https://www.iamcharco.al/why-so-many-reboots-spiderman/
ภาพยนตร์ “สไปเดอร์แมน” ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา รีเซ็ตเรื่องราวใหม่ไปถึง 3 ครั้ง เล่าชีวิตของ “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์” ไปแล้ว 6 เรื่อง เปลี่ยนพระเอกไปแล้ว 3 คน ยิ่งกว่านั้นอนิเมชันสไปเดอร์แมนในจักรวาลของหนุ่มผิวสี “ไมล์ โมราเลส” ก็เพิ่งจะเข้าฉายในประเทศไทยไป แถม Spider-Man: Far From Home ที่แสดงโดย “ทอม ฮอลแลนด์” ก็กำลังจะเข้าฉายช่วงกลางปี 2019 ทำไมถึงดูสับสนวุ่นวายพิกล ถ้าคนที่ไม่เคยดูหนังสไปดี้มาก่อนคงงงมิใช่น้อย เหตุใดจึงต้องรีบสร้างภาคใหม่ เพราะอะไรต้องรีเซ็ตจักรวาล ลุงเบ็นตายซ้ำตายซากมาแล้วถึง 3 รอบ บทความนี้มีคำตอบ
จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1996 แม้ในช่วงก่อนหน้าจะเป็นยุครุ่งเรืองของสำนักพิมพ์มาร์เวล คอมิกส์ ผู้ให้กำเนิดสไปเดอร์แมน นักธุรกิจนาม Ron Perelman ได้ซื้อกิจการมาร์เวล และนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้น จากนั้นนำกำไรจากหุ้นเร่งกว้านซื้อธุรกิจอื่น ๆ เพิ่ม (แต่โชคร้ายที่มันไม่ได้ทำเงินให้เขานัก) ในยุคนั้นหนังสือ Spider-Man และ X-Men ขายดีมาก นอกจากนี้มาร์เวลยังใช้กลยุทธ์มากมายมาเพิ่มมูลค่าสินค้า เช่น ออกหน้าปกแบบพิเศษ แถมการ์ดที่หนังสือแต่ละเล่มมีไม่เหมือนกัน เกิดนักสะสมที่ซื้อหนังสือเรื่องเดียวกันซ้ำหลาย ๆ เล่ม ร้านหนังสือก็กระหน่ำสั่งซื้อแบกรับต้นทุนเพื่อที่จะได้ปกพิเศษมาครอบครอง แรก ๆ ราคาคอมิกส์พุ่งสูงหลายเท่าตัว แต่นานวันเข้าจำนวนหนังสือที่ผลิตกลับมีมากขึ้น ๆ จากสินค้าที่เคยเป็นของแรร์ (Rare(หายาก)) กลับมีให้เลือกซื้อมากมาย ร้านหนังสือทุนจมขายคอมิกส์ไม่ออกจนปิดกิจการ สินค้าสะสมราคาตกลงเรื่อย ๆ แต่จำนวนการผลิตที่มาร์เวลคงคลัง (Stock) ไว้กลับมหาศาล มาร์เวลขยายอาณาจักรตัวเองเร็วเกินไปจนเป็นภัย กิจการที่ซื้อมาไม่ทำเงิน คอมิกส์ก็ขายไม่ออกจนบริษัทประสบภาวะล้มละลาย
มาร์เวลต้องประคับประคองกิจการตัวเองโดยการยอมขายสิทธิ์ตัวละครฮีโร่ให้กับบริษัทอื่น โดยสิทธิ์ในตัวละคร X-Men และ Spider-Man ฮีโร่ยอดนิยมในยุคนั้นตกให้กับ 20th Century Fox และ Sony ตามลำดับ แต่มีเงื่อนไขคือหลังฉายภาพยนตร์ไปแล้วภายใน 5 ปีหากไม่มีการสร้างภาคใหม่ออกมาอีก สิทธิ์ในตัวละครจะกลับคืนสู่มาร์เวล ผลคือภาพยนตร์ Spider-Man (2002) โดยโซนี่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล สร้างรายได้ทั่วโลกกว่า 821 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สไปเดอร์แมนเวอร์ชันแสดงนำโดย TOBEY MAGUIRE

