สวัสดีค่า ต้องขอออกตัวก่อนว่าถ้ามีอะไรผิดพลาดหรืองงๆต้องขออภัยนะคะเพราะเป็นมือใหม่ 5555 พึ่งเคยตั้งกระทู้ในห้องโต๊ะเครื่องแป้งครั้งแรกเลยเพราะปกติไม่ใช่คนรักสวยรักงามเท่าไร ถ้าให้พูดตรงๆในชีวิตนี้ไม่เคยสนใจพวกเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงอะไรเลยค่ะ ด้วยความที่เรางานยุ่งมากเลยไม่สนใจจะดูแลตัวเองเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆเพราะแค่ทำงานก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
แต่เหตุผลที่ทำให้เราเริ่มหันมาดูแลตัวเองก็เพราะพ่อแม่ค่ะ เวลากลับบ้านทีไรพ่อกับแม่จะต้องทักตลอดว่า ‘ไปทำอะไรมาทำไมดูโทรมอย่างนี้ล่ะลูก’ ทักแบบนี้ทุ๊กกกกครั้งที่เจอหน้ากันเลย ไอ้เราพอโดนทักบ่อยๆก็ใจแป๋วล่ะ ตอนนั้นแหละถึงได้เริ่มสังเกตหน้าตัวเองว่ามันโทรมจริงๆด้วย ทั้งสารพัดสิว ความหมอง รอยดำ ตาโหล ริ้วรอย มีครบหมดบนใบหน้า เราจึงได้เริ่มคิดที่จะลองบำรุงดูแลหน้าตัวเองสักหน่อย อย่างน้อยเวลานัดเจอลูกตาเขาจะได้ไม่ตกใจหน้าเราอ่ะเนอะ 5555
ด้วยความที่ตัวเองไม่ได้สนใจความงามมาแต่แรก เวลาศึกษาหาความรู้ก็จะมาจากกูเกิ้ลและพันทิปเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ได้พบว่าการบำรุงหน้าที่เห็นผลไวที่สุดก็คือการมาส์กหน้านี่แหละ เพราะมันมีความเข้มข้นสูงจึงช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้าได้ไว เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างเรามาก เราก็เลยคิดว่าจะลองการมาส์กหน้านี่แหละเป็นอย่างแรก เพราะอยากให้หน้าดีขึ้นไวๆ+อยากจะรู้ว่ามันดีจริงมั้ย ก็เลยจัดหาการมาส์กหน้าทุกสไตล์มาทดลองกับใบหน้าตัวเอง แล้วก็เลยเกิดความคิดได้ว่าไหนๆก็ลองซื้อลองใช้มาล่ะ น่าจะเอาการมาส์กหน้าแต่ละแบบรวมถึงของที่ใช้อยู่มาเขียนกระทู้สักหน่อยล่ะกัน โดยในกระทู้นี้จะพูดแยกเป็นชิ้นแต่ละประเภททั้งหมด4ประเภท ตามนี้เลยค่ะ
1.มาส์กแผ่น(Mask Sheet)
ข้อดี: หาซื้อได้ง่าย ใช้สะดวก ราคาไม่แพงมาก เห็นผลไวกว่าการบำรุงทั่วไป(เพราะมีความเข้มข้นสูง) และใช้เวลาในการมาส์กไม่นาน
ข้อเสีย: ใช้ได้แค่1ครั้งต่อ1ซองเท่านั้น แล้วเวลาใช้ต้องคอยจับเวลา เพราะมาส์กแผ่นไม่สามารถมาส์กทิ้งไว้ข้ามคืนได้ไม่งั้นจะดูดความชุ่มชื้นจากหน้าเราหมด และด้วยความที่เป็นมาส์กแผ่นสำเร็จรูป เวลาซื้อมาใช้บางทีก็เจอแผ่นที่ไม่พอดีกับหน้า จึงต้องแปะดีๆไม่งั้นเลอะเทอะ
เป็นมาส์กประเภทที่หาซื้อง่ายที่สุด แค่แวะไปซื้อตามชอปก็มีวางขายเรียงรายเป็นตับให้เลือกสรรจนตาลาย นอกจากนี้ยังใช้ได้สะดวกง่ายดายอีกต่างหาก แค่ฉีกแล้วเอามาส์กแผ่นในซองมาแปะบนหน้าสัก15-30นาทีก็จบแล้ว เราเลยติดใช้มาส์กแผ่นบ่อยมาก 5555 พวกมาส์กแผ่นส่วนใหญ่เราจะชอบซื้อที่วัตสันช่วงมีโปรค่ะเพราะคุ้มสุดล่ะ ก็จะเปลี่ยนแนวเปลี่ยนยี่ห้อไปด้วยแล้วแต่อารมณ์
