉลาดมาก แต่นิสัยเสีย ชอบอวดรู้ ชอบติคนอื่น ชอบทำตัวเด่น แต่หยิ่งมาก แถมเจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวเป็นบอส จนหลังๆเพื่อนเอือมระอา ไม่มีใครคบ แล้วเราก็ดันได้บินกับนางอีกกกกก โอ้ยยยย ตอนที่รู้นี่แบบ .... เครียดดดดดดดด
ยังไม่พอ เราได้ตำแหน่ง purser แอร์ที่เป็นหลีด เป็นคนประกาศ แล้วแอร์บัสลำมันเล็ก ตอนบินเราอยู่ข้างหน้าคนเดียว กดดันไปอีกกกกกก ขากลับค่อยยังชั่วหน่อยได้ไปอยู่ข้างหลัง เม้ามอยกับเพื่อนไป ขากลับโจทย์เรานางเป็น purser อยู่ข้างหน้าคนเดียว .. สบายใจ ...
บินเสร็จ อาจารย์ก็เรียกไปคุย บอกว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนที่ต้องแก้ไข แล้วนางก็ชมว่าพวกเราทำได้ดีนะ ทำสาธิต safety demo ได้ดีมาก สรุปผ่านทุกคน
หลังจากนี้ก็กลับไปเรียนอีกวันสองวัน แล้วก็รับปริญญาแล้วค่ะ พิธีสั้นๆได้ใจความ ซ้อมรับตอนเช้า ตอนบ่ายเข้าพิธี น้ำตาซึมกันไป เค้าให้ตั๋วฟรีสองที่นั่งเชิญใครมาก็ได้ เราให้พ่อแม่มา บางคนก็ขนกันมาเป็นครอบครัว รับปริญญาเสร็จกลับบ้านกันวันนั้นเลย ถ้าจะอยู่ต่อ ต้องจ่ายค่าโรงแรมเอง ค่าตั๋วทั้งขามาและขากลับฟรีหมดค่ะ ไม่ได้จ่ายอะไร ให้กลับไปพักหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะได้ปฐมนิเทศ
ความคิดเห็นที่ 23
Aircraft Doors
เครื่องบินแต่ละลำจะมีประตูที่ไม่เหมือนกัน วิธีการเปิดปิดประตู การล็อคไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ให้หมด ที่เรียนมีทั้งหมด 6 ประตู หรือ 6 ชนิดของเครื่องบิน ฟังดูก็ไม่น่ายาก แต่คือมันเยอะมากกกกกก แล้วคือไม่ได้เรียนแค่ประตู แต่เรียนเครื่องบินแต่ละรุ่น เรียนทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ เรียนวันละหนึ่งประตู เรียนเสร็จวันนั้น ตกเย็นสอบเลย อาทิตย์นั้นเป็นอะไรที่โหดพอควร แล้วเวลาสอบ เราสอบในคอมค่ะ สอบเสร็จรู้ผลตรงนั้นเลยว่าตกหรือผ่าน ไหนจะภาคปฏิบัติกับอาจารย์อีก เช้ายันเย็นติดกันทุกวัน มีเพื่อนสอบตกโดนส่งกลับบ้านไปคน ยิ่งทำให้เครียดกันเข้าไปใหญ่
ผ่านช่วงสัปดาห์ประตูเสร็จ ยังหายใจไม่ทันทั่วท้อง ก็ถึงเวลาสอบไฟนอล เข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 แล้ววววว เวลาผ่านไปไวมาก
ไฟนอลนี่คือรวมหมดเลยตั้งแต่ที่เรียนวันแรกจนถึงวันนั้น ไฟนอลจะแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือสอบในคอม มีทั้งหมด 100 ข้อ ต้องให้ได้ 80% ขึ้น ส่วนที่สองคือเรื่องอุปกรณ์ พวกเครื่องดับเพลิง โน่นนี่นั่น ส่วนที่สามอันนี้เป็นอันที่เราหวั่นไหวที่สุด คือ first aid ซึ่งต้องทำ cpr คือตอนเรียนเรามีปัญหากับการปั๊มหัวใจมาก ไม่รู้ว่าเพราะหุ่นมันแข็งด้วย เพราะเราทำไม่ถูกวิธีด้วย หรือยังไง แต่คือตอนเรียนนี่ปั๊มจนมือแดงเจ็บไปเป็นอาทิตย์ยังทำไม่ค่อยได้เลย แล้วต้องรู้วีธีใช้ AED หรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า แล้วตอนเรียนทุกคนมีโอกาสได้ซ้อมกับหุ่นก็จริง แต่เวลาเรียนคือทุกอย่างเร็วมากกกกก ไม่ได้มีเวลามาให้ซ้อมให้ถามกันเยอะ เพราะแต่ละวันข้อมูลเยอะมากจริงๆ วันสอบไฟนอลนี่ก็หวั่นไหว นึกว่าจะตกซะแล้ว แต่โชคดีที่เทคเดียวผ่าน ไม่ต้องซ่อมต้องแก้อะไร ..
