เกาะอีสเตอร์ถือว่าเป็นสถานที่ใน bucket list อย่างนึงของผม แต่ถือว่าไปค่อนข้างยาก เพราะว่าอยู่ไกลมากกกกก จนปลายปีที่แล้ว ได้มีโอกาสไปมา ส่วนตัวมีเป้าหมายอยู่สองอย่าง ก็คืออยากถ่ายรูปโมอาย และยังไม่เคยได้ถ่ายรูปกลุ่มดาวซีกฟ้าใต้อย่างจริงๆ จังๆ ก็เลยถือโอกาสนี้เก็บทั้งสองเป้าหมายซะเลย
1. ทำความรู้จักกับเกาะอีสเตอร์
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่า "ราปา นุย" (Rapa Nui) เป็นเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นผืนแผ่นดินที่อยู่ห่างไกลความเจริญมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก โดยเกาะที่มีคนอาศัยอยู่ที่ใกล้ที่สุดคือ Pitcairn Island อยู่ห่างออกไป 2,075 กม. และมีประชากรเพียงแค่ 46 คน ส่วนผืนแผ่นทวีปที่ใกล้ที่สุดคือประเทศชิลีในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกถึง 3,512 กม.
อยากรู้ว่าไกลแค่ไหน ลองดูในกูเกิลแมพ
เมื่อประมาณค.ศ. 1200 ชาวโพลีนีเชียกลุ่มหนึ่งได้ล่องทะเลข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอันเวิ้งว้างมาเป็นระยะทางกว่า 3,000 กม. จนมาถึงเกาะนี้ และถึงแม้ว่าเกาะนี้จะมีพื้นที่อันน้อยนิด ปราศจากทรัพยากร ชายฝั่ง แนวปะการัง หรือแม้กระทั่งแม่น้ำหรือแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติ แต่พวกเขาก็สามารถสร้างอารยธรรมขึ้นมาจนกลายมาเป็นอารยธรรมที่ก้าวหน้าที่สุดในหมู่เกาะโพลีนีเซียทั้งหลาย และทิ้งปฏิมากรรมหินรูปหน้าคนขนาดยักษ์เอาไว้ทุกมุมของเกาะเล็กๆ เกาะนี้
แต่ว่าเรื่องราวของชาวเกาะอีสเตอร์นั้นเป็นเรื่องที่แสนจะคลาสสิคของมนุษย์ เมื่อจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการแก่งแย่งทรัพยากร นำมาซึ่งความหายนะแก่ระบบนิเวศ การทำสงครามระหว่างชนเผ่าเพื่อแย่งผืนแผ่นดินอันน้อยนิดบนเกาะ จนในที่สุดชาวยุโรปมาเจอ และนำมาซึ่งโรคระบาด เรือค้าทาส จนทำให้ประชากรของเกาะแทบจะสูญพันธุ์ไป แต่ชาวเกาะและประเพณีก็ยังคงอยู่รอดมาได้ ผ่านทางลูกหลานของชาวเกาะเหล่านั้นที่ยังอาศัยอยู่บนเกาะนี้ราว 7,000 คน
ด้วยความที่เกาะนี้อยู่สุดแสนจะห่างไกลจากทุกสิ่งอย่างบนโลก และห่างไกลจากภาคพื้นทวีปกว่า 3,000 กม. วิธีเดียวที่จะไปยังเกาะนี้ได้ก็คือโดยเครื่องบิน (ไม่แนะนำให้นั่งเรือไป) โดยการจะบินไปยังสนามบิน Hanga Roa นั้นสามารถทำได้เพียงสองทาง ก็คือโดยการบินจาก Santiago ในประเทศชิลี ซึ่งมีเที่ยวบินทุกวัน หรือบินจากตาฮิติ ซึ่งมีเที่ยวบินเพียงสองสามครั้งต่อสัปดาห์
