แบ่งปันประสบการณ์ทะเลาะกับที่บ้าน "เรื่องอยากเรียนหมอ"

จขกท เพิ่งได้อ่านและตอบกระทู้ "เพื่อนมาปรึกษา ลูกไม่พูดด้วยเป็นเดือนแล้ว อยากให้เราช่วยคุย จะคุยยังไงดี https://ppantip.com/topic/38449740/" ไปค่ะ แต่พอตอบไป รู้สึกสิ่งที่เราตอบ ประสบการณ์ของเราดูพีคมาก 555 และน่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งน้องๆและคุณพ่อคุณแม่ เลยขอมาแชร์ในกระทู้แยกไว้หน่อย

เรื่องของเรื่องก็คือ เราเคยทะเลาะกับแม่จนบ้านแทบแตก เพราะเราอยากเรียนหมอ แต่แม่อยากให้เรียนสถาปัตย์
ไม่ได้อ่านผิดค่ะ ปัจจุบันเราเป็นหมอ ซึ่งชีวิตเราตรงกันข้ามพอดีกับคนในกระทู้ต้นเรื่อง ซึ่งพอมองย้อนหลังไปแล้วมีอะไรน่าคิดหลายอย่าง

(ไม่เคยเล่าชีวิตตัวเองลงเนทเลย ถ้าดูแปลกๆต้องขออภัยด้วยค่ะ)
——

ตอนเด็กๆเราชอบเรียนภาษา ก็บอกพ่อว่า อยากเรียนสายศิลป์ภาษา พ่อดีใจมาก แนะเราว่าสายนี้เรียนได้หลายอย่าง ทั้งนิติ อักษร ต่อไปก็ทำงานเขียน แปลภาษา เป็นนักกฏหมาย เป็นทูตได้ ทำได้หลายอย่าง อนาคตไกล

พอมาม.ต้น เราเริ่มชอบวาดรูป ผลการเรียนใช้ได้ พอดีมีญาติเรียนสถาปัตย์ เห็นแล้วดูเท่มาก ตัดสินใจมุ่งทางนี้ บอกแม่กับพ่อ แม่ดีใจหนักมาก บอกว่าเป็นสายที่ดี ได้ใช้ทั้งวิทย์และศิลป์ แถมยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่ใครจะเรียนได้

จากนั้นเราก็ตั้งใจเรียน ม.ปลายเราสอบเข้าเตรียมฯได้ จากนั้นเริ่มไปเรียนเสริม ไปติว เตรียมตัวอย่างดี พ่อแม่ก็ให้กำลังใจตลอด แต่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เปลี่ยนใจ และพบว่าจริงๆอย่างเรียนหมอ

เราบอกแม่ตอนโค้งสุดท้ายก่อนสอบ ว่าเราจะสอบหมอนะ ถ้าปีนี้ไม่ติด เราก็จะซิ่วไปปีหน้า เรานึกว่าแม่จะดีใจ ผลปรากฏว่า แม่ร้องห่มร้องไห้หนักมาก ขอร้องให้เราเลิกคิดและสอบสถาปัตย์เหมือนเดิม จากนั้นเราจำไม่ได้ชัดๆว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พ่อก็มานั่งร้องไห้ตาแดง ตอนเราบอกจะสอบหมอ พ่อขอให้เราลองพิจารณาคณะอื่น "เรียนนิติมั้ยลูก หรือรัฐศาสตร์ ภาษา เหมือนที่หนูเคยชอบ” ช่วงเวลานั้นเราช็อกมาก เราไม่เคยนึกเลยว่า มีพ่อแม่ที่ไม่อยากให้ลูกเป็นหมอหนักขนาดนี้ 5555