วันไฟนอลเพื่อนห้องเราตกไปสามคน คือจะบอกว่ามาเทรนมันเหมือนมาเข้าค่ายอะค่ะ เพราะเรากินนอนด้วยกัน เรียนด้วยกันทั้งวัน กลับมายังมาเจอกัน กินข้าวด้วยกัน เม้ามอยกัน หัวเราะร้องไห้ด้วยกัน ว่างๆไปเที่ยวกัน มีอะไรช่วยเหลือกันตลอด ยิ่งช่วงติวด้วยกันก่อนสอบแต่ละครั้ง คือยังฉุดกระชากลากถู ทั้งขู่เข็ญ ทั้งดึงทั้งลาก กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ด้วยกัน ความผูกพันมันมีมากแน่นอน แล้ววันสอบไฟนอลเพื่อนสนิทในกลุ่มเราหายไปสองคน ส่งข้อความมาบอกว่า “อยู่บนรถแล้วนะ ดีใจที่ได้รู้จัก รักพวกเธอทุกคน” ... โอ้โหหหหหห น้ำตาแตกเลย เพื่อนก็ตกใจกันว่าเป็นอะไร พอรู้ว่านังพวกนี้สอบตกเท่านั้นแหละ พากันร้องไห้กันเกือบทั้งห้อง ดราม่าสุด อารมณ์อ่อนไหวสุด ซึ่งตอนเราเข้าใจเลยว่าทำไมเค้าคนที่ตกไปแบบเงียบๆ เพราะถ้าเห็นสภาพเพื่อนร้องไห้เดินมาเก็บข้าวของ เราคงทำใจลำบาก แถมคงเครียดหนัก กดดันหนักกว่าเดิม ... วันนั้นเราสงสารเพื่อนมาก คือนางแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เป็นคนที่ขยันมากกกกกกก มากกว่าเราหลายร้อยเท่านัก แล้วนางทุ่มเท ตั้งใจมากตั้งแต่วันแรก แล้วมันเหลืออีกแค่นิดเดียว นางสอบผ่านหมดทุกอย่างยกเว้นตอนภาคปฏิบัติที่ต้องอพยพคน พลาดเพียงเพราะว่าเปิดประตูเลยโดยที่ลืมมองดูหน้าต่างว่าสภาพภายนอกเป็นยังไง แค่นั้นแหละค่ะ ถือว่าตกทันที ไม่มีการซ่อม
โดยปกติช่วงที่เทรน สอบเป็นสิบๆครั้ง แต่สามารถตกได้หนึ่งครั้ง ใครที่ใช้สิทธิ์ไปแต่เนิ่นๆก็อยู่แบบหวั่นไหวกันไป ส่วนไฟนอลสามารถตกได้หนึ่งครั้งไม่เกี่ยวกับปกติที่ผ่านมา ... แต่เราไม่เคยตกซักอย่างนะ แอบภูมิใจเบาๆ
เทรนใกล้จบแล้วววววว
คงนึกว่าสอบผ่านแล้วก็คือผ่านใช่มั้ยคะ ผิดค่ะ!! มันยังไม่จบแค่นี้
