.มีเพื่อนสมาชิก เห็นภาพประกอบนี้
เลยถามไว้ในกระทู้คุยโขมง ความคิดเห็นย่อยที่ 10 - 2 ตามภาพประกอบข้างใต้
คำถาม
คำตอบ
ขอตอบว่า ใช่แค่ครึ่งเดียวครับ
เพราะราคาที่ว่าถูกแล้ว มันยังจะถูกลงไปได้อีกมากก็ได้
ต้องกำหนดตัวชี้วัดขึ้นมาเทียบกับราคาหุ้นเอาเองว่า
เราจะถือว่า ราคาหุ้นแบบไหนมีแต้มต่อ
แต้มต่ออีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากๆสำหรับผมก็คือ
เรามีความรู้ ความสามารถในการลงทุนแค่ไหน
ถ้ามีน้อย ก็ต้องกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลายๆตัว ที่เรากำหนดไว้ว่ามีแต้มต่อ
เหตุผลคือ เพื่อให้หุ้นตัวที่เราเชื่อว่ามีแต้มต่อมากๆในตอนซื้อ ปรากฏว่ามันมีมากจริง
สามารถเอากำไรมาหักกลบ ความเสียหายของหุ้นที่เราคิดว่ามีแต้มต่อมากๆ แต่ที่แท้ไม่มีจริง
เพราะผลประกอบการที่ออกตามมาภายหลัง มันแสดงว่าหุ้นจะถูกลงไปได้อีกมาก
ตัวอย่างของหุ้นที่ซื้อในปีที่แล้ว ตอนซื้อเชื่อว่ามีแต้มต่อทุกตัว
ผลประกอบการที่ออกตามมา แสดงว่า คิดผิดอย่างสิ้นเชิง 1 ตัว อีก 2 ตัว
กำลังรอดูผลประกอบไตรมาสสี่ แล้วค่อยตัดสินใจ
* ล่าสุดวันนี้หลังตัดแปะภาพด้วย paint ตัวที่ 3 กลับมาเป็น +
ปรากฏการณ์ของตลาดหุ้นไทยเมื่อปีที่แล้วคือ
ยิ่งซื้อหุ้นที่เล่นกันที่พีอีสูงลิ่วเกินค่าเฉลี่ยของตลาดไปมากกว่าสามสี่เท่า
เพราะเจ้ามือและเครือข่าย ใส่เรื่องผลประกอบการในอนาคตเข้าไปมากๆ ผ่านสารพัดสื่อ
ในที่สุดมันจะกลายเป็น หุ้นดีๆ ที่มีราคาหุ้นสูงเกิน ความเป็นหุ้นดีๆของมันไปไกลมากๆๆ
สำหรับผม หุ้นแบบนี้ไม่มีแต้มต่อ เพราะความรู้ ความสามารถของเรามีไม่ถึง เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับมัน
ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
เจ้ามือที่รวยหุ้นพวกนี้ทุกคน จะเข้าไปซื้อตอนที่ราคาหุ้นถูก เพื่อรอขายแพงๆตอนผลประกอบในอนาคตออกมา
หุ้นที่เล่นกับสตรอเบอรี่เรื่องผลประการการเติบโต
ราคาหุ้นลงมาพอๆกับหุ้นต้มตุ๋นก็มี

เคยลองเทียบเล่นๆแบบมวยวัดกับกราฟ
ถ้า rsi สูงเกิน 70 แสดงว่า อำนาจขายของหุ้น เหนือกว่าอำนาจซื้อของเงินมาก
ต่ำกว่า 30 แสดงว่า อำนาจขายของหุ้น น้อยกว่าอำนาจซื้อของเงินมากเช่นกัน
rsi รายสัปดาห์
รายเดือน
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ อะไรคือแต้มต่อ ใช่หุ้นมีราคาถูกหรือไม่ ?
เลยถามไว้ในกระทู้คุยโขมง ความคิดเห็นย่อยที่ 10 - 2 ตามภาพประกอบข้างใต้
ขอตอบว่า ใช่แค่ครึ่งเดียวครับ
เพราะราคาที่ว่าถูกแล้ว มันยังจะถูกลงไปได้อีกมากก็ได้
ต้องกำหนดตัวชี้วัดขึ้นมาเทียบกับราคาหุ้นเอาเองว่า
เราจะถือว่า ราคาหุ้นแบบไหนมีแต้มต่อ
แต้มต่ออีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากๆสำหรับผมก็คือ
เรามีความรู้ ความสามารถในการลงทุนแค่ไหน
ถ้ามีน้อย ก็ต้องกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลายๆตัว ที่เรากำหนดไว้ว่ามีแต้มต่อ
เหตุผลคือ เพื่อให้หุ้นตัวที่เราเชื่อว่ามีแต้มต่อมากๆในตอนซื้อ ปรากฏว่ามันมีมากจริง
สามารถเอากำไรมาหักกลบ ความเสียหายของหุ้นที่เราคิดว่ามีแต้มต่อมากๆ แต่ที่แท้ไม่มีจริง
เพราะผลประกอบการที่ออกตามมาภายหลัง มันแสดงว่าหุ้นจะถูกลงไปได้อีกมาก
ตัวอย่างของหุ้นที่ซื้อในปีที่แล้ว ตอนซื้อเชื่อว่ามีแต้มต่อทุกตัว
ผลประกอบการที่ออกตามมา แสดงว่า คิดผิดอย่างสิ้นเชิง 1 ตัว อีก 2 ตัว
กำลังรอดูผลประกอบไตรมาสสี่ แล้วค่อยตัดสินใจ
* ล่าสุดวันนี้หลังตัดแปะภาพด้วย paint ตัวที่ 3 กลับมาเป็น +
ปรากฏการณ์ของตลาดหุ้นไทยเมื่อปีที่แล้วคือ
ยิ่งซื้อหุ้นที่เล่นกันที่พีอีสูงลิ่วเกินค่าเฉลี่ยของตลาดไปมากกว่าสามสี่เท่า
เพราะเจ้ามือและเครือข่าย ใส่เรื่องผลประกอบการในอนาคตเข้าไปมากๆ ผ่านสารพัดสื่อ
ในที่สุดมันจะกลายเป็น หุ้นดีๆ ที่มีราคาหุ้นสูงเกิน ความเป็นหุ้นดีๆของมันไปไกลมากๆๆ
สำหรับผม หุ้นแบบนี้ไม่มีแต้มต่อ เพราะความรู้ ความสามารถของเรามีไม่ถึง เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับมัน
ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
เจ้ามือที่รวยหุ้นพวกนี้ทุกคน จะเข้าไปซื้อตอนที่ราคาหุ้นถูก เพื่อรอขายแพงๆตอนผลประกอบในอนาคตออกมา
หุ้นที่เล่นกับสตรอเบอรี่เรื่องผลประการการเติบโต
ราคาหุ้นลงมาพอๆกับหุ้นต้มตุ๋นก็มี
เคยลองเทียบเล่นๆแบบมวยวัดกับกราฟ
ถ้า rsi สูงเกิน 70 แสดงว่า อำนาจขายของหุ้น เหนือกว่าอำนาจซื้อของเงินมาก
ต่ำกว่า 30 แสดงว่า อำนาจขายของหุ้น น้อยกว่าอำนาจซื้อของเงินมากเช่นกัน
rsi รายสัปดาห์
รายเดือน