ทีมชาติญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ หากอยากได้โค้ชคนใด เขาจะกำหนดขึ้นมาก่อนว่า โค้ชจะต้องมีสไตล์การทำทีมตามแบบที่กำหนด คือเข้าหรือคล้ายคลึงกับสไตล์การเล่นของฟุตบอลประจำชาติ สามารถเข้ามาพัฒนาหรือมอบอะไรบางอย่างให้กับทีมชาติได้จากที่มีอยู่แล้ว แล้วจึงติดต่อโค้ช ไม่ใช่เปิดรับสมัคร สมาคมต้องส่งคนที่มีความรู้ในเรื่องของฟุตบอลไปเก็บข้อมูล ว่าโค้ชแต่ละคนเล่นในรูปแบบใด คนที่ไปเก็บข้อมูลรวบรวมรายชื่อโค้ชอาจจะเป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องฟุตบอลสมัยใหม่เช่น ทีมงาน ของ Ekkono
ยกตัวอย่างเช่น ทีมชาติญี่ปุ่นหลังจบฟุตบอลโลกปี 2018 ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบฟอร์เมชั่นของทีมชาติจาก 4-2-3-1 เป็น 3-4-2-1 เป็นการเปลี่ยนระบบการเล่นเพื่อเตรียมความพร้อมระยะยาว สำหรับฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า เขาก็ไปเก็บข้อมูลมาว่ามีโค้ชคนใดในโลกที่มีฝีมือและเก่งระบบนี้บ้าง ก็มีอยู่ 4 คน อาร์เซน เวงเกอร์ มิไฮโล เปโตรวิช เนลซินโญ่ บาปติสต้า และ ฮาจิเมะ โมริยาสึ ทำไมสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นจึงต้องเปลี่ยนจากระบบ 4-2-3-1 ที่ทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ใช้เป็น แพทเทิร์น มาอย่างยาวนานมาเลือกระบบ 3-4-2-1 เพราะฟุตบอลโลกที่รัสเซียนั่นเอง เบลเยี่ยม ใช้ระบบการเล่นนี้ในการเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งระบบนี้ 3-4-3 หรือ 4-3-3 เบลเยี่ยมใช้กับเยาวชนมาเป็น 20 ปี ผ่านแผน Golden Gen. นั่นเอง ประกอบกับฟุตบอลระบบ 3-4-2-1 นั้นสร้างความสำเร็จมากมายให้กับสโมสรที่ มิไฮโล เปโตรวิช เคยคุม ทั้งซานเฟรซ ที่ได้แชมป์เจลีก 3 สมัยติดๆกัน และอูราวะ เรดไดมอนส์ ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรเอเชีย หรือ AFC Champion league
ซึ่งเท่าที่ผมเห็น จุดอ่อนอย่างหนึ่งของแท็คติกราเยวัช ก็คือ เน้นเล่นฟุตบอลโยนไดเร็คมากเกินไป การเล่นเกมรับของเรารับต่ำจนเกินไป และเป็นการเล่นเกมรับแบบไม่เพรสซิ่งแบบทีมใหญ่ๆในไทยลีกทำ เช่น บุรีรัมย์ หรือ แบงค็อก ยูไนเต็ด ธรรมชาติของทีมใหญ่ไทยลีกซึ่งมีนักฟุตบอลติดทีมชาติเป็นส่วนใหญ่จะเล่นเกมรับแบบเพรสซิ่ง และกองหลังไม่รับต่ำ อันเป็นการฝืนธรรมชาติความเคยชินของนักฟุตบอล รวมถึงความหลากหลายในการเล่นเกมรุกของราเยวัชค่อนข้างน้อย
ซึ่งปรัชญาการทำทีมของราเยวัชนั้นแตกต่างจาก คอนเส็ปของ Thailand Way’s ตามแผนพัฒนาฟุตบอลไทย 20 ปี โดย สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2560 - 2579
แผนสร้าง Thailand way's ระยะยาวของสมาคม บอกไว้ว่า เน้นการครองบอล สร้างเกมจากแดนตนเองแบบเท้าสู้เท้า ไล่กดดันเพรสซิ่งคู่ต่อสู้อย่างพร้อมเพรียงในแดนกลาง และไล่กดดันในเกมรับจากแดนหน้า
ผมจึงได้ลองเก็บข้อมูลรวบรวมรายชื่อโค้ชเป็นตัวอย่างให้กับสมาคม ว่าหากราเยวัชไม่ได้ไปต่อ เราจะทำการคัดเลือกมาเฉพาะโค้ชที่เก่งในแท็คติกการเล่นเกมรับแบบเพรสซิ่ง และมีความหลากหลายทางเกมรุกที่ค่อนข้างดี ตาม คอนเส็ปของ Thailand Way’s อย่างไร
ผมแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ครับ
โค้ชที่มีชื่อระดับกลางๆในระดับยุโรป
โค้ชที่ประสบความสำเร็จในระดับเอเชีย
โค้ชที่ประสบความสำเร็จในระดับไทยลีก
โค้ชที่มีชื่อระดับกลางๆในระดับยุโรป
สถานะ คุมสโมสรปั๋กกิ่ง กัวอั๋น
แนะนำ
ชมิดท์ เป็นหนึ่งในโค้ชที่ผมเคยแนะนำไปยังสมาคมฟุตบอล ตั้งแต่ก่อนวันที่สมาคมจะประกาศรับสมัครโค้ชคนใหม่ของทีมชาติไทย ตามกระทู้นี้ที่ผมเคยตั้งขึ้น ตัวเลือกที่น่าสนใจ กับ2 ยอดโค้ชฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่ บุนเดสลีกาลีกที่ยังว่างงาน ก่อนที่ชมิดท์ จะตัดสินใจมาทำงานในลีกจีน ในภายหลังนั่นเอง
วีดีโอ การเพรสซิ่งดุดันในแบบของชมิดท์
ชมิดท์ เป็นคนใจกล้า ไม่กลัวใคร เชื่อมั่นในตัวเองและลูกทีมสูง แม้แต่การเจอกับทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ในยุคที่เลเวอกูเซนดุดันสุดๆ เขาเลือกที่จะใช้ระบบ 4-2-4 เป็นระบบหลัก เพื่อให้เอื้อต่อการเพลสซิ่งหนักของเขา
ความผูกพันธ์กับฟุตบอลไทย
สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กำลังจะได้เผชิญหน้ากับฟุตบอลเพรสซิ่งของชมิดท์ ในปีหน้า ฟุตบอล เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2019 กลุ่ม G
สถิติการคุมทีม
เรดบูล ซัลบวร์ก 99 นัด ชนะ 68 เสมอ 18 แพ้ 13 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 68.69%
ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน 128 นัด ชนะ 62 เสมอ 29 แพ้ 37 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 48.44%
ปักกิ่ง กั๋วอัน 52 นัด ชนะ 26 เสมอ 12 แพ้ 14 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 50.00%
ผลงานทีมที่คุม
Austrian Bundesliga
แชมป์ลีกสูงสุดออสเตรีย 1 ครั้ง
2013-2014
Austrian
แชมป์ฟุตบอลถ้วยออสเตรีย 1 ครั้ง
2013-2014
สถานะ พึ่งว่างงานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา
แนะนำ
เบริซโซ่ สร้างชื่อที่น่าจดจำไว้กับสโมสร เซลต้า บีโก้ เป็นโค้ชที่แพรวพราวเรื่องการเพรสซิ่งเป็นอย่างมากในวงการฟุตบอล ลาลีก้า ของสเปน เขาเสริมความแกร่ง และดุดัน ให้กับเซลต้า บีโก้ ยกระดับเกมการเพรสซิ่งจนเป็นอาวุธสำคัญหลักของทีม ภายนอกสนามเขาเป็นโค้ชที่วินัยสูงมาก การซ้อมหนักและเข้มข้นคือสิ่งที่นักฟุตบอลจะต้องเผชิญ การเพรสซิ่งของเบริซโซ่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจังหวะการเล่นของคู่แข่ง หากแต่เป็นเพียงการ "วางกับดักเพรสซิ่ง" "Pressing Trap" เพื่อดักและแย่งบอลในพื้นที่ที่ทีมต้องการ
ผลงานอันน่าจดจำล้มทีมใหญ่
2014 ชนะ แอตเลติโก มาดริด ลาลีก้า 2-0 ชนะ บาเซโลน่า 1-0 ลาลีก้า
2015 ชนะ บาเซโลน่า 4-1 ลาลีก้า
2016 ชนะ บาเซโลน่า 4-3 ลาลีก้า ชนะ เรียล มาดริด 4-3 โคปาร์เดลเล
วีดีโอ ระบบเพรสซิ่ง เซลต้า บีโก้ ภายใต้การคุมทีมของ เอดูอาร์โด เบริซโซ่
สถิติการคุมทีม
O'Higgins 123 นัด ชนะ 64 เสมอ 28 แพ้ 31 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 52.03%