ในภาพนี้ ก็คือทุกอย่างที่อยู่บนเกาะ เกาะนี้มีขนาดเล็กมาก มีขนาดเพียงแค่ 163 ตร.กม. ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเกาะสมุยเสียอีก โดยสามารถขับรถจากฟากนึงไปยังอีกฟากนึงของเกาะได้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชม. จริงๆ แล้วนักท่องเที่ยวหลายคนเช่าจักรยานปั่นรอบเกาะแทนเสียด้วยซ้ำ
ทั้งเกาะมีเมืองอยู่แค่เมืองเดียว ก็คือ Hanga Roa และร้านค้าเกือบทุกร้านจะอยู่บนถนนเส้นหลักเพียงเส้นเดียว ทั้งเกาะมีรพ. แค่หนึ่งแห่ง มีปั๊มน้ำมันสองปั๊ม มีโรงเรียนเพียงโรงเรียนเดียว ฯลฯ คนที่จะอยู่บนเกาะนี้ได้จะต้องเป็นคนที่สืบทอดเชื่อสายชาวเกาะอีสเตอร์ หรือแต่งงานกับชาวอีสเตอร์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ธุรกิจเกือบทั้งหมดจะทำโดยชาวพื้นเมือง การจะเช่ารถจึงไม่มีบริษัท chain ใหญ่ อย่าง AVIS Hertz หรือยี่ห้อที่เรารู้จัก แต่จะมีแต่ยี่ห้อท้องถิ่น และรถทุกคันบนเกาะไม่มีประกัน ถ้าชนถ้าพังก็จ่ายกันเอาเอง และรถเกือบทุกคันจะเป็นรถ Jeep แบบ 4WD เพราะถนนบนเกาะนี้ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ มีหลุมบ่อเต็มไปหมด รถเช่าเกือบทุกคันก็มีแต่เกียร์กระปุก จากที่ผมไม่เคยขับรถเกียร์กระปุกเลย ก็ต้องหัดจนเป็น
อย่างนึงที่ประทับใจมากๆ ก็คือความชิลของคนบนเกาะนี้ คนบนเกาะนี้เรียกได้ว่าชิลโคตรพ่อโคตรแม่ ตอนเครื่องลงนี่คือเจ้าของ guest house มารับถึงสนามบิน แต่เขาเล่าให้ฟังว่าก่อนมานี่ก็คือไปว่ายน้ำเล่นที่หาดมา (ชิลสัสๆ) ขับรถนี่คืออยากขับยังไงก็ขับ เพราะไม่มีใครรีบไปไหน อยากจอดตรงไหนก็จอด บ้านก็คือไม่ต้องล๊อคก็ได้ (ก็ขโมยมันจะไปไหนได้) ขนาดเอารถไปคืน ร้านเช่ารถก็บอกแค่ว่าก็ไปจอดตรงสนามบินแหล่ะ แล้วก็เอากุญแจทิ้งเอาไว้ในรถ
คนที่นี่เวลาเลี้ยงสัตว์ก็จะเลี้ยงแบบตามมีตามเกิดโคตรๆ โดยสัตว์ที่พบเห็นได้ทั่วไปก็จะมี วัว ที่เลี้ยงแบบยืนกินหญ้าอยู่ข้างถนนนั่นแหล่ะ ไม่มีล้อมรั้ว ไม่ต้องกลัวมันจะว่ายน้ำหนีไปไหน
สัตว์อีกพวกที่มีเยอะมากๆ ก็คือม้า ที่เต็มไปหมดทั้งเกาะ แล้วก็เลี้ยงกันแบบตามมีตามเกิดเช่นกัน มันอยากจะวิ่งไปไหนก็วิ่ง โดยม้าแต่ละตัวจะมีแค่ตีตราเอาไว้ที่ก้นให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เคยถามคนท้องถิ่นว่าเขาเลี้ยงม้าเอาไว้ทำอะไร ในเมื่อกินก็ไม่กิน แล้วเดินทางก็ขับรถ คนท้องถิ่นเขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน น่าจะแค่เพื่อจะได้บอกคนอื่นได้ว่ามีม้าตั้ง 15 ตัวแน่ะ! (แต่ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของเกาะก็ไม่รู้)