ล่าสุดที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็คือWatsons Facial Mask ราคา59บาท(ซื้อมาช่วงมีโปร1แถม1พอดี) ซองเป็นลายการ์ตูนน่ารักๆด้วย เลยซื้อตุนไว้ทั้งสองสูตรเลยค่ะ สูตรLycopeneซองแดงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสูตรAloe Vera Juiceซองเขียวช่วยให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื้นสุขภาพดี เหมาะกับสายต้องการฟื้นฟูหนังหน้าเช่นเรามาก 5555 สิ่งที่เราชอบมากในมาส์กแผ่นยี่ห้อนี้คือความหนาของแผ่น และปริมาณน้ำบำรุงในซองที่ให้มาค่อนข้างเยอะในราคาเท่านี้ ส่วนตัวใช้ครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มขึ้น ดูอิ่มน้ำ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันช่วยให้หน้าหายโทรมแบบทันทีทันใด ต้องใช้หลายแผ่นสักหน่อยถึงจะเห็นผล
2.มาส์กแบบล้างออก(Wash off Mask)
ข้อดี: ปริมาณเยอะ ใช้ได้นาน เป็นการทำความสะอาดหน้าอีกแบบที่สามา่รถทำได้ล้ำลึกกว่าการล้างหน้าปกติ เป็นตัวช่วยสำหรับคนที่แต่งหน้าบ่อยหรือต้องออกไปเจอมลพิษด้านนอก
ข้อเสีย: เราว่ามาส์กประเภทนี้เหมาะสำหรับคนผิวมัน คนหน้าธรรมดาแบบเราแล้วรู้สึกว่ามันตึงเกินไป ใช้แล้วรู้สึกรำคาญหน้าเวลาที่มาส์กแห้ง
มาถึงมาส์กแบบถัดไปนั่นก็คือมาส์กแบบล้างออกค่ะ ซึ่งก็มักจะมาในรูปทรงกระปุกไม่ก็หลอดบีบที่มีเนื้อครีมมาส์กอยู่ข้างในให้เราควักไปป้ายๆบนใบหน้า ไม่ใช่ให้มาเป็นมาส์กแผ่นสำเร็จรูปเหมือนอันที่แล้ว ฉะนั้นแล้วปริมาณก็จะเยอะขึ้นและราคาก็จะแพงขึ้นกว่ามาส์กแผ่นค่ะ แต่กระบวนการปกติก็ไม่ต่างกันมากนัก มาส์กทิ้งไว้ประมาณ15-30นาทีเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องทาเองแล้วต้องล้างออกให้สะอาดหลังมาส์กเสร็จด้วย(ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นมาส์กแบบล้างออกมันก็ต้องล้างออกสิ 5555)
ส่วนใหญ่มาส์กประเภทนี้จะเป็นมาส์กDetox เอาสิ่งสกปรก สิ่งตกค้างออกจากใบหน้า ซึ่งอันที่เราใช้คือ Prettii Face Pink Clay Mask ราคา699บาท เป็นมาส์กโคลนสีชมพูหวานแหววแต๋วจ๋าเหมาะกับผู้หญิงสุดๆ เราซื้ออันนี้มาเพราะคิดว่ามันน่าเหมาะกับคนหน้าโทรมอย่างเรา เนื่องจากตัวมาส์กจะช่วยDetoxผิวให้หน้าใส อ่ะลองดูสักหน่อยอย่างน้อยก็ไม่มีอะไรจะเสีย 555 โดยส่วนตัวใช้แล้วรู้สึกว่าหน้าสะอาดขึ้นนะคะ แต่มันไม่ได้ช่วยฟื้นฟูความโทรมบนใบหน้าเราเลย เลยเหมือนจะไม่ตอบโจทย์เราเท่าไร แต่กลิ่นหอมและสีน่ารักดี เราจะใช้เฉพาะเวลาที่อยากทำความสะอาดหน้าเป็นพิเศษเท่านั้น ใครที่คิดว่าตัวเองหน้าสกปรกมีสิ่งตกค้างก็ลองใช้มาส์กแบบล้างออกดูได้นะ