เซลต้า บีโก้ 128 นัด ชนะ 61 เสมอ 36 แพ้ 51 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 41.22%
เซบีย่า 23 เกม ชนะ 12 เสมอ 5 แพ้ 6 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 52.17%
ผลงานทีมที่คุม
Primera División de Chile
แชมป์ลีกสูงสุดชิลี 1 ครั้ง
2013
Supercopa de Chile
แชมป์ฟุตบอลถ้วยชิลี 1 ครั้ง
2014
UEFA EuropaLeague
รอบรองชนะเลิศยูโรป้าลีก 1 ครั้ง
2016 แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2
รอบแปดทีมยูโรป้าลีก 1 ครั้ง
2015
สถานะ พึ่งว่างงานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
แนะนำ
กุนซือผู้ถ่อมตน ยอคก้า หากคุณเป็นแฟนบอลไทยลีก ที่ติดตามไทยลีกมาตั้งแต่ช่วงลีกบูม ไม่มีใครไม่รู้จักเขาแน่นอน "ย็อคก้า" ในยุคที่เมืองทองเป็นทีมไร้พ่ายนั้นยอคก้า ทำเมืองทองเล่นได้ตื่นตาตื่นใจกับความหลากหลายในเกมรุกที่ดีเยี่ยม เน้นต่อบอลสร้างสรรค์เกมรุกบนพื้น เขาถีบตัวขึ้นไปเป็นกุนซือใหญ่ครั้งแรกให้กับ ปาร์ติซาน เบลเกรด อดีตทีมของเขาสมัยเป็นนักเตะ ซึ่งเจ้าตัวพาทีมคว้าแชมป์ได้ทั้งในฟุตบอลลีก และฟุตบอลถ้วยก้าวแรกในฐานะกุนซือใหญ่ของเขาประสบความสำเร็จเกินคาดฝัน ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน จากนั้นเขาถูกย่กย่องให้เป็นโค้ชสัญชาติเซอร์เบียที่เก่งที่สุดในยุคนั้น (2008-10) และได้รับเชิญให้รับรางวัลกุนซือยอดเยี่ยมแห่งปี หากเป็นกุนซือคนอื่นคงยินดีปิติเป็นอย่างยิ่ง แต่นั่นไม่ใช่กับผู้เสพติดความเพอร์เฟ็คอย่างเขา เพราะเจ้าตัวปฎิเสธรางวัลดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว...
วีดีโอ เบื้องหลังความสำเร็จของย็อคก้ากับการทำทีมรองบ่อนในอังกฤษ
เขาเป็นกุนซือที่กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยง เดินทางมาประเทศไทยเพื่อคุมทีมเมืองทอง โดยมีเวลาแค่ 3 สัปดาห์ก่อนไทยลีกจะเริ่ม เขาคือคนแปลกหน้าไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนามในฐานะโค้ชมาก่อน แต่ก็สร้างสิ่งดีๆมากมายกับสโมสรแห่งนี้ ทั้งการคว้าแชมป์ไทยลีก แบบไร้พ่ายในปี 2012 ปรับบทบาทธีรศิลป์ แดงดา ให้กลายเป็นศูนย์หน้าหมายเลข1ทีมชาติไทย นอกจากนี้เขายังเป็นคนปักหมุดหมายให้เพื่อนร่วมชาติชาวเซิร์บ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากินยังประเทศไทยในเวลาต่อมา
หลังออกจากแดนสยาม ย็อคก้า ผจญภัยในลีกต่างแดนทั้งบัลแกเรีย, สเปน ในฐานะกุนซืออาชีพ แค่คงไม่มีความเสี่ยงครั้งไหน ที่ดีไปกว่าการตกลงรับงานคุมวัตฟอร์ด ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังระส่ำนักเตะไม่เชื่อใจโค้ชคนเก่า แต่ชายหนุ่มร่างยักษ์รายนี้กลับสร้างให้แตนอาละวาด เป็นทีมที่น่าเกรงขามในเดอะแชมเปี้ยนชิพ เมื่อฤดูกาล 2014-15
โปรไฟล์ดังกล่าวจนกลายเป็นใบเบิกทางในชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลของเขาในเวลาต่อมา