เครื่องบินแต่ละลำจะมีประตูที่ไม่เหมือนกัน วิธีการเปิดปิดประตู การล็อคไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ให้หมด ที่เรียนมีทั้งหมด 6 ประตู หรือ 6 ชนิดของเครื่องบิน ฟังดูก็ไม่น่ายาก แต่คือมันเยอะมากกกกกก แล้วคือไม่ได้เรียนแค่ประตู แต่เรียนเครื่องบินแต่ละรุ่น เรียนทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ เรียนวันละหนึ่งประตู เรียนเสร็จวันนั้น ตกเย็นสอบเลย อาทิตย์นั้นเป็นอะไรที่โหดพอควร แล้วเวลาสอบ เราสอบในคอมค่ะ สอบเสร็จรู้ผลตรงนั้นเลยว่าตกหรือผ่าน ไหนจะภาคปฏิบัติกับอาจารย์อีก เช้ายันเย็นติดกันทุกวัน มีเพื่อนสอบตกโดนส่งกลับบ้านไปคน ยิ่งทำให้เครียดกันเข้าไปใหญ่
ผ่านช่วงสัปดาห์ประตูเสร็จ ยังหายใจไม่ทันทั่วท้อง ก็ถึงเวลาสอบไฟนอล เข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 แล้ววววว เวลาผ่านไปไวมาก
ไฟนอลนี่คือรวมหมดเลยตั้งแต่ที่เรียนวันแรกจนถึงวันนั้น ไฟนอลจะแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือสอบในคอม มีทั้งหมด 100 ข้อ ต้องให้ได้ 80% ขึ้น ส่วนที่สองคือเรื่องอุปกรณ์ พวกเครื่องดับเพลิง โน่นนี่นั่น ส่วนที่สามอันนี้เป็นอันที่เราหวั่นไหวที่สุด คือ first aid ซึ่งต้องทำ cpr คือตอนเรียนเรามีปัญหากับการปั๊มหัวใจมาก ไม่รู้ว่าเพราะหุ่นมันแข็งด้วย เพราะเราทำไม่ถูกวิธีด้วย หรือยังไง แต่คือตอนเรียนนี่ปั๊มจนมือแดงเจ็บไปเป็นอาทิตย์ยังทำไม่ค่อยได้เลย แล้วต้องรู้วีธีใช้ AED หรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า แล้วตอนเรียนทุกคนมีโอกาสได้ซ้อมกับหุ่นก็จริง แต่เวลาเรียนคือทุกอย่างเร็วมากกกกก ไม่ได้มีเวลามาให้ซ้อมให้ถามกันเยอะ เพราะแต่ละวันข้อมูลเยอะมากจริงๆ วันสอบไฟนอลนี่ก็หวั่นไหว นึกว่าจะตกซะแล้ว แต่โชคดีที่เทคเดียวผ่าน ไม่ต้องซ่อมต้องแก้อะไร ..