3.มาส์กก่อนนอน (Sleeping Mask)
ข้อดี: ความเข้มข้นสูง บำรุงหน้าได้รวดเร็ว ใช้แล้วเห็นผลทันที(ไวกว่ามาส์กแบบแผ่น) สามารถทาทิ้งไว้ทั้งคืนได้โดยไม่ต้องล้างออก เหมาะกับคนยุ่งๆที่ไม่ค่อยดูแลผิว และมีปริมาณเยอะใช้ได้นาน
ข้อเสีย:ราคาค่อนข้างสูง บางยี่ห้อต้องสั่งซื้อจากอินเทอร์เน็ต ตัวครีมมาส์กมีความเข้มข้นสูง มีโอกาสที่จะอุดตันและเป็นสิวได้ถ้าล้างหน้าไม่สะอาด
ภายนอกโดยรวมแล้วก็ไม่ต่างจากมาส์กแบบล้างออกค่ะ เพราะมาในรูปทรงกระปุกเหมือนกัน แต่คุณสมบัติจะไปในทางมาส์กแผ่นคือช่วยคือการบำรุงฟื้นฟูหน้า แต่ที่พิเศษกว่าคือมาส์กประเภทนี้จะมีความเข้มข้นกว่ามาส์กแผ่นมาก และสามารถทาทิ้งไว้ค้างคืนได้โดยไม่ต้องล้างออก(ตื่นเช้ามาค่อยล้าง) ก็จะเหมาะกับคนขี้เกียจแบบเรา ที่อยากทาแล้วนอนเลย 5555 มาส์กก่อนนอนเลยเป็นมาส์กที่เราใช้บ่อย เพราะกระปุกหนึ่งก็ใช้ได้นานอยู่
อันที่เราใช้ปัจจุบันตอนนี้ก็ Mana Skincare Nature White Booster Mask ราคา980 บาท ซื้อมาเพราะอ่านคุณสมบัติแล้วประทับใจ 555 เขาเคลมว่าเป็นผลิตภัณฑ์สกัดจากธรรมชาติ 100% เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ช่วยฟื้นฟูหน้าโทรมจากการนอนดึก บำรุงผิวให้แข็งแรงขึ้น สามารถเห็นผลตั้งแต่คืนแรกที่ใช้ ซึ่งเราคิดว่าคุณสมบัติมันตรงกับที่เราต้องการที่สุดแล้ว ด้วยอาชีพของเราทำให้หลายครั้งที่นอนไม่เป็นเวลา เลยคิดว่าการนอนไม่เป็นเวลาเนี่ยน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หน้าโทรม ก็ใช้ไปเลยก่อนนอน ตื่นมาตอนเช้าแล้วเซอร์ไพร์สมากเพราะมันเห็นผลจริง รู้สึกว่าหนังหน้ามันดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก หน้าขาวขึ้นแบบเห็นได้ชัด พวกรอยดำมันจางลง หน้าดูตึงๆเนียนๆขึ้น ไม่หมองไม่โทรมอย่างแต่ก่อน เราเลยคิดว่าพวกสลีปปิ้งมาส์กมันน่าจะเข้มข้นมากจริงๆ ถึงทาแล้วหน้าดูดีขึ้นทันตาแบบนี้ อีกอย่างที่ชอบเกี่ยวกับสลีปปิ้งมาส์กคือเนื้อมาส์กซึมไวมาก ทาแล้วไม่เหนอะหน้า หลับสบายโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเปื้อนหมอน
4.มาส์กหน้าDIY
ข้อดี: ส่วนผสมเป็นของธรรมชาติ โอกาสแพ้มีน้อย ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย
ข้อเสีย: เสียเวลาในการทำเอง ไม่ได้เห็นผลลัพธ์เร็วเหมือนประเภทอื่นๆ ต้องใช้สม่ำเสมอ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลานัก
อันนี้พิเศษหน่อยเพราะทำเอง 5555 ช่วงนั้นเราหาข้อมูลเกี่ยวกับมาส์กเยอะเลยอยากลองทำมาส์กด้วยตัวเองบ้าง เพราะคิดว่าปลอดภัยดีเพราะเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ เราลงมือทำด้วยตัวเองจึงไม่ต้องกลัวว่าหน้าจะพัง แถมไม่แพงด้วยถ้าเทียบกับการมาส์กหน้าแนวอื่น ก็เลยศึกษาส่วนผสมมาส์กหน้าจนลงตัวที่มาส์กโยเกิร์ต+มะเขือเทศ+น้ำผึ้ง เพราะว่าหาง่ายที่สุด 5555 โดยโยเกิร์ตช่วยในเรื่องขจัดแบคทีเรีย ผลัดเซลล์ผิว ทำให้หน้าเราสะอาดขึ้น แล้วยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าซึ่งจะช่วยให้หน้าเราใสขึ้น ส่วนน้ำผึ้งก็ช่วยขจัดแบคทีเรีย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยแดงจากสิว ทำให้สิวจางลงและลดสาเหตุการเกิดสิวด้วย ทำให้ผิวเนียนชุ่มชื้น และมะเขือเทศวิตามินเอและซีที่จะช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเรื่องริ้วรอยก่อนวัย ลดรอยคล้ำใต้ตาได้ด้วย(เน้นตรงนี้เป็นพิเศษเพราะใต้ตาคล้ำ) ลดความมันและรักษาสิวได้ด้วยเช่นกัน
จะเห็นว่าส่วนผสมส่วนใหญ่เราจะเน้นเรื่องสิวเพราะตอนนั้นมีสิวขึ้นหน้าอยู่ ก็เลยจับทุกอย่างที่ช่วยรักษาสิวได้มารวมกัน เราใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติครึ่งถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง1ช้อนโต๊ะ และน้ำมะเขือเทศ1ถ้วยน้ำจิ้ม มาผสมรวมๆกันแล้วพอกหน้าไว้15นาทีค่อยล้างออก เราทำแบบนี้ได้แค่สัปดาห์เดียวก็เลิกทำแล้ว 5555 เพราะว่างานเยอะขี้เกียจทำบ่อยๆ บวกกับแทบจะไม่เห็นผลความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเลย(แค่รู้สึกว่าหน้านุ่มขึ้นตอนล้างออกใหม่ๆ กับสิวยุบลง แต่หน้าก็โทรมเหมือนเดิม) พอไปศึกษาดูอีกทีถึงรู้ว่าการมาส์กธรรมชาติแบบทำเองเนี่ย มันเห็นผลช้ามาก ต้องใช้ความสม่ำเสมอ ไม่เหมือนมาส์กประเภทอื่นที่ถูกผลิตมาจากบริษัทต่างๆ เพราะมันจะมีสารสกัดเฉพาะ ทำให้เข้มข้นกว่าและเห็นผลไวกว่า สรุปว่ามาส์กสไตล์นี้ไม่เวิร์คสำหรับเรา แต่คนที่ชอบอะไรออแกนิคธรรมชาติๆ และมีเวลาว่าง น่าจะชอบมาส์กทำเองแบบนี้นะ
สำหรับเรา เราคิดว่ามาส์กแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อเสียไปกันคนละแบบ มีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมีปัญหาผิวแบบไหน ของแบบนี้ต้องบอกว่าลางเนื้อชอบลางยานะ 5555 แต่โดยส่วนตัวสำหรับคนหน้าโทรมอย่างเรา เราถูกใจแบบสลิปปิ้งมาส์กมากที่สุด เพราะมันฟื้นฟูปัญหาผิวหน้าเราได้ตรงจุดอย่างที่ต้องการ แล้วยังเห็นผลไวสุดและใช้ได้สะดวกสุดสำหรับเรา เสียแต่ราคามันแรง 5555 จะสวยทั้งทีก็ต้องมีเงินด้วยนะ แล้วเพื่อนๆคิดว่ามาส์กสไตล์ไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุดมาแชร์กันได้นะ
[CR] รวมการใช้สารพัดมาส์กหน้าหลากวิธีฟื้นฟูหนังหน้าโทรมๆ วิธีไหนจะเวิร์คที่สุดนะ?