Sony เปิดจักรวาลไอ้แมงมุมด้วย Spider-Man (2002) ซึ่งแสดงนำโดย Tobey Maguire ผลคือมันประสบความสำเร็จแบบสุดขั้วทั้งในด้านความนิยม และรายได้ มีภาคต่อออกมาในปี 2004 และ 2007 ตามลำดับ แต่น่าเสียดายที่จักรวาลสไปดี้ของโทบี้ต้องจบลงในภาคที่สาม เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกันระหว่าง Sam Raimi ผู้กำกับภาพยนตร์กับทางค่าย รวมถึงคำวิจารณ์แง่ลบในภาคที่ 3 ทำให้ Spider-Man 4 ต้องถูกยกเลิกลง
สไปเดอร์แมนเวอร์ชันแสดงนำโดย ANDREW GARFIELD

“จะห้าปีแล้วนะไอ้…แมงมุม”
ตั้งแต่ Spider-Man 3 (2007) เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ผ่านมาเกือบ 5 ปีก็ยังไม่เห็นวี่แววจะมีภาคใหม่ ๆ ออกมาเสียที แต่จาก “ความสำเร็จด้านรายได้” ของสไปเดอร์แมนไตรภาคที่ผ่านมาเป็นตัวยืนยันแล้วว่ามูลค่าของตัวละครนี้มหาศาลมากขนาดไหน โซนี่จึงตัดสินใจรีบูท (Reboot) เนื้อเรื่องไอ้แมงมุมใหม่ทั้งหมด และนำ The Amazing Spider-Man (2012) ซึ่งแสดงนำโดย Andrew Garfield ออกฉายก่อนพ้นกำหนด 5 ปีที่จะทำให้สิทธิ์ในตัวละครกลับคืนไปยังมาร์เวลได้ทันเวลาพอดี ผลคือ “ได้รับคำวิจารณ์ไม่ดีนัก” เนื่องจากกลิ่นอายภาพยนตร์กลายเป็นหนังรักดราม่ามากกว่าจะเป็นหนังแอคชันฮีโร่อย่างที่หลาย ๆ คนรอคอย ดิ อเมซิ่ง สไปเดอร์แมนจึงปิดฉากลงที่ภาค 2 ในปี 2014 แบบงง ๆ แม้จะได้วางปมหลายอย่างซึ่งยังไม่เฉลย ทิ้งให้คนดูค้างคากับเรื่องราวที่จบแบบค้าง ๆ และไปรีบูทใหม่อีกครั้งในปี 2017
สไปเดอร์แมนเวอร์ชันแสดงนำโดย TOM HOLLAND

ท่ามกลางการกลับมาประสบความสำเร็จของมาร์เวลที่ได้สร้างจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ขึ้น โดยเริ่มต้นจาก Ironman,Thor และ Captain America เชื่อมต่อโลกของฮีโร่ทุกตัวเข้าไว้ในจักรวาลเดียวกัน ปี 2016 คือการกลับบ้านมาร์เวลครั้งแรกแบบครึ่งตัวของสไปเดอร์แมน โซนี่ตัดสินใจร่วมมือกับมาร์เวลยอมให้ค่ายผู้กำเนิดนำตัวละครนี้ไปโลดแล่นในจักรวาล MCU ได้ สไปดี้คนใหม่ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่อง Captain America: Civil War (2016) หลังจากนั้นทั้งสองค่ายได้ร่วมกันรีบูทเนื้อเรื่องของสไปดี้ขึ่นมาใหม่อีกครั้งในชื่อภาคว่า Spider-Man: Homecoming ซึ่งแสดงนำโดย Tom Holland ในปี 2017 และมันได้ผลตอบรับที่ดีมาก
“ความสำเร็จ” ของสไปดี้เปรียบดังเพชรทรงมูลค่าให้กับโซนี่ เพราะถึงแม้มาร์เวลจะได้ส่วนแบ่งจากสิทธิ์ตัวละครที่พ่วงเงื่อนไขต้องทำภาคใหม่ใน 5 ปี แต่มันก็เป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย เหมือนค่าเช่าตัวที่ไม่ได้ผกผันตามรายได้ของภาพยนตร์แต่ละภาค เทียบไม่ได้เลยกับกำไรหลายร้อยล้านที่โซนี่ได้ในภาพยนตร์สไปเดอร์แมน