วันไฟนอลเพื่อนห้องเราตกไปสามคน คือจะบอกว่ามาเทรนมันเหมือนมาเข้าค่ายอะค่ะ เพราะเรากินนอนด้วยกัน เรียนด้วยกันทั้งวัน กลับมายังมาเจอกัน กินข้าวด้วยกัน เม้ามอยกัน หัวเราะร้องไห้ด้วยกัน ว่างๆไปเที่ยวกัน มีอะไรช่วยเหลือกันตลอด ยิ่งช่วงติวด้วยกันก่อนสอบแต่ละครั้ง คือยังฉุดกระชากลากถู ทั้งขู่เข็ญ ทั้งดึงทั้งลาก กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ด้วยกัน ความผูกพันมันมีมากแน่นอน แล้ววันสอบไฟนอลเพื่อนสนิทในกลุ่มเราหายไปสองคน ส่งข้อความมาบอกว่า “อยู่บนรถแล้วนะ ดีใจที่ได้รู้จัก รักพวกเธอทุกคน” ... โอ้โหหหหหห น้ำตาแตกเลย เพื่อนก็ตกใจกันว่าเป็นอะไร พอรู้ว่านังพวกนี้สอบตกเท่านั้นแหละ พากันร้องไห้กันเกือบทั้งห้อง ดราม่าสุด อารมณ์อ่อนไหวสุด ซึ่งตอนเราเข้าใจเลยว่าทำไมเค้าคนที่ตกไปแบบเงียบๆ เพราะถ้าเห็นสภาพเพื่อนร้องไห้เดินมาเก็บข้าวของ เราคงทำใจลำบาก แถมคงเครียดหนัก กดดันหนักกว่าเดิม ... วันนั้นเราสงสารเพื่อนมาก คือนางแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เป็นคนที่ขยันมากกกกกกก มากกว่าเราหลายร้อยเท่านัก แล้วนางทุ่มเท ตั้งใจมากตั้งแต่วันแรก แล้วมันเหลืออีกแค่นิดเดียว นางสอบผ่านหมดทุกอย่างยกเว้นตอนภาคปฏิบัติที่ต้องอพยพคน พลาดเพียงเพราะว่าเปิดประตูเลยโดยที่ลืมมองดูหน้าต่างว่าสภาพภายนอกเป็นยังไง แค่นั้นแหละค่ะ ถือว่าตกทันที ไม่มีการซ่อม
โดยปกติช่วงที่เทรน สอบเป็นสิบๆครั้ง แต่สามารถตกได้หนึ่งครั้ง ใครที่ใช้สิทธิ์ไปแต่เนิ่นๆก็อยู่แบบหวั่นไหวกันไป ส่วนไฟนอลสามารถตกได้หนึ่งครั้งไม่เกี่ยวกับปกติที่ผ่านมา ... แต่เราไม่เคยตกซักอย่างนะ แอบภูมิใจเบาๆ
เทรนใกล้จบแล้วววววว
คงนึกว่าสอบผ่านแล้วก็คือผ่านใช่มั้ยคะ ผิดค่ะ!! มันยังไม่จบแค่นี้
แสดงความคิดเห็น
ชีวิตนางฟ้าในอเมริกา – United Flight Attendant
******************************* เพิ่มเติม ***************************************
วันก่อนเห็นคอมเมนท์ในเฟสบุค มีคนมาแซะว่าอาชีพนี้ฝรั่งเค้าไม่ได้มองว่าเป็นอาชีพนางฟ้านะ บางคนก็มาแซะว่าเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ ... อ่านแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย อยากขอพื้นที่ตรงนี้อธิบายนิดนึงนะคะ
คำว่าอาชีพนางฟ้านี่เราไม่ได้เป็นคนตั้งนะคะ แต่มันเหมือนคำเปรียบเปรย เป็น stereotype ที่คนไทยตั้งขึ้นมา เพราะเหมือนทำงานบนฟ้า เหมือนมีปีกบินไปบินมา ไม่ได้หมายความว่าเรามายกยอปอปั้นตัวเองว่าเป็นนางฟ้านะคะ อย่าเข้าใจผิดค่ะ มันผิดจุดประสงค์ที่เขียนกระทู้นี้ ที่เขียนเพราะแค่อยากเล่าประสบการณ์เฉยๆ ว่ากว่าจะได้ทำงาน กว่าจะเทรนจบ มันเป็นยังไง แตกต่างกับสายการบินอื่นยังไง ไม่ได้มาอวดว่าตัวเองเป็นนางฟ้า