เราร้องห่มร้องไห้ กระจองอแงบ้านแทบแตก สุดท้ายเรากับแม่เปิดอกคุยกัน

เราถามแม่ว่า ทำไมถึงไม่อยากให้เรียนหมอ มีแต่คนอยากให้ลูกเรียนหมอทั้งนั้น
แม่ตอบว่า เพราะหมอเป็นอาชีพที่งานหนัก ชีวิตนี้เกิดมาครั้งเดียว ทำไมต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยง เสี่ยงติดเชื้อ เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ เสี่ยงโดนฟ้องร้อง (สมัยนั้นเรานึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะมีคนฟ้องหมอ แต่แม่ทันสมัยและมองการณ์ไกลมากๆ) อาชีพอื่นอย่างมากก็โดนไล่ออก แต่อาชีพหมอ เราอาจเจอสิ่งที่เอาชีวิตเราไปด้วย ไม่ว่าจะทางกาย หรือทางใจ

แม่พูดต่อไปอีกว่า แม่มีลูกแค่สองคน มีลูกสาวคนเดียว ถ้าลูกเป็นหมอ ลูกแม่จะกลายเป็นหมอของคนอื่น นี่คือสถานะพิเศษ ลูกจะมีคนที่เหนือกว่าพ่อแม่ ซึ่งคือคนไข้ ถ้าลูกเป็นหมอ จากนี้ไป แปลว่าแม่ได้เสียลูกสาวคนเดียวไปแล้วตลอดกาล

ตอนนั้นเราไม่เข้าใจแม่เลยว่าแม่พูดถึงอะไร แต่อีกสิบปีถัดมา เราเข้าใจทั้งหมดแล้ว ที่แม่พูด ทุกอย่างเป็นตามนั้นจริงๆ
ทุกวันที่ทำงาน เต็มไปด้วยเชื้อโรค บางทีเราก็เป็นหวัดและป่วยบ่อยๆ เคยมีเพื่อนเลือดกระเด็นเข้าตา ก็ต้องหยุดให้นมลูกและกินยาต้านไวรัส HIV ดีที่สุดท้ายไม่ติด ส่วนอุบัติเหตุ ทุกรุ่นมีคนตายจากขับรถหลับใน เพื่อนเราก็เป็นหนึ่งในนั้น และสุดท้าย เราก็ผ่านการเกือบโดนฟ้องมาหลายครั้ง โชคดีที่จบดี แต่เราก็เครียดและผิดหวัง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

แต่เวลานั้นเราก็ดื้อแพ่ง และบอกว่านี่คือชีวิตที่เราเลือกเอง

เราถามแม่อีกว่า ทำไมถึงอยากให้เรียนคณะแนวศิลป์ๆ พ่อแม่คนอื่นเขาไม่เห็นจะอยากให้ลูกเรียนกันเลย (ตอนนั้นเรางงแม่จริงๆ)
แม่ตอบว่า โลกยุคใหม่กำลังเปลี่ยนไป นี่คือโลกของภาษา ศิลปะและดนตรี เทรนด์ของอาชีพที่ดีและมั่นคงกำลังเปลี่ยน นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราควรใช้ชีวิตที่ดี ได้เห็นความงามของโลก ได้เห็นอะไรหลากหลาย ได้มีความสุข และได้อยู่ด้วยกัน

ถ้าเราจะอยากเรียนหมอเพราะมั่นคง หรือเพราะเงิน แม่คงรับไม่ได้
แม่ให้เราตอบมา ว่าทำไมลูกถึงอยากเป็นหมอ

เราตอบแม่ว่า ปีก่อนที่เราป่วยหนักเกือบตาย เราค้นพบว่าชีวิตมีค่ามาก จึงอยากช่วยชีวิตคน เพราะมันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมากจริงๆ
พอตอบแบบนี้แล้ว แม่ก็ยอมถอย และบอกให้เราสาบานว่า ถ้าเราเป็นหมอแล้ว เราจะเป็นหมอที่ดี และเห็นแก่กิจของมนุษย์เหนือกว่ากิจส่วนตน
เราก็สาบานตามนั้น