เขาคงไม่มีทางปล่อยสิทธิ์นี้กลับคืนไปยังผู้ให้กำเนิดเป็นแน่ และดูท่าทางค่ายเองคงจะมีแผนขยายอาณาจักรแมงมุมออกไปอีก สังเกตุได้จากอนิเมชัน SPIDER-MAN: INTO THE SPIDER-VERSE ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ มันคือการเปิดโลกให้ผู้ชมรู้ว่า “โลกนี้ไม่ได้มีแต่สไปดี้ที่คุณรู้จัก” ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าค่ายพึงพอใจในผลตอบรับ อนาคตเราอาจได้เห็นไอ้แมงมุมในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นอีกมากมายอย่างแน่นอน
เครดิต
https://www.iamcharco.al/why-so-many-reboots-spiderman/
จะ 5 ปีแล้วนะไอ้…แมงมุม! : ทำไม 17 ปี 6 ภาค 3 นักแสดง (สไปเดอร์แมน)
ภาพยนตร์ “สไปเดอร์แมน” ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา รีเซ็ตเรื่องราวใหม่ไปถึง 3 ครั้ง เล่าชีวิตของ “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์” ไปแล้ว 6 เรื่อง เปลี่ยนพระเอกไปแล้ว 3 คน ยิ่งกว่านั้นอนิเมชันสไปเดอร์แมนในจักรวาลของหนุ่มผิวสี “ไมล์ โมราเลส” ก็เพิ่งจะเข้าฉายในประเทศไทยไป แถม Spider-Man: Far From Home ที่แสดงโดย “ทอม ฮอลแลนด์” ก็กำลังจะเข้าฉายช่วงกลางปี 2019 ทำไมถึงดูสับสนวุ่นวายพิกล ถ้าคนที่ไม่เคยดูหนังสไปดี้มาก่อนคงงงมิใช่น้อย เหตุใดจึงต้องรีบสร้างภาคใหม่ เพราะอะไรต้องรีเซ็ตจักรวาล ลุงเบ็นตายซ้ำตายซากมาแล้วถึง 3 รอบ บทความนี้มีคำตอบ
จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1996 แม้ในช่วงก่อนหน้าจะเป็นยุครุ่งเรืองของสำนักพิมพ์มาร์เวล คอมิกส์ ผู้ให้กำเนิดสไปเดอร์แมน นักธุรกิจนาม Ron Perelman ได้ซื้อกิจการมาร์เวล และนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้น จากนั้นนำกำไรจากหุ้นเร่งกว้านซื้อธุรกิจอื่น ๆ เพิ่ม (แต่โชคร้ายที่มันไม่ได้ทำเงินให้เขานัก) ในยุคนั้นหนังสือ Spider-Man และ X-Men ขายดีมาก นอกจากนี้มาร์เวลยังใช้กลยุทธ์มากมายมาเพิ่มมูลค่าสินค้า เช่น ออกหน้าปกแบบพิเศษ แถมการ์ดที่หนังสือแต่ละเล่มมีไม่เหมือนกัน เกิดนักสะสมที่ซื้อหนังสือเรื่องเดียวกันซ้ำหลาย ๆ เล่ม ร้านหนังสือก็กระหน่ำสั่งซื้อแบกรับต้นทุนเพื่อที่จะได้ปกพิเศษมาครอบครอง แรก ๆ ราคาคอมิกส์พุ่งสูงหลายเท่าตัว แต่นานวันเข้าจำนวนหนังสือที่ผลิตกลับมีมากขึ้น ๆ จากสินค้าที่เคยเป็นของแรร์ (Rare(หายาก)) กลับมีให้เลือกซื้อมากมาย ร้านหนังสือทุนจมขายคอมิกส์ไม่ออกจนปิดกิจการ สินค้าสะสมราคาตกลงเรื่อย ๆ แต่จำนวนการผลิตที่มาร์เวลคงคลัง (Stock) ไว้กลับมหาศาล มาร์เวลขยายอาณาจักรตัวเองเร็วเกินไปจนเป็นภัย กิจการที่ซื้อมาไม่ทำเงิน คอมิกส์ก็ขายไม่ออกจนบริษัทประสบภาวะล้มละลาย