ส่วนสัตว์อีกพวกที่มีเยอะเช่นกัน ก็คือหมา ซึ่งมีแทบจะทุกที่ๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยว หมาที่นี่ที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือ แทนที่จะเป็นหมาจรจัดหน้าตาบ้านๆ แต่กลายเป็นว่ามีแต่พันธ์ตัวใหญ่ๆ เช่น Rottweiler, German Shepard, Golden Retriever ฯลฯ แต่หมาที่นี่นี่คือเป็นมิตรมากๆ ทุกตัว บางตัวอาจจะเห่าบ้าง ขี้สงสัยบ้าง
ซึ่งด้วยความว่าสัตว์ทั้งสามนี้เดินแบบไม่แคร์สื่อมากๆ การขับรถบนเกาะนี้ก็ต้องระวังนิดหน่อย เพราะคุณจะเจอตัวอะไรยืนขวางกลางถนนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
กลายเป็นว่าอุปสรรคที่สำคัญอย่างนึงของการถ่ายภาพบนเกาะนี้ ก็คือต้องคอยระวังไม่ให้หมามาเตะขาตั้งกล้อง! อะไรพี่จะเฟรนดลี่เบอร์นั้น
อาหารบนเกาะนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างไม่มีให้เลือกมากนัก เพราะร้านอาหารก็มีให้เลือกไม่เยอะ ที่สำคัญก็คือราคาแพงเว่อร์ เพราะวัตถุดิบส่วนมากจะต้องอิมพอร์ตเข้ามาทั้งนั้น ส่วนอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นอาหาร "พื้นเมือง" ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกทูน่าเนื้อขาวแถวนั้น ซึ่งหลายๆ ร้านก็จะเอามาทำเป็น Ceviche
แต่นอกจากร้านอาหารแล้ว อย่าไปคิดว่าที่เกาะนี้จะมีเซเว่นที่หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา เพราะเกาะนี้มีร้านสะดวกซื้อก็จริง แต่ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ร้าน แล้วของที่ขายก็ไม่ได้มีอะไรให้เลือกมากมายนัก อย่างมากก็วัตถุดิบให้คนพื้นเมืองเอาไปทำอาหารกิน ส่วนอาหารพร้อมกินนั้นแทบจะไม่มีให้เลือกเลย ขนมยังไม่ค่อยจะมีให้เลือกเลยเหอะ
[CR] ตามล่ากลุ่มดาวซีกฟ้าใต้ที่เกาะอีสเตอร์
1. ทำความรู้จักกับเกาะอีสเตอร์
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่า "ราปา นุย" (Rapa Nui) เป็นเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นผืนแผ่นดินที่อยู่ห่างไกลความเจริญมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก โดยเกาะที่มีคนอาศัยอยู่ที่ใกล้ที่สุดคือ Pitcairn Island อยู่ห่างออกไป 2,075 กม. และมีประชากรเพียงแค่ 46 คน ส่วนผืนแผ่นทวีปที่ใกล้ที่สุดคือประเทศชิลีในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกถึง 3,512 กม.
