🌼👨🏾👩🏿👦 ป่วยไข้ - ห่วงใย - สูญเสีย 👦👩🏿👨🏾🌼

🌼👨🏾👩🏿👦 ป่วยไข้ - ห่วงใย - สูญเสีย 👦👩🏿👨🏾🌼








[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้





        บรรยากาศยามเช้าขมุกขมัวแต่ไม่มีลม  ควันธูปหน้าพระรูปพระราชบิดาบริเวณตึก ๗๒ ปี โรงพยาบาลศิริราช ลอยล่องขึ้นสู่เบื้องบนช้าๆ  

        นักศึกษาแพทย์กลุ่มใหญ่ กำลังเดินออกจากลิฟต์ชั้นที่ ๑ ของตึกสยามินทร์  พวกเขาเดินตามอาจารย์หมอ เพื่อไปช่วยตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก  ทุกคนมีทีท่าสงบเสงี่ยม  อนาคตสุขภาพของชาวไทย ฝากไว้กับหัวกะทิเหล่านี้  แพทย์ในชุดฟอร์มเดินกันอย่างรีบเร่ง  แลดูจะรู้สึกถึงความเอาใจใส่คนไข้  ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา

        เสียงคนไข้คุยกันเบาๆ  ส่วนใหญ่คงพูดกันเรื่องสุขภาพ  นางบังอรวัยห้าสิบปี กำลังนั่งรอตรวจที่ห้อง ๑๐๑ ภาควิชาศัลยศาสตร์  สัปดาห์ก่อนเธอเป็นพยาบาล แต่วันนี้เป็นคนไข้ไปแล้ว
  
        ถึงเธอจะเจ็บป่วย แต่ก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า  มันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงสุขภาพจิตที่ดี  สีหน้าของเธอ ไม่ได้แสดงความวิตกอย่างที่ควรจะเป็น  ทั้งที่กำลังป่วยหนัก และมารอฟังผลการตรวจ ซึ่งอาจจะเป็นข่าวร้าย
  
        สายตาของเธอกลับมองคนไข้รายอื่น ที่มารับบริการด้วยความเห็นใจ  เพราะต่างมีชะตากรรมเดียวกัน  คนทุกข์ มักจะเข้าใจคนทุกข์ด้วยกันได้ดีเป็นพิเศษ

        “คุณบังอรเชิญพบแพทย์ค่ะ” พยาบาลหน้าห้องเรียกหา

        เธอรีบลุกขึ้นยืน แต่ตัวเซไปข้างหลังเล็กน้อย  ลุงปันพี่ชายวัยหกสิบสี่ปี ที่นั่งเป็นเพื่อนข้างๆรีบประคองไว้ทัน

        หน้าตาของลุงปันดูไม่ได้เอาเสียเลย  ใบหน้ายับย่นด้วยริ้วรอยชรานั้นส่อแวววิตก  ผมสีดอกเลาตกลงมาปรกหน้า  ดวงตาหมองหม่น เหมือนสูญเสียคนรักไปหมาดๆโดยไม่ได้ล่ำลา

        แกประคองบังอรเดินเข้าห้องตรวจ  แต่ดูท่าทางเหมือนกับว่า แกกำลังจะก้าวขึ้นสู่ตะแลงแกง  น้ำหูน้ำตาเริ่มจะไหลออกมา

        “ไม่เอาน่าพี่ปัน  หนูยังไม่ได้เป็นอะไรมากเลย  พี่ปันทำยังกะว่า หนูเสียไปแล้วยังงั้นแหละ  เดี๋ยวหนูก็ใจเสียไปด้วยเลยนี่  พี่ปันทำใจดีๆไว้ก่อนค่ะ” บังอรปลอบลุงปัน ที่ดูเหมือนป่วยหนักกว่าเธอไปเสียแล้ว

        “ก็ข้าห่วงเอ็งนี่หว่า  มีน้องอยู่คนเดียว  ถ้าไม่ห่วงเอ็งกะลูก จะให้ข้าไปห่วงใครที่ไหนกันวะ” ลุงปันมองค้อนบังอร ที่เป็นญาติไม่กี่คนในชีวิตของแก  แล้วเอาหลังมือปาดน้ำตา  สองพี่น้องถ้อยทีถ้อยอาศัย ประคองกันเดินเข้าห้องตรวจโรคไป

        “โรคที่เป็นนี่  เรายังไม่รู้ว่าเป็นอะไรนะครับ  ก้อนที่ปอดขนาดนี้เป็นได้หลายอย่าง  ตั้งแต่วัณโรค เชื้อรา ไปจนถึงเนื้องอกเลย” หมอธีระอธิบายให้บังอรกับลุงปันฟัง