แต่เหตุผลที่ทำให้เราเริ่มหันมาดูแลตัวเองก็เพราะพ่อแม่ค่ะ เวลากลับบ้านทีไรพ่อกับแม่จะต้องทักตลอดว่า ‘ไปทำอะไรมาทำไมดูโทรมอย่างนี้ล่ะลูก’ ทักแบบนี้ทุ๊กกกกครั้งที่เจอหน้ากันเลย ไอ้เราพอโดนทักบ่อยๆก็ใจแป๋วล่ะ ตอนนั้นแหละถึงได้เริ่มสังเกตหน้าตัวเองว่ามันโทรมจริงๆด้วย ทั้งสารพัดสิว ความหมอง รอยดำ ตาโหล ริ้วรอย มีครบหมดบนใบหน้า เราจึงได้เริ่มคิดที่จะลองบำรุงดูแลหน้าตัวเองสักหน่อย อย่างน้อยเวลานัดเจอลูกตาเขาจะได้ไม่ตกใจหน้าเราอ่ะเนอะ 5555
ด้วยความที่ตัวเองไม่ได้สนใจความงามมาแต่แรก เวลาศึกษาหาความรู้ก็จะมาจากกูเกิ้ลและพันทิปเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ได้พบว่าการบำรุงหน้าที่เห็นผลไวที่สุดก็คือการมาส์กหน้านี่แหละ เพราะมันมีความเข้มข้นสูงจึงช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้าได้ไว เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างเรามาก เราก็เลยคิดว่าจะลองการมาส์กหน้านี่แหละเป็นอย่างแรก เพราะอยากให้หน้าดีขึ้นไวๆ+อยากจะรู้ว่ามันดีจริงมั้ย ก็เลยจัดหาการมาส์กหน้าทุกสไตล์มาทดลองกับใบหน้าตัวเอง แล้วก็เลยเกิดความคิดได้ว่าไหนๆก็ลองซื้อลองใช้มาล่ะ น่าจะเอาการมาส์กหน้าแต่ละแบบรวมถึงของที่ใช้อยู่มาเขียนกระทู้สักหน่อยล่ะกัน โดยในกระทู้นี้จะพูดแยกเป็นชิ้นแต่ละประเภททั้งหมด4ประเภท ตามนี้เลยค่ะ
1.มาส์กแผ่น(Mask Sheet)
ข้อดี: หาซื้อได้ง่าย ใช้สะดวก ราคาไม่แพงมาก เห็นผลไวกว่าการบำรุงทั่วไป(เพราะมีความเข้มข้นสูง) และใช้เวลาในการมาส์กไม่นาน
ข้อเสีย: ใช้ได้แค่1ครั้งต่อ1ซองเท่านั้น แล้วเวลาใช้ต้องคอยจับเวลา เพราะมาส์กแผ่นไม่สามารถมาส์กทิ้งไว้ข้ามคืนได้ไม่งั้นจะดูดความชุ่มชื้นจากหน้าเราหมด และด้วยความที่เป็นมาส์กแผ่นสำเร็จรูป เวลาซื้อมาใช้บางทีก็เจอแผ่นที่ไม่พอดีกับหน้า จึงต้องแปะดีๆไม่งั้นเลอะเทอะ
เป็นมาส์กประเภทที่หาซื้อง่ายที่สุด แค่แวะไปซื้อตามชอปก็มีวางขายเรียงรายเป็นตับให้เลือกสรรจนตาลาย นอกจากนี้ยังใช้ได้สะดวกง่ายดายอีกต่างหาก แค่ฉีกแล้วเอามาส์กแผ่นในซองมาแปะบนหน้าสัก15-30นาทีก็จบแล้ว เราเลยติดใช้มาส์กแผ่นบ่อยมาก 5555 พวกมาส์กแผ่นส่วนใหญ่เราจะชอบซื้อที่วัตสันช่วงมีโปรค่ะเพราะคุ้มสุดล่ะ ก็จะเปลี่ยนแนวเปลี่ยนยี่ห้อไปด้วยแล้วแต่อารมณ์