แม่ร้องห่มร้องไห้ และรู้ว่าบังคับเราไม่ได้อีกแล้ว ที่จริงๆ แม่ไม่พูดกับเราระยะหนึ่งด้วย เหมือนเป็นช่วงทำใจ
สุดท้าย วันที่เราไปสอบ แม่ขับพาไปส่ง และเราได้พูดกัน

แม่บอกว่า ถึงเราจะเป็นหมอแล้วและจากแม่ไป แต่แม่จะเป็นแม่ของเราตลอดไป (คือแม่เวอร์มาก 5555)
ส่วนพ่อคือตามนั้น ร้องไห้ตอนเราบอก แล้วก็หันมาให้กำลังใจให้เราสอบผ่าน แต่ก็รู้น่ะว่าเสียใจมาก

สุดท้ายเราก็สอบติดหมอ จบหมอ ใช้ทุน จบเฉพาะทาง ใช้ทุนอีกรอบ
ชีวิตหลังปี 3 เราแทบไม่อยู่บ้าน และหลังปี 6 เรากลับบ้านแค่เดือนละครั้ง
พ่อแม่ได้เสียลูกสาวไปแล้วจริงๆคนหนึ่ง แต่พ่อแม่ยังเป็นพ่อแม่ของเราเสมอ
ในขณะที่เรากลับบ้านนานๆครั้ง เจอหน้าป้าพยาบาลมากกว่าแม่เป็นสิบเท่า
แต่พ่อแม่ยังเป็นห่วงและพยายามทำทุกอย่างให้เราเสมอ

T^T
(คิดถึงบ้านมาก)
——

ข้อดีของหมอคือ ถึงเราจะเป็นคนสุดท้ายในชั้นเรียน(ที่ผ่านมาตรฐานนะคะ) แต่เราก็ยังได้รายได้เฉลี่ยสูงกว่าคนทั่วไปมาก (ถ้าเราขยันด้วยนะ)
แต่ข้อเสียคือ ถ้าเราเป็นคนที่เก่งและฉลาดมากๆ ทำอาชีพอื่นจะได้มากกว่านี้ พร้อมมีเวลาเหลือมากกว่าแน่นอนค่ะ

ทั้งนี้อีก 3 ปีต่อมาแม่ก็ใจสลายอีกรอบค่ะ แม่อยากให้น้องเรียนรัฐศาสตร์ ภาษา ดนตรี อะไรแนวนี้ แต่ก็คงทำใจระดับนึง เพราะตอนนั้นน้องอยู่ค่ายโอลิมปิคคอมแล้ว จากนั้นน้องก็ไปเรียนวิศวะคอม ตอนเข้าได้เหมือนแม่จะเริ่มรู้ว่า โลกเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตัล แม่เลยมีทัศนคติที่ดีกับคอมมากหน่อย สุดท้ายน้องก็ไปได้ดีมากๆ อยู่ต่างประเทศตลอด เงินเดือนมากกว่าเราหลายเท่าตัว

ส่วนเรา ตอนเรียนท้อมาก จิตตกไปเรียนแบบซังกะตาย พอกลับบ้านมาร้องไห้ แม่ก็บอกว่า “งั้นไปลาออกเลย แม่ห้ามหนูแต่แรกแล้ว” อึ้งแป๊บ ตรูแค่บ่นเฉยๆ แต่ก็ทำให้นึกถึงตอนจะเข้าเรียนค่ะ ว่านี่คือสิ่งที่เราอยากเรียนจริง สุดท้ายก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาเรียน และผ่านทุกอย่างมาได้อย่างค่อนข้างมีความสุขนะ

สุดท้ายแล้วการได้เรียนสิ่งที่เรารัก มันดีที่สุดจริงๆ
ไม่ว่ามันจะลงเอยยังไง มันก็คือสิ่งที่เราเลือกเอง
(แต่สุดท้ายแม่ก็บอกภูมิใจมาก ไม่ได้ภูมิใจที่จบหมอนะ แต่ภูมิใจที่เราก็ฝ่าฟันให้ได้เรียนที่ตัวเองอยากเรียนน่ะแหละ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่