ตอนนี้อยู่ ม.6 ค่ะ ปกติเป็นคนย้ายโรงเรียนบ่อยๆตามพ่อ พ่อเป็นตำรวจ
เทอมแรกเรียนที่โรงเรียนรัฐบาล สักพักไม่ไปโรงเรียนติดกันบ่อยๆ 3-4 วัน จนอาทิตน์นึง
และตัดสินใจไม่ไปต่อ แต่ยังอยากเรียนจบ พ่อกับแม่ก็เลยจำใจต้องส่งไปเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ
เดือนแรกที่ไปอยู่เป็นเด็กหอด้วยเพราะจะได้ดูแลตัวเองและปรับปรุงนิสัย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ห่างจากพ่อแม่และดูแลตัวเอง สักพักอยู่ไม่ไหวรำคาญ รู้สึกต้องการความไพรเวท
เข้าเดือนที่ 2 เลยบอกแม่ไปว่า "อยากจะอ่านหนังสือ ไม่มีสมาธิ เด็กในหอเสียงดัง"
แม่ก็เลยโอเค เพราะเหตุผลฟังขึ้น เลยหาหอนอกให้อยู่ ก็อยู่ตัวคนเดียวยิ่งแย่กว่าเดิม เริ่มเหมือนตอนอยู่โรงเรียนรัฐ
คือมีหยุดบ้าง ไม่ค่อยได้ไป หรือไปสาย เวลาไม่ไปเรียนจะปิดโทรศัพท์ไว้ไม่ให้ใครติดต่อได้แล้วเล่นโน๊คบุ๊คเอา
ครูก็เลยโทรไปหาแม่อยู่บ่อยๆจนสนิทจะด่าแม่ได้อยู่แล้ว แม่เลยรู้ต้องมาอยู่ที่หอเป็นเพื่อนเพื่อส่งเราไปโรงเรียนทุกเช้า
แต่มาหนักสุดตอนสอบปลายภาค แม่ไม่อยู่พอดีไปธุระที่ต่างจังหวัด เราไม่ได้ไปสอบเพราะรู้สึกว่าอ่านหนังสือไม่ทัน
ไม่อยากไปสอบ และโทรไปบอกแม่ว่า "ขอครูสอบวันอื่นนะ ให้แม่โทรไปโกหกว่าไม่สบายอยู่โรงพยาบาล"
แม่บอก "แม่ไม่ยอม แม่ไม่อยากโกหกใคร แม่ไม่ชอบ ทำได้ไม่ได้ก็ไปเถอะ" แต่เราก็ประชดไปว่า "ถ้าไม่ขอให้งั้นไม่ไปสอบนะ"
พ่อก็ได้ยินเพราะว่านอนข้างแม่ แต่พ่อกับแม่คิดว่า 'คงไปแหละ' แล้วครูโทรมาบอกว่าไม่ไปสอบตกใจมากไม่คิดว่าจะไม่ไปจริง
แม่รีบมาอยู่ด้วยเพื่อส่งเราไปสอบ ถึงวันสอบรู้สึกว่าไม่อยากไป ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากเจอคำถามหรือสายตาจากเพื่อนและครู
แม่เลยบอกว่า "งั้นจะไปเป็นเพื่อน" เลยโอเค เวลาสอบจะมีเวลาพักเราจะลงไปหาแม่ที่นั่งไม่ให้ครูเห็นอยู่โรงอาหารหรือสหกรณ์
ก็สอบผ่านไปได้ด้วยดี และปกติไม่ใช่คนถึงขั้นเรียนเก่ง แต่เรียนใช้ได้และโอเค อาจจะด้วยเรียนรัฐมาก่อนเลยเก่งกว่าคนอื่นนิดนึง
ส่วนวันที่ไม่ได้สอบก็ไปสอบเวลานอกวันหยุดที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ หลังจากนั้นก็ปิดเทอมเล็ก
พอเปิดเทอม 2 ไปเรียนได้แค่ 2 วันเองก็หยุดแล้ว แล้วก็ไปเรียนบ้าง หยุดบ้าง จนบ่อยๆเข้า ก็ไม่ไปยาว
ตอนที่แม่มาอยู่ด้วยแม่ก็ลากไปเรียนไม่สำเร็จ และตัดสินใจบอกเรา "กลับบ้านไปหาพ่อเถอะถ้าอยู่ไปก็ไม่มีความหมาย"
ประมาณเข้าเดือนธันวาคมเราขอแม่อยู่ต่อก่อนเพราะไม่อยากกลับไปอยู่ที่เดิมและเผื่ออาจจะไปโรงเรียน อ้อนวอนขอจนแม่ยอม