        ท่าทางน่านับถือของอาจารย์หมอ ทำให้ลุงปันยืนตัวลีบด้วยความเกรงใจ  แม้ว่าแอร์จะเย็นเฉียบ เมื่อหมอธีระบอกทั้งคู่ว่า จำเป็นต้องผ่าตัดโดยด่วน  ลุงปันถึงกับเหงื่อแตก  ผิดกับบังอรที่รับฟังโดยสงบ  เธอทำใจไว้ก่อนแล้ว ตั้งแต่ทราบผลจากหมอสันต์ ที่เป็นหมอประจำตัว  หมอสันต์ส่งเธอมาพบอาจารย์หมอธีระ แพทย์รุ่นพี่  เพื่อพิจารณาผ่าตัดเอาก้อนที่พบในปอดออก

        ในที่สุดเธอถามหมอธีระต่อ
        “อาจารย์คะ  หากทราบผลว่าเป็นมะเร็ง หนูจะต้องทำอะไรต่อคะ” เธอถามถึงคำตอบที่แย่ที่สุด

        “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  ส่วนใหญ่มักเป็นชนิดที่ไม่รุนแรงมาก  การทำนายโรคของคุณ คาดว่าน่าจะค่อนข้างดีครับ  ถ้าเป็นอย่างที่ว่า เราจะใช้ยาเคมีบำบัดรักษาต่อ หรือฉายแสงรังสีรักษา  ในเวลาห้าปีผู้ป่วยน่าจะมีชีวิตรอด ราวร้อยละห้าสิบกว่าๆถึงร้อยละเจ็ดสิบครับ” หมอธีระอธิบายเป็นตัวเลขทางสถิติให้ฟัง

        ลุงปันได้ฟังถึงกับหน้าซีดเผือด ใจเต้นไม่เป็นส่ำ  แกทำท่าจะเป็นลม จนพยาบาลต้องเข้ามาถามอาการ

        “อาจารย์จะผ่าตัดให้หนูเมื่อไหร่ดีคะ” บัวอรเข้มแข็งพอที่จะถามต่อ

        “คงจะเป็นอาทิตย์หน้านี้เลย  คุณบังอรพร้อมไหมครับ  หมอคิดว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” หมอธีระตอบ พร้อมกับมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมการุณย์

        การที่บังอรไม่ได้ตื่นเต้นไปกับข่าวสารที่รับรู้ เป็นสิ่งที่ดี  เธอจึงสามารถตัดสินใจได้ทันทีว่า  ยินดีทำการผ่าตัดโดยไม่ลังเล  เพราะหากว่าเป็นก้อนมะเร็ง  การผ่าตัดที่ล่าช้าเกินไป อาจไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอเลย

        หมอธีระมองลุงปันด้วยความรู้สึกเห็นใจ  ที่พอทราบว่าน้องสาวจะถูกผ่าตัด  ก็เกิดมีอาการหนักกว่าคนไข้เสียอีก  หน้าตาท่าทางของแกดูเหมือนกับ ดาราตลกอาวุโสผู้ล่วงลับท่านหนึ่งในอารมณ์เศร้า และกำลังจะร้องไห้  หมอธีระจึงกล่าวปลอบใจลุงปันว่า โอกาสที่จะเป็นโรคร้ายเช่นมะเร็งมีไม่มากนัก

        แต่ลุงปันหูอื้อตามัวไปหมดแล้ว  พอแกได้ยินคำว่ามะเร็งเท่านั้นเอง น้ำหูน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอย่างน่าสงสาร  เสียงครางฮือๆ ทำให้บังอรต้องเอามือลูบหลังแก  แล้วเตือนให้สงบสติอารมณ์ลงบ้าง

        สองพี่น้องเดินออกจากห้องตรวจ ด้วยอารมณ์แตกต่างกัน  ลุงปันสะอึกสะอื้น ด้วยความเสียใจที่น้องสาวจะต้องถูกผ่าตัด  แต่บังอรกลับดีใจ ที่อาจารย์หมอนัดผ่าตัดให้อย่างเร่งด่วน  เธอมีความหวังว่าจะหายจากโรค  หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีชีวิตอยู่ได้ นานพอเลี้ยงสมคิดลูกชายวัยสิบสี่จนจบมหาวิทยาลัย  เรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่อารมณ์ไปกันคนละเรื่องเลย  ในขณะนี้ถ้าดูเผินๆจะเหมือนกับว่า  บังอรพาลุงปันซึ่งกำลังป่วยหนักมาตรวจโรค


..

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่