“ย็อคก้า” มีความทะเยอทะยานและขวนขวายหาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ประสบความสำเร็จในการทำปาร์ติซาน เบลเกรด จนได้แชมป์ลีกและบอลถ้วย ในปี 2008 แต่เขากลับลาออกจากทีมในปีถัดมา เขาว่างเว้นงานคุมทีมไปราวๆ 3 ปีเศษ แต่ก็ใช้เวลาดังกล่าวไปกับการเข้าคอร์สสัมมนาอบรมโค้ชทั่วทุกมุมโลก เพื่อหาวัตถุดิบใหม่ สร้างแนวคิดการทำฟุตบอลให้พอกพูนมากยิ่งขึ้น ก่อนจะมาแสว่งหาความท้าท้ายใหม่ยังประเทศไทย คุมเมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อปี 2012 จากนั้นก็ย้ายไปทำทีมในลีกบัลแกเรีย, ลีกระดับล่างของสเปน จนกระทั่งมาหาจุดลงตัวในการเป็นโค้ชฟุตบอลอาชีพในแดนผู้ดีกับวัตฟอร์ด และ ฟูแล่ม
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาในข้างต้น คือสิ่งที่ชายชื่อ สลาวิซ่า โยคาโนวิช สามารถแปรสภาพจากโค้ชไทยลีกสู่กุนซือแถวหน้าจนได้รับการจับตามองของวงการลูกหนังยุโรป ภายในระยะเวลา 6 ปี หลังจากออกจากประเทศไทย
ความผูกพันธ์กับฟุตบอลไทย
ช่วงเวลาที่ ย็อคก้า รับงานที่เมืองทองฯ เป็นช่วงเวลาเดียวกับกันที่สโมสรแห่งนี้เริ่มเสียความเป็นเบอร์ 1 ของประเทศให้กับผู้มาใหม่อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนต็เด และนั่นทำให้ กิเลนผยองฯ ยอมจ่ายค่าเหนื่อยให้กุนซือชาวเซิร์บถึง 7 หลัก (มากที่สุดในไทยลีก ณ ตอนนั้น) เพื่อสอยบุรีรัมย์ ลงจากคานให้ได้
สถิติการคุมทีม
วัตฟอต -36 นัด ชนะ 21 เสมอ 5 แพ้ 10 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 58.3%
มัคคาบี้ เทลอาวีฟ 32 นัด ชนะ 14 เสมอ 5 แพ้ 13 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 43.8%
ฟูแล่ม 23 เกม ชนะ 64 เสมอ 36 แพ้ 45 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 44.1%
ผลงานทีมที่คุม
เมืองทอง
Thaileague
แชมป์ลีกสูงสุดไทย 1 ครั้ง
2012
ปาติซาน เบรลเกรด
Serbian SuperLiga
แชมป์ลีกสูงสุดเซอเบียร์ 2 ครั้ง
2007–08, 2008–09
Serbian Cup
แชมป์บอลถ้วยเซอเบียร์ 2 ครั้ง
2007–08, 2008–09
วัตฟอต
รองแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพอังกฤษ 1 ครั้ง
2014–15
สถานะ พึ่งว่างงาน ยังไม่มีสโมสรหรือทีมชาติคุม
แนะนำ
เราอาจจะได้เห็นฟุตบอลสไตล์เวียดนามที่ดูดุดันในเรื่องของการเพรสซิ่งบีบพื้นที่เพื่อเล่นเกมรับและมีการโต้กลับเร็วที่อันตรายขึ้นจากการมาของโค้ชชาวเกาหลีใต้อย่างปาร์คฮังโซ แต่ชเวนี่เก่งยิ่งกว่าปาร์คฮังซอในเรื่องของเกมรุก เขาคือปรมาจารย์สุดยอดโค้ชประสบความสำเร็จอย่างมากในฟุตบอลระดับเอเชีย กับสไตล์การเล่นของสโมสรช็อนบุกฮุนไดมอเตอส์ ที่มีความหลากหลายทางเกมรุกสูงแทบจะที่สุดในฟุตบอลลีกเกาหลีใต้และทวีปเอเชีย ผสมผสานกับการเพรสซิ่งกลางสนามที่ดุดัน และการเล่นเกมรับแบบเพรสซิ่งที่เป็นจุดเด่น ที่สำคัญคือรู้จุดอ่อนจุดแข็งของนักเตะไทยพอสมควรเพราะเคยเจอกับสโมสรไทย ทั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด
ส่วนเรื่องประสบการณ์กับทีมชาติไม่ต้องห่วง ชเวเคยผ่านทีมชาติเกาหลีใต้ชุดใหญ่มาแล้ว
ความผูกพันธ์กับฟุตบอลไทย