เอาเข้าจริงๆก็ไม่กล้าไปโรงเรียน แม่เลยให้พ่อมารับเพราะของในหอเยอะ แล้วพ่อก็มารับกลับบ้าน
วันทั้งวันเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากหมกตัวอยู่แต่ในห้องกับโน๊ตบุ๊คและโทรศัพท์เล่นทวิตดู kpop ดูนักร้องฟังเพลงดูตลก
เล่นจนดึกดื่นจนโต้รุ่งทุกวันๆจนกลายเป็นว่านอนตอนเช้าเล่นกลางคืนอยู่ทุกวัน ไม่อาบน้ำด้วย นานๆทีจะอาบ
แต่กินอยู่ตลอดเพราะบอกแม่ไว้ว่า "ให้ซื้อของมาตุนไว้ให้ ตอนเช้าไม่ค่อยได้เจอหรอกเพราะตื่นกลางคืน
หิวกลางคืน ช่วงนี้ปวดท้องบ่อยๆ เพราะตื่นกลางคืนมาแล้วไม่มีอะไรให้กินไม่ได้กินอะไรเลย" แม่เลยต้องจำใจหาอาหารไว้ให้
อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ค่อยได้เจอได้คุยกับพ่อแม่เพราะจะชอบอยู่ในห้องชอบความมืดชอบกลางคืนชอบความสงบและฟังเพลง
พ่อแม่ชินเพราะเราเป็นเด็กแบบนี้มาตั้งแต่แรกคือไม่ค่อยคุยหรือสุงสิงกับใครชอบอยู่ตัวคนเดียว
จะยุ่งก็ต่อเมื่อมาเรียกให้ไปกินข้าวและอาบน้ำ
แต่ครูที่เหมือนจะเป็นรองผอ.อะไรประมาณนี้ ใหญ่รองมาจากผอ. ครูเค้าโทรมาหาแม่เลยรู้เรื่องทุกอย่างและมาตามให้เรากลับไปเรียน
ทางโรงเรียนจะช่วยให้เราเรียนจบ เพราะเค้าอยากให้เด็กเรียนจบและไม่คิดว่าเราจะตัดสินใจแบบนี้ ให้โอกาสเราถึงหลังปีใหม่เท่านั้น
เข้าปี 2019 วันที่ 1 ก็ไปดูหนังกับแม่ ตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนต่อรับปีใหม่ก็เลยบอกแม่ไป เพราะยังอยากเรียนต่อมหาลัย
จริงๆเราอยากเรียนแต่แค่ไม่อยากไปเจอใคร ไม่มีความกล้ามากพอ แต่ก็ตัดสินใจช่างมันเถอะ
โรงเรียนจะเปิดวันที่ 2 แต่ให้แม่โทรไปบอกว่าจะเข้าไปวันที่ 5 และเริ่มเรียนวันที่ 7
พอถึงวันที่ 5 วันที่ต้องกลับไปที่กรุงเทพจริงๆ เรารู้สึกว่าเราไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ก็เลยต้องอยู่ที่เดิม
เราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ยังอยากเรียนต่อ อยากเรียนจบ เพราะแม่บอกว่า
"ตอนนี้ไม่ห่วงหรอกนะเพราะยังมีพ่อกับแม่ แต่พ่อแม่เป็นห่วงว่าถ้าวันนึงไม่มีพ่อแม่แล้วเราจะอยู่ได้มั้ย
จะดูแลตัวเองยังไง จะหางานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองยังไง ในเมื่อมีวุฒิจบแค่ ม.3 แล้วจะอยู่ยังไง
ใครเค้าจะมาสนใจหรืออยากคบหากับคนการศึกษาน้อยนอกจากพวกเดียวกัน แล้วมันจะไปรอดได้ยังไง"
คำๆนี้ของแม่ยังอยู่ในใจเราเสมอ แต่เราไม่รู้จะกลับไปเรียนยังไง เราติดเล่น ติดโน๊คบุ๊ค ติดนักร้อง หรือติดบ้าน หรือเวรกรรมอะไรวะ
เราอยากเรียนจบอยากต่อมหาลัยแต่เราออกจากเซฟโซนตัวเองไม่ได้สักที