ตอนแรกที่เขียนเพราะมันเซ็ง มันเบื่อ มันว่าง ไม่มีอะไรจะทำ ก็อยากมาเขียนบันทึกชีวิตตัวเองเล่นๆ ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเพราะมันยาวมาก รู้ว่าปกติคนไทยไม่ค่อยชอบอ่านอะไรยาวๆ แต่ดันได้ติดเทรนด์ เอาไปแชร์ในเฟส ... ไอ้เรามันก็คน sensitive อ่านบางข้อความแล้วก็เสียกำลังใจ ถ้าอ่านแค่หัวข้อไม่ได้อ่านเนื้อหาก็ข้ามไปก็ได้ค่ะ อย่ามาแขวะให้เสียความรู้สึกเลยเน้ออออออ
*******************************************************************************************
เราได้งานเป็นแอร์ของสายการบิน United ค่ะ เราเรียนจบโทจากที่จีน แต่บ้านอยู่อเมริกา ถือสองสัญชาติค่ะ พอกลับมาบ้านก็เริ่มหางานทำ ไม่รู้จะทำอะไรก็สมัครไปเรื่อยเปื่อย จนวันนึงไปกินข้าวกับเพื่อนที่เป็นแอร์ โดนนางปั่น กลับมาบ้านคืนนั้นเลยสมัครไปหลายสายการบินเลย 555 ทีบ้านอยากให้ทำราชการ แต่ส่วนตัวอยากทำบริษัท อยากเรียนเรื่องธุรกิจ การสมัครเป็นแอร์เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก บวกกับตัวเล็กๆเตี้ยๆ สูงแค่ 156 ซม แม่ก็บอกว่าเตี้ยแบบนี้ ใครเค้าจะเอา 555 แต่ก็ลองดูค่ะ ไม่ได้ก็ไม่เสียหายอะไร ช่วงนั้นสมัครมันทุกอย่าง ทั้งงานรัฐ งานบริษัท งานแอร์แต่วันนี้จะมาเล่าเรื่องงานแอร์นะคะ เริ่มตั้งแต่สมัครเลย...
สมัคร
การสมัครก็ไม่ยากค่ะ อายุ 21 ปีขึ้นไป ถือสัญชาติอเมริกันหรือมีกรีดการ์ด เรียนจบมัธยมเป็นอย่างต่ำ แต่ถ้ายิ่งเรียนจบสูงและได้ภาษาอื่นก็เป็นโบนัสค่ะ
เราก็เข้าเวบของแต่ละสายการบินแล้วก็ทำการสมัคร บวกกับฝากใบสมัครทิ้งไว้ตามเวบไซต์หางานอื่นๆด้วย ตอนนั้นก็เข้าไปในเวบ United เข้าเวบ Delta กรอกข้อมูลไป แล้วก็รอค่ะ.... ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับอีเมล์ตอบกลับมาจาก Delta และ United ให้ทำสัมภาษณ์ผ่านวีดีโอ .. ก็งงๆนิดนึงว่าคืออะไร เพราะไม่เคยทำมาก่อน พอดีช่วงนั้นเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารไทย ก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ เลยปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้สนใจ แต่เค้ามีเวลากำหนดมาค่ะว่าต้องส่งภายในกี่วัน นี่ก็ไม่ได้หาเวลาทำ รอจนไฟลนก้นนาทีสุดท้าย ทีนี้ก็ตาแหก จัดการตั้งกล้อง หามุม หาแสง ทีแรกเข้าใจว่าสัมภาษณ์สดผ่านวีดีโอ แต่ไม่ใช่ค่ะ ..