ล่าสุดที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็คือWatsons Facial Mask ราคา59บาท(ซื้อมาช่วงมีโปร1แถม1พอดี) ซองเป็นลายการ์ตูนน่ารักๆด้วย เลยซื้อตุนไว้ทั้งสองสูตรเลยค่ะ สูตรLycopeneซองแดงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสูตรAloe Vera Juiceซองเขียวช่วยให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื้นสุขภาพดี เหมาะกับสายต้องการฟื้นฟูหนังหน้าเช่นเรามาก 5555 สิ่งที่เราชอบมากในมาส์กแผ่นยี่ห้อนี้คือความหนาของแผ่น และปริมาณน้ำบำรุงในซองที่ให้มาค่อนข้างเยอะในราคาเท่านี้ ส่วนตัวใช้ครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มขึ้น ดูอิ่มน้ำ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันช่วยให้หน้าหายโทรมแบบทันทีทันใด ต้องใช้หลายแผ่นสักหน่อยถึงจะเห็นผล
2.มาส์กแบบล้างออก(Wash off Mask)
ข้อดี: ปริมาณเยอะ ใช้ได้นาน เป็นการทำความสะอาดหน้าอีกแบบที่สามา่รถทำได้ล้ำลึกกว่าการล้างหน้าปกติ เป็นตัวช่วยสำหรับคนที่แต่งหน้าบ่อยหรือต้องออกไปเจอมลพิษด้านนอก
ข้อเสีย: เราว่ามาส์กประเภทนี้เหมาะสำหรับคนผิวมัน คนหน้าธรรมดาแบบเราแล้วรู้สึกว่ามันตึงเกินไป ใช้แล้วรู้สึกรำคาญหน้าเวลาที่มาส์กแห้ง
มาถึงมาส์กแบบถัดไปนั่นก็คือมาส์กแบบล้างออกค่ะ ซึ่งก็มักจะมาในรูปทรงกระปุกไม่ก็หลอดบีบที่มีเนื้อครีมมาส์กอยู่ข้างในให้เราควักไปป้ายๆบนใบหน้า ไม่ใช่ให้มาเป็นมาส์กแผ่นสำเร็จรูปเหมือนอันที่แล้ว ฉะนั้นแล้วปริมาณก็จะเยอะขึ้นและราคาก็จะแพงขึ้นกว่ามาส์กแผ่นค่ะ แต่กระบวนการปกติก็ไม่ต่างกันมากนัก มาส์กทิ้งไว้ประมาณ15-30นาทีเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องทาเองแล้วต้องล้างออกให้สะอาดหลังมาส์กเสร็จด้วย(ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นมาส์กแบบล้างออกมันก็ต้องล้างออกสิ 5555)
ส่วนใหญ่มาส์กประเภทนี้จะเป็นมาส์กDetox เอาสิ่งสกปรก สิ่งตกค้างออกจากใบหน้า ซึ่งอันที่เราใช้คือ Prettii Face Pink Clay Mask ราคา699บาท เป็นมาส์กโคลนสีชมพูหวานแหววแต๋วจ๋าเหมาะกับผู้หญิงสุดๆ เราซื้ออันนี้มาเพราะคิดว่ามันน่าเหมาะกับคนหน้าโทรมอย่างเรา เนื่องจากตัวมาส์กจะช่วยDetoxผิวให้หน้าใส อ่ะลองดูสักหน่อยอย่างน้อยก็ไม่มีอะไรจะเสีย 555 โดยส่วนตัวใช้แล้วรู้สึกว่าหน้าสะอาดขึ้นนะคะ แต่มันไม่ได้ช่วยฟื้นฟูความโทรมบนใบหน้าเราเลย เลยเหมือนจะไม่ตอบโจทย์เราเท่าไร แต่กลิ่นหอมและสีน่ารักดี เราจะใช้เฉพาะเวลาที่อยากทำความสะอาดหน้าเป็นพิเศษเท่านั้น ใครที่คิดว่าตัวเองหน้าสกปรกมีสิ่งตกค้างก็ลองใช้มาส์กแบบล้างออกดูได้นะ
3.มาส์กก่อนนอน (Sleeping Mask)
ข้อดี: ความเข้มข้นสูง บำรุงหน้าได้รวดเร็ว ใช้แล้วเห็นผลทันที(ไวกว่ามาส์กแบบแผ่น) สามารถทาทิ้งไว้ทั้งคืนได้โดยไม่ต้องล้างออก เหมาะกับคนยุ่งๆที่ไม่ค่อยดูแลผิว และมีปริมาณเยอะใช้ได้นาน