เราค้นพบว่าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยมีปัญหากับครูหรือเพื่อนในห้องเรียนถึงแม้จะย้ายบ่อย
แต่เราไม่ชอบเวลาที่เราไปอยู่เหมือนทุกคนสนิทกันแต่เรารู้สึกเหงาๆ ขำแห้ง
มีกลุ่มเป็นของตัวเอง เพื่อนดีกับเรามากมักจะพาเราไปไหนด้วยตลอด แต่เวลาคุยกันไม่รู้จะแทรกยังไง
เพราะเรื่องที่เขาคุยส่วนใหญ่ก็เป็นตลกๆพูดถึงเพื่อนคนนู้นนี่นั่น รุ่นพี่รุ่นน้องคนนั้น แต่เราเป็นเด็กใหม่ เราไม่รู้จักใครเลย
โชคดีหน่อยที่ครูโรงเรียนเอกชนเป็นคนใจดี แต่ยังไงเค้าก็คือผู้ใหญ่ เราไม่อยากกลับไปให้เขาสงสัยและตั้งคำถาม
หรือเข้ามาถามเราว่า 'ทำไมไม่มาเรียน' เรากลัวว่าจะเจอใครมองเราด้วยสายตาแปลกๆแม้แต่เพื่อนในห้อง
เราชอบอยู่คนเดียว ชอบเล่นโน๊ตบุ๊ค ไม่อยากไปไหน ไม่แม้กระทั่งจะไปอาบน้ำ จะลุกก็ต่อเมื่อปวดปัสสาวะอุจาระและไปหาไรกิน
เราไม่ค่อยได้คุยกับใคร แม้แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดียวกัน กับพี่ชายเราไม่คุยด้วยเลย ไม่สนใจกันอยู่แล้วทั้งพี่และน้อง
แม้แต่ในโลกโซเชี่ยลก็ไม่ได้คุยกับใครเลย ฟังเพลงอย่างเดียว และติ่งไปวันๆ ตามงานตามดูไลฟ์นักร้องออกงานไปวันๆ
มีความสุขเพราะติ่งนักร้อง มีนักร้องเหมือนเป็นโลกทั้งใบ เพราะที่เล่นส่วนใหญ่ กดไลค์รูป ดูสตอรี่ ดูเขาไลฟ์ ดูเขาออกงาน
และสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือก่อนจะกลับมาที่บ้านพ่อตอนอยู่หอที่แม่ลากเราไปสอบ
แม่บอกว่า "จริงๆแล้วตอนที่เราอยู่ประถมอะ พ่อกับแม่ไปดูดวงถามเรื่องเรียนของลูกทั้งสองคน แต่สิ่งที่หมอดูบอกคือ
'ลูกสาวคนเล็กจะเรียนไม่จบนะ เขาดื้อมาก' " แม่เล่าจบเราตกใจจนรีบพูดออกไปว่า "ทำไมพูดงั้นอะ"
แม่บอกตอนแรกก็คิดแบบนั้น เพราะตอนเด็กๆเราเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนดี เรียนเก่ง เก่งกว่าพี่ชาย
เพื่อนๆในห้องก็รักเพราะมักใส่ชื่อเราไปแข่งขันหรือรับรางวัลอะไรต่างๆทุกปี ครูที่โรงเรียนมีแต่คนเอ็นดู
คิดว่าคงไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ พ่อก็บอกแม่เป็นเชิงว่าไม่เชื่อเหมือนกันไปว่า "ถือซะว่าหมอดูก็ไม่ต่างจากหมอเดา"
ฟังแม่เล่าจบมานึกย้อนดูอีกทีจริงๆเราเกือบเรียนไม่จบตั้งแต่ ม.ต้น มีพฤติกรรมไม่อยากไปเรียน และขาดเรียนบ่อยตั้งแต่ตอนนั้น
และทุกๆเหตุการณ์จะผ่านไปได้ด้วยดีเสมอเพราะแม่ฉุดรั้งกระชากลากถูช่วยทุกอย่างจนเรียนจบจนคุณครูชื่นชมในตัวแม่
แม้แต่คนที่เรารู้จักผ่านโลกโซเชี่ยลที่เราไว้ใจคนนึงเขามีเซ้นด้านนี้ ไม่เคยเจอกันคุยกันแต่ในแชท