ชเว เคยสัมภาษไปในทางให้การยอมรับฝีเท้านักฟุตบอลไทยว่ามีศักยภาพที่ดี ในเกมมาเยือนที่สนามบุรีรัมย์ เขาบอกว่า สิ่งที่น่ากลัวของทีมบุรีรัมย์ทีมนี้ไม่ใช่นักฟุตบอลต่างชาติ แต่เป็นนักฟุตบอลไทยในทีม อย่างเช่น ศศลักษณ์ ไหประโคน นี่อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เขาอยากมาคุมทีมชาติไทยก็เป็นได้ เพราะ เขามองว่านักฟุตบอลไทยมีความสามารถ มีโอกาสเติบโต พัฒนาฝีเท้าต่อไปได้
ช่วยกันโหวตให้ถึงสมาคม อยากให้สมาคมติดต่อทาบทามใครมาคุมทีม หากราเยวัชไม่ได้ไปต่อ
ยกตัวอย่างเช่น ทีมชาติญี่ปุ่นหลังจบฟุตบอลโลกปี 2018 ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบฟอร์เมชั่นของทีมชาติจาก 4-2-3-1 เป็น 3-4-2-1 เป็นการเปลี่ยนระบบการเล่นเพื่อเตรียมความพร้อมระยะยาว สำหรับฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า เขาก็ไปเก็บข้อมูลมาว่ามีโค้ชคนใดในโลกที่มีฝีมือและเก่งระบบนี้บ้าง ก็มีอยู่ 4 คน อาร์เซน เวงเกอร์ มิไฮโล เปโตรวิช เนลซินโญ่ บาปติสต้า และ ฮาจิเมะ โมริยาสึ ทำไมสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นจึงต้องเปลี่ยนจากระบบ 4-2-3-1 ที่ทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ใช้เป็น แพทเทิร์น มาอย่างยาวนานมาเลือกระบบ 3-4-2-1 เพราะฟุตบอลโลกที่รัสเซียนั่นเอง เบลเยี่ยม ใช้ระบบการเล่นนี้ในการเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งระบบนี้ 3-4-3 หรือ 4-3-3 เบลเยี่ยมใช้กับเยาวชนมาเป็น 20 ปี ผ่านแผน Golden Gen. นั่นเอง ประกอบกับฟุตบอลระบบ 3-4-2-1 นั้นสร้างความสำเร็จมากมายให้กับสโมสรที่ มิไฮโล เปโตรวิช เคยคุม ทั้งซานเฟรซ ที่ได้แชมป์เจลีก 3 สมัยติดๆกัน และอูราวะ เรดไดมอนส์ ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรเอเชีย หรือ AFC Champion league
ซึ่งเท่าที่ผมเห็น จุดอ่อนอย่างหนึ่งของแท็คติกราเยวัช ก็คือ เน้นเล่นฟุตบอลโยนไดเร็คมากเกินไป การเล่นเกมรับของเรารับต่ำจนเกินไป และเป็นการเล่นเกมรับแบบไม่เพรสซิ่งแบบทีมใหญ่ๆในไทยลีกทำ เช่น บุรีรัมย์ หรือ แบงค็อก ยูไนเต็ด ธรรมชาติของทีมใหญ่ไทยลีกซึ่งมีนักฟุตบอลติดทีมชาติเป็นส่วนใหญ่จะเล่นเกมรับแบบเพรสซิ่ง และกองหลังไม่รับต่ำ อันเป็นการฝืนธรรมชาติความเคยชินของนักฟุตบอล รวมถึงความหลากหลายในการเล่นเกมรุกของราเยวัชค่อนข้างน้อย
ซึ่งปรัชญาการทำทีมของราเยวัชนั้นแตกต่างจาก คอนเส็ปของ Thailand Way’s ตามแผนพัฒนาฟุตบอลไทย 20 ปี โดย สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2560 - 2579
แผนสร้าง Thailand way's ระยะยาวของสมาคม บอกไว้ว่า เน้นการครองบอล สร้างเกมจากแดนตนเองแบบเท้าสู้เท้า ไล่กดดันเพรสซิ่งคู่ต่อสู้อย่างพร้อมเพรียงในแดนกลาง และไล่กดดันในเกมรับจากแดนหน้า
ผมจึงได้ลองเก็บข้อมูลรวบรวมรายชื่อโค้ชเป็นตัวอย่างให้กับสมาคม ว่าหากราเยวัชไม่ได้ไปต่อ เราจะทำการคัดเลือกมาเฉพาะโค้ชที่เก่งในแท็คติกการเล่นเกมรับแบบเพรสซิ่ง และมีความหลากหลายทางเกมรุกที่ค่อนข้างดี ตาม คอนเส็ปของ Thailand Way’s อย่างไร
ผมแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ครับ
โค้ชที่มีชื่อระดับกลางๆในระดับยุโรป
โค้ชที่ประสบความสำเร็จในระดับเอเชีย
โค้ชที่ประสบความสำเร็จในระดับไทยลีก