ข้อเสีย:ราคาค่อนข้างสูง บางยี่ห้อต้องสั่งซื้อจากอินเทอร์เน็ต ตัวครีมมาส์กมีความเข้มข้นสูง มีโอกาสที่จะอุดตันและเป็นสิวได้ถ้าล้างหน้าไม่สะอาด
ภายนอกโดยรวมแล้วก็ไม่ต่างจากมาส์กแบบล้างออกค่ะ เพราะมาในรูปทรงกระปุกเหมือนกัน แต่คุณสมบัติจะไปในทางมาส์กแผ่นคือช่วยคือการบำรุงฟื้นฟูหน้า แต่ที่พิเศษกว่าคือมาส์กประเภทนี้จะมีความเข้มข้นกว่ามาส์กแผ่นมาก และสามารถทาทิ้งไว้ค้างคืนได้โดยไม่ต้องล้างออก(ตื่นเช้ามาค่อยล้าง) ก็จะเหมาะกับคนขี้เกียจแบบเรา ที่อยากทาแล้วนอนเลย 5555 มาส์กก่อนนอนเลยเป็นมาส์กที่เราใช้บ่อย เพราะกระปุกหนึ่งก็ใช้ได้นานอยู่
อันที่เราใช้ปัจจุบันตอนนี้ก็ Mana Skincare Nature White Booster Mask ราคา980 บาท ซื้อมาเพราะอ่านคุณสมบัติแล้วประทับใจ 555 เขาเคลมว่าเป็นผลิตภัณฑ์สกัดจากธรรมชาติ 100% เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ช่วยฟื้นฟูหน้าโทรมจากการนอนดึก บำรุงผิวให้แข็งแรงขึ้น สามารถเห็นผลตั้งแต่คืนแรกที่ใช้ ซึ่งเราคิดว่าคุณสมบัติมันตรงกับที่เราต้องการที่สุดแล้ว ด้วยอาชีพของเราทำให้หลายครั้งที่นอนไม่เป็นเวลา เลยคิดว่าการนอนไม่เป็นเวลาเนี่ยน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หน้าโทรม ก็ใช้ไปเลยก่อนนอน ตื่นมาตอนเช้าแล้วเซอร์ไพร์สมากเพราะมันเห็นผลจริง รู้สึกว่าหนังหน้ามันดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก หน้าขาวขึ้นแบบเห็นได้ชัด พวกรอยดำมันจางลง หน้าดูตึงๆเนียนๆขึ้น ไม่หมองไม่โทรมอย่างแต่ก่อน เราเลยคิดว่าพวกสลีปปิ้งมาส์กมันน่าจะเข้มข้นมากจริงๆ ถึงทาแล้วหน้าดูดีขึ้นทันตาแบบนี้ อีกอย่างที่ชอบเกี่ยวกับสลีปปิ้งมาส์กคือเนื้อมาส์กซึมไวมาก ทาแล้วไม่เหนอะหน้า หลับสบายโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเปื้อนหมอน
4.มาส์กหน้าDIY
ข้อดี: ส่วนผสมเป็นของธรรมชาติ โอกาสแพ้มีน้อย ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย
ข้อเสีย: เสียเวลาในการทำเอง ไม่ได้เห็นผลลัพธ์เร็วเหมือนประเภทอื่นๆ ต้องใช้สม่ำเสมอ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลานัก
อันนี้พิเศษหน่อยเพราะทำเอง 5555 ช่วงนั้นเราหาข้อมูลเกี่ยวกับมาส์กเยอะเลยอยากลองทำมาส์กด้วยตัวเองบ้าง เพราะคิดว่าปลอดภัยดีเพราะเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ เราลงมือทำด้วยตัวเองจึงไม่ต้องกลัวว่าหน้าจะพัง แถมไม่แพงด้วยถ้าเทียบกับการมาส์กหน้าแนวอื่น ก็เลยศึกษาส่วนผสมมาส์กหน้าจนลงตัวที่มาส์กโยเกิร์ต+มะเขือเทศ+น้ำผึ้ง เพราะว่าหาง่ายที่สุด 5555 โดยโยเกิร์ตช่วยในเรื่องขจัดแบคทีเรีย ผลัดเซลล์ผิว ทำให้หน้าเราสะอาดขึ้น แล้วยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าซึ่งจะช่วยให้หน้าเราใสขึ้น ส่วนน้ำผึ้งก็ช่วยขจัดแบคทีเรีย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยแดงจากสิว ทำให้สิวจางลงและลดสาเหตุการเกิดสิวด้วย ทำให้ผิวเนียนชุ่มชื้น และมะเขือเทศวิตามินเอและซีที่จะช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเรื่องริ้วรอยก่อนวัย ลดรอยคล้ำใต้ตาได้ด้วย(เน้นตรงนี้เป็นพิเศษเพราะใต้ตาคล้ำ) ลดความมันและรักษาสิวได้ด้วยเช่นกัน
จะเห็นว่าส่วนผสมส่วนใหญ่เราจะเน้นเรื่องสิวเพราะตอนนั้นมีสิวขึ้นหน้าอยู่ ก็เลยจับทุกอย่างที่ช่วยรักษาสิวได้มารวมกัน เราใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติครึ่งถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง1ช้อนโต๊ะ และน้ำมะเขือเทศ1ถ้วยน้ำจิ้ม มาผสมรวมๆกันแล้วพอกหน้าไว้15นาทีค่อยล้างออก เราทำแบบนี้ได้แค่สัปดาห์เดียวก็เลิกทำแล้ว 5555 เพราะว่างานเยอะขี้เกียจทำบ่อยๆ บวกกับแทบจะไม่เห็นผลความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเลย(แค่รู้สึกว่าหน้านุ่มขึ้นตอนล้างออกใหม่ๆ กับสิวยุบลง แต่หน้าก็โทรมเหมือนเดิม) พอไปศึกษาดูอีกทีถึงรู้ว่าการมาส์กธรรมชาติแบบทำเองเนี่ย มันเห็นผลช้ามาก ต้องใช้ความสม่ำเสมอ ไม่เหมือนมาส์กประเภทอื่นที่ถูกผลิตมาจากบริษัทต่างๆ เพราะมันจะมีสารสกัดเฉพาะ ทำให้เข้มข้นกว่าและเห็นผลไวกว่า สรุปว่ามาส์กสไตล์นี้ไม่เวิร์คสำหรับเรา แต่คนที่ชอบอะไรออแกนิคธรรมชาติๆ และมีเวลาว่าง น่าจะชอบมาส์กทำเองแบบนี้นะ
สำหรับเรา เราคิดว่ามาส์กแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อเสียไปกันคนละแบบ มีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมีปัญหาผิวแบบไหน ของแบบนี้ต้องบอกว่าลางเนื้อชอบลางยานะ 5555 แต่โดยส่วนตัวสำหรับคนหน้าโทรมอย่างเรา เราถูกใจแบบสลิปปิ้งมาส์กมากที่สุด เพราะมันฟื้นฟูปัญหาผิวหน้าเราได้ตรงจุดอย่างที่ต้องการ แล้วยังเห็นผลไวสุดและใช้ได้สะดวกสุดสำหรับเรา เสียแต่ราคามันแรง 5555 จะสวยทั้งทีก็ต้องมีเงินด้วยนะ แล้วเพื่อนๆคิดว่ามาส์กสไตล์ไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุดมาแชร์กันได้นะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้