ตั้งแต่รู้จักกันเขาจะชอบบอกว่ารู้สึกว่าแม่เราเป็นคนดี เป็นห่วงแม่เราอะไรอย่างงี้ เขาบอกแค่ว่าถ้าเราไม่มีแม่คงแย่มากนะ
ทั้งๆที่เราไม่ได้เล่าปัญหาให้เขาฟังว่าเจออะไรอยู่ เพราะถึงจะคุยกับคนแปลกหน้าเรารู้ว่าอะไรควรคุยอะไรควรเปิดเผย
แต่บางครั้งเราจะเล่าเรื่องที่เราหัวร้อนหรือเอาแต่ใจหรือเรื่องที่เราไปเจอมาแล้วโกรธก็คือเราจะชอบระบายอารมณ์กับเขา
มีประโยคนึงจำได้ขึ้นใจ "ไม่รู้ว่ะ ไม่เข้าใจ kuเข้าไม่ถึงบาปmungหนาเกิน เขาคงกดmungให้ต่ำกว่าเดิมแล้วจริงๆ"
ตอนนั้นดึกมากอ่านจบแล้วเหมือนมันไปนอนเพราะมันเด็กกว่าเราแม่บังคับให้นอนก่อน 4 ทุ่ม แต่เรายังคงตกใจกับประโยคที่มันส่งมา
เราจะไม่ค่อยเปิดเผยอะไรกับมันมาก แต่มันคงเพราะเป็นเด็กเลยเปิดเผยกับเราทุกเรื่องส่งรูปตัวเองมางี้
จนเราต้องบอกไม่ต้องส่งมาและห้ามไปส่งแบบนี้ให้ใคร ก็มีเตือนๆน้องมันไปบ้าง
และก็พอรู้ดีพอสมควรว่าน้องมันเป็นคนมีเซ้นสัมผัสอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ
(เขาที่ว่าเนี่ยเป็นผู้หญิงนะคะ เราไม่ได้คุยกับผู้ชายและก็ไม่ได้คุยกันบ่อยค่ะ นอกจากน้องมันจะทักมาเพราะคิดถึงพี่ก็คือเรา)
และน้องมันจะแปลกอยู่อย่างหนึ่งเวลาที่ทักมา คือเวลาคุยกันเราไม่ค่อยได้เล่าเรื่องส่วนตัวหรือคุยอะไรส่วนตัว
นอกจากต่างคนต่างเล่าว่าวันนี้ไปเจออะไรมา ส่วนใหญ่น้องมันก็มาปรึกษาความรัก
บางวันก็มาแบบว่าเรื่องหลอนๆมันไปเจออะไรแปลกๆมา หรือบางทีแค่คิดถึงเราเฉยๆแบบพี่น้องเพราะไม่ได้คุยกันบ่อยจริงๆ
เพราะแต่ก่อนตอนที่เราอยู่ ม.4-5 ตอนนั้นนิสัยเราดีกว่านี้นิดนึง ตอนนั้นคุยกันบ่อยคุยกันทุกวัน แต่ช่วงนี้เราเก็บตัวมากกว่าเดิม
แต่ตั้งแต่วันแรกที่คุยกันจนวันนี้ไม่เคยเล่าเรื่องแม่หรือเรื่องส่วนตัวเช่นเรื่องที่ไม่ได้ไปเรียนและจะเรียนไม่จบอยู่แล้ว แม่ช่วยอะไรไม่ได้
ทั้งๆที่เราไม่เคยเล่าอะไรเกียวกับแม่ แต่ก็มีบ้างนิดหน่อยที่เล่าไปว่าวันนี้ทะเลาะกับแม่เรื่องซื้อของอะไรทำนองนั้น
จู่ๆเวลาที่คุยกันไปสักพักมันจะชอบถามถึงแม่เรา อินี่ก็งง อะไรของมันวะ รู้สึกแปลกๆ เพราะงงมากจริงๆแต่ก็ไม่เคยถามมันอะ
มันจะชอบส่งมาเป็นเชิงเป็นห่วงแม่เรา "อยากให้เราทำตัวดีๆกับแม่ เลิกดื้อ เลิกใจร้อน เลิกใช้แต่อารมณ์ ห้ามทำแม่ร้องไห้"
เราสงสัยมากรู้สึกเหมือนมันรู้อะไร รู้สึกเหมือนช่วงนี้มันสัมผัสได้ว่าแม่เรารู้สึกแย่แค่ไหนเพราะเราไม่ไปเรียน
จนวันนึงเราก็ทักมันไป ปกติมันจะทักมา ทำเป็นถามมันว่า "ดูดวงให้หน่อยดิ้ ช่วงนี้แย่มากจริงๆ"
มันก็ด่าว่า "มันก็คนธรรมดามั้ย แต่แค่รู้สึกว่าทุกวันนี้mungโชคดีที่มีแม่คอยช่วย" แล้วมันก็ให้เราไปดูดวงไพ่ยิปซีในเว็บนึง