มาร์เวลต้องประคับประคองกิจการตัวเองโดยการยอมขายสิทธิ์ตัวละครฮีโร่ให้กับบริษัทอื่น โดยสิทธิ์ในตัวละคร X-Men และ Spider-Man ฮีโร่ยอดนิยมในยุคนั้นตกให้กับ 20th Century Fox และ Sony ตามลำดับ แต่มีเงื่อนไขคือหลังฉายภาพยนตร์ไปแล้วภายใน 5 ปีหากไม่มีการสร้างภาคใหม่ออกมาอีก สิทธิ์ในตัวละครจะกลับคืนสู่มาร์เวล ผลคือภาพยนตร์ Spider-Man (2002) โดยโซนี่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล สร้างรายได้ทั่วโลกกว่า 821 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สไปเดอร์แมนเวอร์ชันแสดงนำโดย TOBEY MAGUIRE
สไปเดอร์แมนเวอร์ชันแสดงนำโดย ANDREW GARFIELD
“จะห้าปีแล้วนะไอ้…แมงมุม”
ตั้งแต่ Spider-Man 3 (2007) เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ผ่านมาเกือบ 5 ปีก็ยังไม่เห็นวี่แววจะมีภาคใหม่ ๆ ออกมาเสียที แต่จาก “ความสำเร็จด้านรายได้” ของสไปเดอร์แมนไตรภาคที่ผ่านมาเป็นตัวยืนยันแล้วว่ามูลค่าของตัวละครนี้มหาศาลมากขนาดไหน โซนี่จึงตัดสินใจรีบูท (Reboot) เนื้อเรื่องไอ้แมงมุมใหม่ทั้งหมด และนำ The Amazing Spider-Man (2012) ซึ่งแสดงนำโดย Andrew Garfield ออกฉายก่อนพ้นกำหนด 5 ปีที่จะทำให้สิทธิ์ในตัวละครกลับคืนไปยังมาร์เวลได้ทันเวลาพอดี ผลคือ “ได้รับคำวิจารณ์ไม่ดีนัก” เนื่องจากกลิ่นอายภาพยนตร์กลายเป็นหนังรักดราม่ามากกว่าจะเป็นหนังแอคชันฮีโร่อย่างที่หลาย ๆ คนรอคอย ดิ อเมซิ่ง สไปเดอร์แมนจึงปิดฉากลงที่ภาค 2 ในปี 2014 แบบงง ๆ แม้จะได้วางปมหลายอย่างซึ่งยังไม่เฉลย ทิ้งให้คนดูค้างคากับเรื่องราวที่จบแบบค้าง ๆ และไปรีบูทใหม่อีกครั้งในปี 2017
สไปเดอร์แมนเวอร์ชันแสดงนำโดย TOM HOLLAND
“ความสำเร็จ” ของสไปดี้เปรียบดังเพชรทรงมูลค่าให้กับโซนี่ เพราะถึงแม้มาร์เวลจะได้ส่วนแบ่งจากสิทธิ์ตัวละครที่พ่วงเงื่อนไขต้องทำภาคใหม่ใน 5 ปี แต่มันก็เป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย เหมือนค่าเช่าตัวที่ไม่ได้ผกผันตามรายได้ของภาพยนตร์แต่ละภาค เทียบไม่ได้เลยกับกำไรหลายร้อยล้านที่โซนี่ได้ในภาพยนตร์สไปเดอร์แมน เขาคงไม่มีทางปล่อยสิทธิ์นี้กลับคืนไปยังผู้ให้กำเนิดเป็นแน่ และดูท่าทางค่ายเองคงจะมีแผนขยายอาณาจักรแมงมุมออกไปอีก สังเกตุได้จากอนิเมชัน SPIDER-MAN: INTO THE SPIDER-VERSE ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ มันคือการเปิดโลกให้ผู้ชมรู้ว่า “โลกนี้ไม่ได้มีแต่สไปดี้ที่คุณรู้จัก” ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าค่ายพึงพอใจในผลตอบรับ อนาคตเราอาจได้เห็นไอ้แมงมุมในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นอีกมากมายอย่างแน่นอน
เครดิต https://www.iamcharco.al/why-so-many-reboots-spiderman/