Video Interview
เริ่มจากของเดลต้าก่อนเลยค่ะ คือมันจะมีลิงค์มาให้ ต้องโหลดโปรแกรมของเค้าเพื่อทำการอัดวีดีโอโดยเฉพาะ ของเดลต้านี่คือดีหน่อยตรงที่เค้าให้อัดกี่ครั้งก็ได้ก่อนจะส่งอันไฟนอล เราก็อัดๆลบๆอยู่ทั้งวัน เค้าจะมีคำถามขึ้นมา อ่านคำถามเสร็จเรายังมีเวลาคิดว่าจะตอบยังไง อัดผิดก็อัดใหม่ได้ แต่ทีนี้ด้วยความที่มึนและประมาท เราสมัครเป็นสองภาษา ทีนี้ตอนท้ายๆคำถามภาษาจีนมาในรูปแบบคลิปวีดีโอ เราก็นึกว่าจะกลับไปฟังได้หลายรอบก่อนตอบ ก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง สรุปฟังได้รอบเดียวแล้วให้ตอบเลย เราก็แบบ เอ้า!! ยังไง ฟังไม่ทัน เมื่อกี้ถามไรวะ!! เห้ยยยย!! ซวยเลยทีนี้ ไม่รู้จะทำยังไง เข้าไปเสริชในเนตก็ไม่มีเลย พอดีต้องไปทำงาน เลยค้างเอาไว้ก่อน กลับจากทำงานตอนกลางคืน คือมันไม่มีทางเลือกแล้วอ่ะ เลยต้องตอบมั่วไป อันนี้ขอเตือนนะคะ สำหรับใครที่สมัครแบบสองภาษา ตั้งใจฟังเน้ออออ อย่าพลาดแบบเรา
หลังจากมึนๆกับของเดลต้าไป เราก็ทำของยูไนเตดต่อเลยค่ะ ทำตอนหลังเลิกงาน กลับมาบ้านหน้ามันๆ ปล่อยผมยาว ปากซีดๆ คือรีบทำเพราะมันใกล้เวลาที่ต้องส่งแล้ว กลัวไม่ว่างอีก เลยแบบ เอาวะ สัมภาษณ์มันทั้งยังงี้แหละ อยากให้มันเสร็จๆจบๆไป ... ของยูไนเตดคำถามขึ้นมา แล้วมีเวลา 30 วินาทีให้คิด แล้วมันเริ่มอัดเอง อันนี้กดดันเบาๆ แบบเห้ยยยยย ถามไรยังไม่เข้าใจเลย จะตอบไรวะเนี่ย แต่พอ 3 .. 2.. 1.. คำตอบมันต้องมาแล้วอ่ะ นี่ก็แถจนเยิน 55
เคล็ดลับนะคะ ... ก่อนจะทำวีดีโอสัมภาษณ์ ให้ไปหาข้อมูลก่อนเยอะๆ ของยูไนเตดนี่คำถามมีในเนตเพียบบบบบบบบบบ เราจะได้มีเวลาเตรียมตัว มีเวลาคิดคำตอบสวยๆ นี่ก็เป็นบทเรียนสำหรับเราที่ไม่รู้จักหาข้อมูล ไม่รู้จักเตรียมพร้อม เลยต้องมาทำอะไรลุ้นๆแบบนี้ แต่คือช่วงนั้นมันยุ่งจริงๆ ใครเคยทำงานร้านอาหารที่นี่คงเข้าใจ
หลังจากนั้นก็รอไปค่ะ ระหว่างรอเราก็เริ่มหาข้อมูลในเนต พอมาอ่านๆดู โอ้โห คือเพิ่งรู้ว่าการแข่งขันมันสูงมากกกกกกก เพิ่งรู้ว่า video interview นี่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เหมือนเป็นประตูแรก ทุกคนแต่งตัวเหมือนแอร์ ผมรวบตึง ปากต้องแดง ซึ่งตรงข้ามกับเราทุกอย่าง อ่านแล้วก็ใจแป้ว อารมณ์แบบว่า ซวยแล้วววววววว ทำไมชั้นไม่อ่านก่อนนนน แล้วจะได้งานมั้ยเนี่ยยยย แล้วคือทุกคนดูตื่นเต้นเวอร์ๆๆ หรือฝรั่งมันชอบเวอร์อยู่แล้วก็ไม่รู้ แค่ได้ video interview นี่ตื่นเต้น กังวลกันสุด คนมาโพสในกลุ่มเฟสบุคกันทุกวัน ทำให้เราต้องมาเครียดตาม 555 ถ้าใครสนใจอยากหาข้อมูลเข้าไปอ่านใน glassdoor นะคะ หรือไม่ก็ต้องเข้ากลุ่มในเฟสบุคอะค่ะ ใครที่สนใจจริงๆหลังไมค์มาได้ค่ะ
เดี๋ยวมาต่อเรื่อยๆนะคะ