อยากรู้ว่าไกลแค่ไหน ลองดูในกูเกิลแมพ
เมื่อประมาณค.ศ. 1200 ชาวโพลีนีเชียกลุ่มหนึ่งได้ล่องทะเลข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอันเวิ้งว้างมาเป็นระยะทางกว่า 3,000 กม. จนมาถึงเกาะนี้ และถึงแม้ว่าเกาะนี้จะมีพื้นที่อันน้อยนิด ปราศจากทรัพยากร ชายฝั่ง แนวปะการัง หรือแม้กระทั่งแม่น้ำหรือแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติ แต่พวกเขาก็สามารถสร้างอารยธรรมขึ้นมาจนกลายมาเป็นอารยธรรมที่ก้าวหน้าที่สุดในหมู่เกาะโพลีนีเซียทั้งหลาย และทิ้งปฏิมากรรมหินรูปหน้าคนขนาดยักษ์เอาไว้ทุกมุมของเกาะเล็กๆ เกาะนี้
แต่ว่าเรื่องราวของชาวเกาะอีสเตอร์นั้นเป็นเรื่องที่แสนจะคลาสสิคของมนุษย์ เมื่อจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการแก่งแย่งทรัพยากร นำมาซึ่งความหายนะแก่ระบบนิเวศ การทำสงครามระหว่างชนเผ่าเพื่อแย่งผืนแผ่นดินอันน้อยนิดบนเกาะ จนในที่สุดชาวยุโรปมาเจอ และนำมาซึ่งโรคระบาด เรือค้าทาส จนทำให้ประชากรของเกาะแทบจะสูญพันธุ์ไป แต่ชาวเกาะและประเพณีก็ยังคงอยู่รอดมาได้ ผ่านทางลูกหลานของชาวเกาะเหล่านั้นที่ยังอาศัยอยู่บนเกาะนี้ราว 7,000 คน
ด้วยความที่เกาะนี้อยู่สุดแสนจะห่างไกลจากทุกสิ่งอย่างบนโลก และห่างไกลจากภาคพื้นทวีปกว่า 3,000 กม. วิธีเดียวที่จะไปยังเกาะนี้ได้ก็คือโดยเครื่องบิน (ไม่แนะนำให้นั่งเรือไป) โดยการจะบินไปยังสนามบิน Hanga Roa นั้นสามารถทำได้เพียงสองทาง ก็คือโดยการบินจาก Santiago ในประเทศชิลี ซึ่งมีเที่ยวบินทุกวัน หรือบินจากตาฮิติ ซึ่งมีเที่ยวบินเพียงสองสามครั้งต่อสัปดาห์
ในภาพนี้ ก็คือทุกอย่างที่อยู่บนเกาะ เกาะนี้มีขนาดเล็กมาก มีขนาดเพียงแค่ 163 ตร.กม. ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเกาะสมุยเสียอีก โดยสามารถขับรถจากฟากนึงไปยังอีกฟากนึงของเกาะได้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชม. จริงๆ แล้วนักท่องเที่ยวหลายคนเช่าจักรยานปั่นรอบเกาะแทนเสียด้วยซ้ำ
ทั้งเกาะมีเมืองอยู่แค่เมืองเดียว ก็คือ Hanga Roa และร้านค้าเกือบทุกร้านจะอยู่บนถนนเส้นหลักเพียงเส้นเดียว ทั้งเกาะมีรพ. แค่หนึ่งแห่ง มีปั๊มน้ำมันสองปั๊ม มีโรงเรียนเพียงโรงเรียนเดียว ฯลฯ คนที่จะอยู่บนเกาะนี้ได้จะต้องเป็นคนที่สืบทอดเชื่อสายชาวเกาะอีสเตอร์ หรือแต่งงานกับชาวอีสเตอร์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ธุรกิจเกือบทั้งหมดจะทำโดยชาวพื้นเมือง การจะเช่ารถจึงไม่มีบริษัท chain ใหญ่ อย่าง AVIS Hertz หรือยี่ห้อที่เรารู้จัก แต่จะมีแต่ยี่ห้อท้องถิ่น และรถทุกคันบนเกาะไม่มีประกัน ถ้าชนถ้าพังก็จ่ายกันเอาเอง และรถเกือบทุกคันจะเป็นรถ Jeep แบบ 4WD เพราะถนนบนเกาะนี้ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ มีหลุมบ่อเต็มไปหมด รถเช่าเกือบทุกคันก็มีแต่เกียร์กระปุก จากที่ผมไม่เคยขับรถเกียร์กระปุกเลย ก็ต้องหัดจนเป็น