โค้ชที่มีชื่อระดับกลางๆในระดับยุโรป
สถานะ คุมสโมสรปั๋กกิ่ง กัวอั๋น
แนะนำ
ชมิดท์ เป็นหนึ่งในโค้ชที่ผมเคยแนะนำไปยังสมาคมฟุตบอล ตั้งแต่ก่อนวันที่สมาคมจะประกาศรับสมัครโค้ชคนใหม่ของทีมชาติไทย ตามกระทู้นี้ที่ผมเคยตั้งขึ้น ตัวเลือกที่น่าสนใจ กับ2 ยอดโค้ชฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่ บุนเดสลีกาลีกที่ยังว่างงาน ก่อนที่ชมิดท์ จะตัดสินใจมาทำงานในลีกจีน ในภายหลังนั่นเอง
วีดีโอ การเพรสซิ่งดุดันในแบบของชมิดท์
ชมิดท์ เป็นคนใจกล้า ไม่กลัวใคร เชื่อมั่นในตัวเองและลูกทีมสูง แม้แต่การเจอกับทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ในยุคที่เลเวอกูเซนดุดันสุดๆ เขาเลือกที่จะใช้ระบบ 4-2-4 เป็นระบบหลัก เพื่อให้เอื้อต่อการเพลสซิ่งหนักของเขา
ความผูกพันธ์กับฟุตบอลไทย
สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กำลังจะได้เผชิญหน้ากับฟุตบอลเพรสซิ่งของชมิดท์ ในปีหน้า ฟุตบอล เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2019 กลุ่ม G
สถิติการคุมทีม
เรดบูล ซัลบวร์ก 99 นัด ชนะ 68 เสมอ 18 แพ้ 13 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 68.69%
ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน 128 นัด ชนะ 62 เสมอ 29 แพ้ 37 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 48.44%
ปักกิ่ง กั๋วอัน 52 นัด ชนะ 26 เสมอ 12 แพ้ 14 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 50.00%
ผลงานทีมที่คุม
Austrian Bundesliga
แชมป์ลีกสูงสุดออสเตรีย 1 ครั้ง
2013-2014
Austrian
แชมป์ฟุตบอลถ้วยออสเตรีย 1 ครั้ง
2013-2014
สถานะ พึ่งว่างงานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา
แนะนำ
เบริซโซ่ สร้างชื่อที่น่าจดจำไว้กับสโมสร เซลต้า บีโก้ เป็นโค้ชที่แพรวพราวเรื่องการเพรสซิ่งเป็นอย่างมากในวงการฟุตบอล ลาลีก้า ของสเปน เขาเสริมความแกร่ง และดุดัน ให้กับเซลต้า บีโก้ ยกระดับเกมการเพรสซิ่งจนเป็นอาวุธสำคัญหลักของทีม ภายนอกสนามเขาเป็นโค้ชที่วินัยสูงมาก การซ้อมหนักและเข้มข้นคือสิ่งที่นักฟุตบอลจะต้องเผชิญ การเพรสซิ่งของเบริซโซ่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจังหวะการเล่นของคู่แข่ง หากแต่เป็นเพียงการ "วางกับดักเพรสซิ่ง" "Pressing Trap" เพื่อดักและแย่งบอลในพื้นที่ที่ทีมต้องการ
ผลงานอันน่าจดจำล้มทีมใหญ่
2014 ชนะ แอตเลติโก มาดริด ลาลีก้า 2-0 ชนะ บาเซโลน่า 1-0 ลาลีก้า
2015 ชนะ บาเซโลน่า 4-1 ลาลีก้า
2016 ชนะ บาเซโลน่า 4-3 ลาลีก้า ชนะ เรียล มาดริด 4-3 โคปาร์เดลเล
วีดีโอ ระบบเพรสซิ่ง เซลต้า บีโก้ ภายใต้การคุมทีมของ เอดูอาร์โด เบริซโซ่
สถิติการคุมทีม
O'Higgins 123 นัด ชนะ 64 เสมอ 28 แพ้ 31 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 52.03%
เซลต้า บีโก้ 128 นัด ชนะ 61 เสมอ 36 แพ้ 51 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 41.22%
เซบีย่า 23 เกม ชนะ 12 เสมอ 5 แพ้ 6 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 52.17%
