ขอเป็นพื้นที่บ่นๆ แล้วกันนะคะ เป็นเรื่องราวที่มาจากมุมมองเราเอง ถ้าจะผิดหรือเข้าข้างตัวเองไปบ้าง ก็คงไม่แปลกเนอะ
เราเพิ่งย้ายที่ทำงานเมื่อต้นปีค่ะ แล้วความบังเอิญทำให้เราได้มาทำงานกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยคนนึง (แทนว่า วี แล้วกันนะคะ) เรากับวีอยู่คนละคณะ แต่รู้จักกันผ่านการทำงานกิจกรรมในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 1 ก็สนิทกันพอสมควร มีอะไรก็บ่นให้กันฟัง หิวก็ชวนกินข้าว เป็นเพื่อนที่หันไปหายามฉุกเฉินแบบนี้
แต่พอเรากับวีต้องมาทำงานด้วยกัน ความชิบหาไม่เจอ ก็เริ่มมาเยือนค่ะ เรากับวีทำงานแผนกเดียวกัน แต่คนละส่วน แล้วพอดีมันมีโปรเจคที่ต้องโคกันอยู่ เรากับวีเลยต้องทำงานด้วยกัน แล้วพอเราทำงานไม่ถูกใจวี หรือทำงานคนละวิธีกัน วีก็จะเหวี่ยงเรา เหวี่ยงแรงมากพอสมควร ชักสีหน้า พูดจาหวนๆ ทำตัวขึงขังตึงตัง ตบคีย์บอร์ดดังๆ เปิดประตูกระแทกอะไรแบบนี้ ซึ่งคนรอบข้างก็สังเกตเห็นได้ อย่างล่าสุดเลย เราไม่ชวนวีไปซีร็อกเอกสาร (เราชวนเพื่อนอีกคนไปแทน เพราะ เรากลัววียุ่งแล้วไม่อยากวุ่นวาย) นางก็โกธรเรา ชักสีหน้าใส่ ซึ่งเรารู้จักเพื่อนเราดี เราเข้าใจง่าพอเขาเครียดหรือไม่ได้ดังใจ ก็มีจะอารมณ์ร้อนบ้าง บ่นบ้าง แต่เราไม่ใช่แค่เพื่อนเขานะ เราเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาด้วย เรารู้สึกว่าเขาควรจะเพลาๆลงบ้าง เกรงใจเราบ้าง เพราะ เราเองเห็นเพื่อนเหวี่ยง เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วก็คงไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่ทำตัวลบๆตลอดเวลา
เราก็เตือนวีนะ ว่าจะบ่นอะไร พูดกับผู่ใหญ่ ไม่พอใจอะไรก็ระวังบ้าง แต่ทุกครั้งก็จะโดนมองแรงกลับมา โดนด่ากลับมา ซึ่งเราว่าเราเองก็ไม่สมควรที่จะถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้ เพียงเพราะเราเป็นเพื่อนเขามาก่อน เขาความจะเกรงใจเราเหมือนที่เกรงใจเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยเหมือนกัน
นั้นแหละ เราแค่คิดว่า การทำงานกับเพื่อน “ยิ่งสนิท ยิ่งต้องเกรงใจ” ไม่ใช่ทำตัวแบบนี้ เราเองก็หัวร้อนนะ และเสียใจด้วยที่เพื่อนทำแบบนี้กับเรา ไม่จำเป็นไม่อยากมองหน้าเลยตอนนี้ แต่ก็ต้องทำงานด้วยกัน มันก็ต้องคุยกัน ซึ่งเราว่าเราใจเย็นมากๆเลยนะ ไม่รู้ว่าเขาจะมีปัญหาอะไรกับเรานักหนา งานก็เพิ่งเริ่ม ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน แทนที่จะรักษาน้ำใจกัน น่าผิดหวังจังเลย
“ยิ่งสนิท ยิ่งต้องเกรงใจ” ทำงานที่เดียวกับเพื่อนทีไร มีแต่เรื่องน่าปวดหัว
เราเพิ่งย้ายที่ทำงานเมื่อต้นปีค่ะ แล้วความบังเอิญทำให้เราได้มาทำงานกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยคนนึง (แทนว่า วี แล้วกันนะคะ) เรากับวีอยู่คนละคณะ แต่รู้จักกันผ่านการทำงานกิจกรรมในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 1 ก็สนิทกันพอสมควร มีอะไรก็บ่นให้กันฟัง หิวก็ชวนกินข้าว เป็นเพื่อนที่หันไปหายามฉุกเฉินแบบนี้
แต่พอเรากับวีต้องมาทำงานด้วยกัน ความชิบหาไม่เจอ ก็เริ่มมาเยือนค่ะ เรากับวีทำงานแผนกเดียวกัน แต่คนละส่วน แล้วพอดีมันมีโปรเจคที่ต้องโคกันอยู่ เรากับวีเลยต้องทำงานด้วยกัน แล้วพอเราทำงานไม่ถูกใจวี หรือทำงานคนละวิธีกัน วีก็จะเหวี่ยงเรา เหวี่ยงแรงมากพอสมควร ชักสีหน้า พูดจาหวนๆ ทำตัวขึงขังตึงตัง ตบคีย์บอร์ดดังๆ เปิดประตูกระแทกอะไรแบบนี้ ซึ่งคนรอบข้างก็สังเกตเห็นได้ อย่างล่าสุดเลย เราไม่ชวนวีไปซีร็อกเอกสาร (เราชวนเพื่อนอีกคนไปแทน เพราะ เรากลัววียุ่งแล้วไม่อยากวุ่นวาย) นางก็โกธรเรา ชักสีหน้าใส่ ซึ่งเรารู้จักเพื่อนเราดี เราเข้าใจง่าพอเขาเครียดหรือไม่ได้ดังใจ ก็มีจะอารมณ์ร้อนบ้าง บ่นบ้าง แต่เราไม่ใช่แค่เพื่อนเขานะ เราเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาด้วย เรารู้สึกว่าเขาควรจะเพลาๆลงบ้าง เกรงใจเราบ้าง เพราะ เราเองเห็นเพื่อนเหวี่ยง เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วก็คงไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่ทำตัวลบๆตลอดเวลา
เราก็เตือนวีนะ ว่าจะบ่นอะไร พูดกับผู่ใหญ่ ไม่พอใจอะไรก็ระวังบ้าง แต่ทุกครั้งก็จะโดนมองแรงกลับมา โดนด่ากลับมา ซึ่งเราว่าเราเองก็ไม่สมควรที่จะถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้ เพียงเพราะเราเป็นเพื่อนเขามาก่อน เขาความจะเกรงใจเราเหมือนที่เกรงใจเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยเหมือนกัน
นั้นแหละ เราแค่คิดว่า การทำงานกับเพื่อน “ยิ่งสนิท ยิ่งต้องเกรงใจ” ไม่ใช่ทำตัวแบบนี้ เราเองก็หัวร้อนนะ และเสียใจด้วยที่เพื่อนทำแบบนี้กับเรา ไม่จำเป็นไม่อยากมองหน้าเลยตอนนี้ แต่ก็ต้องทำงานด้วยกัน มันก็ต้องคุยกัน ซึ่งเราว่าเราใจเย็นมากๆเลยนะ ไม่รู้ว่าเขาจะมีปัญหาอะไรกับเรานักหนา งานก็เพิ่งเริ่ม ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน แทนที่จะรักษาน้ำใจกัน น่าผิดหวังจังเลย