อย่างนึงที่ประทับใจมากๆ ก็คือความชิลของคนบนเกาะนี้ คนบนเกาะนี้เรียกได้ว่าชิลโคตรพ่อโคตรแม่ ตอนเครื่องลงนี่คือเจ้าของ guest house มารับถึงสนามบิน แต่เขาเล่าให้ฟังว่าก่อนมานี่ก็คือไปว่ายน้ำเล่นที่หาดมา (ชิลสัสๆ) ขับรถนี่คืออยากขับยังไงก็ขับ เพราะไม่มีใครรีบไปไหน อยากจอดตรงไหนก็จอด บ้านก็คือไม่ต้องล๊อคก็ได้ (ก็ขโมยมันจะไปไหนได้) ขนาดเอารถไปคืน ร้านเช่ารถก็บอกแค่ว่าก็ไปจอดตรงสนามบินแหล่ะ แล้วก็เอากุญแจทิ้งเอาไว้ในรถ
คนที่นี่เวลาเลี้ยงสัตว์ก็จะเลี้ยงแบบตามมีตามเกิดโคตรๆ โดยสัตว์ที่พบเห็นได้ทั่วไปก็จะมี วัว ที่เลี้ยงแบบยืนกินหญ้าอยู่ข้างถนนนั่นแหล่ะ ไม่มีล้อมรั้ว ไม่ต้องกลัวมันจะว่ายน้ำหนีไปไหน
สัตว์อีกพวกที่มีเยอะมากๆ ก็คือม้า ที่เต็มไปหมดทั้งเกาะ แล้วก็เลี้ยงกันแบบตามมีตามเกิดเช่นกัน มันอยากจะวิ่งไปไหนก็วิ่ง โดยม้าแต่ละตัวจะมีแค่ตีตราเอาไว้ที่ก้นให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เคยถามคนท้องถิ่นว่าเขาเลี้ยงม้าเอาไว้ทำอะไร ในเมื่อกินก็ไม่กิน แล้วเดินทางก็ขับรถ คนท้องถิ่นเขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน น่าจะแค่เพื่อจะได้บอกคนอื่นได้ว่ามีม้าตั้ง 15 ตัวแน่ะ! (แต่ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของเกาะก็ไม่รู้)
ส่วนสัตว์อีกพวกที่มีเยอะเช่นกัน ก็คือหมา ซึ่งมีแทบจะทุกที่ๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยว หมาที่นี่ที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือ แทนที่จะเป็นหมาจรจัดหน้าตาบ้านๆ แต่กลายเป็นว่ามีแต่พันธ์ตัวใหญ่ๆ เช่น Rottweiler, German Shepard, Golden Retriever ฯลฯ แต่หมาที่นี่นี่คือเป็นมิตรมากๆ ทุกตัว บางตัวอาจจะเห่าบ้าง ขี้สงสัยบ้าง
ซึ่งด้วยความว่าสัตว์ทั้งสามนี้เดินแบบไม่แคร์สื่อมากๆ การขับรถบนเกาะนี้ก็ต้องระวังนิดหน่อย เพราะคุณจะเจอตัวอะไรยืนขวางกลางถนนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
กลายเป็นว่าอุปสรรคที่สำคัญอย่างนึงของการถ่ายภาพบนเกาะนี้ ก็คือต้องคอยระวังไม่ให้หมามาเตะขาตั้งกล้อง! อะไรพี่จะเฟรนดลี่เบอร์นั้น
อาหารบนเกาะนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างไม่มีให้เลือกมากนัก เพราะร้านอาหารก็มีให้เลือกไม่เยอะ ที่สำคัญก็คือราคาแพงเว่อร์ เพราะวัตถุดิบส่วนมากจะต้องอิมพอร์ตเข้ามาทั้งนั้น ส่วนอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นอาหาร "พื้นเมือง" ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกทูน่าเนื้อขาวแถวนั้น ซึ่งหลายๆ ร้านก็จะเอามาทำเป็น Ceviche
แต่นอกจากร้านอาหารแล้ว อย่าไปคิดว่าที่เกาะนี้จะมีเซเว่นที่หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา เพราะเกาะนี้มีร้านสะดวกซื้อก็จริง แต่ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ร้าน แล้วของที่ขายก็ไม่ได้มีอะไรให้เลือกมากมายนัก อย่างมากก็วัตถุดิบให้คนพื้นเมืองเอาไปทำอาหารกิน ส่วนอาหารพร้อมกินนั้นแทบจะไม่มีให้เลือกเลย ขนมยังไม่ค่อยจะมีให้เลือกเลยเหอะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้