ผลงานทีมที่คุม
Primera División de Chile
แชมป์ลีกสูงสุดชิลี 1 ครั้ง
2013
Supercopa de Chile
แชมป์ฟุตบอลถ้วยชิลี 1 ครั้ง
2014
UEFA EuropaLeague
รอบรองชนะเลิศยูโรป้าลีก 1 ครั้ง
2016 แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2
รอบแปดทีมยูโรป้าลีก 1 ครั้ง
2015
สถานะ พึ่งว่างงานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
แนะนำ
กุนซือผู้ถ่อมตน ยอคก้า หากคุณเป็นแฟนบอลไทยลีก ที่ติดตามไทยลีกมาตั้งแต่ช่วงลีกบูม ไม่มีใครไม่รู้จักเขาแน่นอน "ย็อคก้า" ในยุคที่เมืองทองเป็นทีมไร้พ่ายนั้นยอคก้า ทำเมืองทองเล่นได้ตื่นตาตื่นใจกับความหลากหลายในเกมรุกที่ดีเยี่ยม เน้นต่อบอลสร้างสรรค์เกมรุกบนพื้น เขาถีบตัวขึ้นไปเป็นกุนซือใหญ่ครั้งแรกให้กับ ปาร์ติซาน เบลเกรด อดีตทีมของเขาสมัยเป็นนักเตะ ซึ่งเจ้าตัวพาทีมคว้าแชมป์ได้ทั้งในฟุตบอลลีก และฟุตบอลถ้วยก้าวแรกในฐานะกุนซือใหญ่ของเขาประสบความสำเร็จเกินคาดฝัน ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน จากนั้นเขาถูกย่กย่องให้เป็นโค้ชสัญชาติเซอร์เบียที่เก่งที่สุดในยุคนั้น (2008-10) และได้รับเชิญให้รับรางวัลกุนซือยอดเยี่ยมแห่งปี หากเป็นกุนซือคนอื่นคงยินดีปิติเป็นอย่างยิ่ง แต่นั่นไม่ใช่กับผู้เสพติดความเพอร์เฟ็คอย่างเขา เพราะเจ้าตัวปฎิเสธรางวัลดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว...
วีดีโอ เบื้องหลังความสำเร็จของย็อคก้ากับการทำทีมรองบ่อนในอังกฤษ
เขาเป็นกุนซือที่กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยง เดินทางมาประเทศไทยเพื่อคุมทีมเมืองทอง โดยมีเวลาแค่ 3 สัปดาห์ก่อนไทยลีกจะเริ่ม เขาคือคนแปลกหน้าไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนามในฐานะโค้ชมาก่อน แต่ก็สร้างสิ่งดีๆมากมายกับสโมสรแห่งนี้ ทั้งการคว้าแชมป์ไทยลีก แบบไร้พ่ายในปี 2012 ปรับบทบาทธีรศิลป์ แดงดา ให้กลายเป็นศูนย์หน้าหมายเลข1ทีมชาติไทย นอกจากนี้เขายังเป็นคนปักหมุดหมายให้เพื่อนร่วมชาติชาวเซิร์บ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากินยังประเทศไทยในเวลาต่อมา
หลังออกจากแดนสยาม ย็อคก้า ผจญภัยในลีกต่างแดนทั้งบัลแกเรีย, สเปน ในฐานะกุนซืออาชีพ แค่คงไม่มีความเสี่ยงครั้งไหน ที่ดีไปกว่าการตกลงรับงานคุมวัตฟอร์ด ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังระส่ำนักเตะไม่เชื่อใจโค้ชคนเก่า แต่ชายหนุ่มร่างยักษ์รายนี้กลับสร้างให้แตนอาละวาด เป็นทีมที่น่าเกรงขามในเดอะแชมเปี้ยนชิพ เมื่อฤดูกาล 2014-15
โปรไฟล์ดังกล่าวจนกลายเป็นใบเบิกทางในชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลของเขาในเวลาต่อมา
“ย็อคก้า” มีความทะเยอทะยานและขวนขวายหาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ประสบความสำเร็จในการทำปาร์ติซาน เบลเกรด จนได้แชมป์ลีกและบอลถ้วย ในปี 2008 แต่เขากลับลาออกจากทีมในปีถัดมา เขาว่างเว้นงานคุมทีมไปราวๆ 3 ปีเศษ แต่ก็ใช้เวลาดังกล่าวไปกับการเข้าคอร์สสัมมนาอบรมโค้ชทั่วทุกมุมโลก เพื่อหาวัตถุดิบใหม่ สร้างแนวคิดการทำฟุตบอลให้พอกพูนมากยิ่งขึ้น ก่อนจะมาแสว่งหาความท้าท้ายใหม่ยังประเทศไทย คุมเมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อปี 2012 จากนั้นก็ย้ายไปทำทีมในลีกบัลแกเรีย, ลีกระดับล่างของสเปน จนกระทั่งมาหาจุดลงตัวในการเป็นโค้ชฟุตบอลอาชีพในแดนผู้ดีกับวัตฟอร์ด และ ฟูแล่ม
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาในข้างต้น คือสิ่งที่ชายชื่อ สลาวิซ่า โยคาโนวิช สามารถแปรสภาพจากโค้ชไทยลีกสู่กุนซือแถวหน้าจนได้รับการจับตามองของวงการลูกหนังยุโรป ภายในระยะเวลา 6 ปี หลังจากออกจากประเทศไทย
ความผูกพันธ์กับฟุตบอลไทย
ช่วงเวลาที่ ย็อคก้า รับงานที่เมืองทองฯ เป็นช่วงเวลาเดียวกับกันที่สโมสรแห่งนี้เริ่มเสียความเป็นเบอร์ 1 ของประเทศให้กับผู้มาใหม่อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนต็เด และนั่นทำให้ กิเลนผยองฯ ยอมจ่ายค่าเหนื่อยให้กุนซือชาวเซิร์บถึง 7 หลัก (มากที่สุดในไทยลีก ณ ตอนนั้น) เพื่อสอยบุรีรัมย์ ลงจากคานให้ได้
สถิติการคุมทีม
วัตฟอต -36 นัด ชนะ 21 เสมอ 5 แพ้ 10 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 58.3%
มัคคาบี้ เทลอาวีฟ 32 นัด ชนะ 14 เสมอ 5 แพ้ 13 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 43.8%
ฟูแล่ม 23 เกม ชนะ 64 เสมอ 36 แพ้ 45 เกม คิดเป็นอัตราการชนะ 44.1%
ผลงานทีมที่คุม
เมืองทอง
Thaileague
แชมป์ลีกสูงสุดไทย 1 ครั้ง
2012
ปาติซาน เบรลเกรด
Serbian SuperLiga
แชมป์ลีกสูงสุดเซอเบียร์ 2 ครั้ง
2007–08, 2008–09
Serbian Cup
แชมป์บอลถ้วยเซอเบียร์ 2 ครั้ง
2007–08, 2008–09
วัตฟอต
รองแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพอังกฤษ 1 ครั้ง
2014–15
สถานะ พึ่งว่างงาน ยังไม่มีสโมสรหรือทีมชาติคุม
แนะนำ
เราอาจจะได้เห็นฟุตบอลสไตล์เวียดนามที่ดูดุดันในเรื่องของการเพรสซิ่งบีบพื้นที่เพื่อเล่นเกมรับและมีการโต้กลับเร็วที่อันตรายขึ้นจากการมาของโค้ชชาวเกาหลีใต้อย่างปาร์คฮังโซ แต่ชเวนี่เก่งยิ่งกว่าปาร์คฮังซอในเรื่องของเกมรุก เขาคือปรมาจารย์สุดยอดโค้ชประสบความสำเร็จอย่างมากในฟุตบอลระดับเอเชีย กับสไตล์การเล่นของสโมสรช็อนบุกฮุนไดมอเตอส์ ที่มีความหลากหลายทางเกมรุกสูงแทบจะที่สุดในฟุตบอลลีกเกาหลีใต้และทวีปเอเชีย ผสมผสานกับการเพรสซิ่งกลางสนามที่ดุดัน และการเล่นเกมรับแบบเพรสซิ่งที่เป็นจุดเด่น ที่สำคัญคือรู้จุดอ่อนจุดแข็งของนักเตะไทยพอสมควรเพราะเคยเจอกับสโมสรไทย ทั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด
ส่วนเรื่องประสบการณ์กับทีมชาติไม่ต้องห่วง ชเวเคยผ่านทีมชาติเกาหลีใต้ชุดใหญ่มาแล้ว
ความผูกพันธ์กับฟุตบอลไทย
ชเว เคยสัมภาษไปในทางให้การยอมรับฝีเท้านักฟุตบอลไทยว่ามีศักยภาพที่ดี ในเกมมาเยือนที่สนามบุรีรัมย์ เขาบอกว่า สิ่งที่น่ากลัวของทีมบุรีรัมย์ทีมนี้ไม่ใช่นักฟุตบอลต่างชาติ แต่เป็นนักฟุตบอลไทยในทีม อย่างเช่น ศศลักษณ์ ไหประโคน นี่อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เขาอยากมาคุมทีมชาติไทยก็เป็นได้ เพราะ เขามองว่านักฟุตบอลไทยมีความสามารถ มีโอกาสเติบโต พัฒนาฝีเท้าต่อไปได้