ไอ้เราตอนแรกก็ว่าไร้สาระ แต่มันส่งมาให้ลองดูอยู่นั่นแหละ บอกว่าถึงจะเป็นในกูเกิ้ลแต่ตรงมาก เลยกดเข้าก็ได้วะ
แล้วก็ไม่ได้อ่านนะก็แคปรูปส่งให้มันดูให้มันอ่านไปแทนแล้วกัน เพราะรำคาญอะ รู้สึกทำไมต้องมาทำอะไรที่มันงมงาย
จำได้ว่าไปเข้าห้องน้ำออกมาอ่านที่มันส่งมาอีกทีมันบอกว่าของเราตรงมาก ตรงเกือบหมดทุกไพ่ที่เราสุ่ม
เราก็เลยลองอ่านดู ก็รู้สึกว่าตรงหมดนะ เลยเชื่อเรื้องนี้ขึ้นมานิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จริงๆพ่อแม่ไม่ได้ตามใจขนาดนั้นนะคะ แต่เล่ามาพยายามไม่ให้ยาวเกิน
เค้าก็เหมือนพ่อแม่ทั่วไปมีด่ามีว่าทุกเหตุการณ์ที่ทำผิด
มีร้องไห้เสียใจอยู่บ่อยครั้งที่เราไม่ไปเรียนต่อ
จนเราต้องขอร้องแม่ว่าให้หยุดร้องเพราะถึงจะหัวสมัยใหม่
แต่จำที่ครูแนะแนวเคยสอนได้เสมอว่า "อย่าทำพ่อแม่ร้องไห้ จะบาปหนา จะไม่มีวันเจริญ
และถ้าวันไหนโตขึ้นเป็นพ่อแม่คนเสียใจแค่ไหน ขอให้อดทนไว้
อย่าสาปแช่งลูกเพราะวาจาพ่อแม่ศักษ์สิทธิ์ และอย่าร้องไห้เพราะลูกจะเจริญยาก"
จนหลังๆเราก็เริ่มเห็นแม่อดทนเก่งขึ้น ไม่ร้องไห้แล้ว ไม่ค่อยด่าแบบสาปแช่ง เพราะปกติเวลาแม่โกรธจะด่าแนวนี้
แม่ทำเพื่อเราทุกอย่าง เราก็รู้ตัวว่าคงเจริญยากแหละ แต่จะกลับไปเรียนยังไงดี คือเราไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เวรกรรม ดวงคนจะเรียนไม่จบ ติดโน๊คบุ๊ค ติดโทรศัพท์ ติดเล่น ติดนักร้อง ติดเป็นติ่ง
ติดบ้าน ติดเซฟโซน ติดนิสัยชอบอยู่คนเดียว ติดนิสัยโลกส่วนตัวสูง ช่วยวิเคราะห์หน่อยนะคะ
ไม่ไปเรียน 2 เดือน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ช่วยวิเคราะห์หน่อยว่าเป็นโรคอะไรรึเปล่า ขอร้อง
เทอมแรกเรียนที่โรงเรียนรัฐบาล สักพักไม่ไปโรงเรียนติดกันบ่อยๆ 3-4 วัน จนอาทิตน์นึง
และตัดสินใจไม่ไปต่อ แต่ยังอยากเรียนจบ พ่อกับแม่ก็เลยจำใจต้องส่งไปเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ
เดือนแรกที่ไปอยู่เป็นเด็กหอด้วยเพราะจะได้ดูแลตัวเองและปรับปรุงนิสัย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ห่างจากพ่อแม่และดูแลตัวเอง สักพักอยู่ไม่ไหวรำคาญ รู้สึกต้องการความไพรเวท
เข้าเดือนที่ 2 เลยบอกแม่ไปว่า "อยากจะอ่านหนังสือ ไม่มีสมาธิ เด็กในหอเสียงดัง"
แม่ก็เลยโอเค เพราะเหตุผลฟังขึ้น เลยหาหอนอกให้อยู่ ก็อยู่ตัวคนเดียวยิ่งแย่กว่าเดิม เริ่มเหมือนตอนอยู่โรงเรียนรัฐ
คือมีหยุดบ้าง ไม่ค่อยได้ไป หรือไปสาย เวลาไม่ไปเรียนจะปิดโทรศัพท์ไว้ไม่ให้ใครติดต่อได้แล้วเล่นโน๊คบุ๊คเอา
ครูก็เลยโทรไปหาแม่อยู่บ่อยๆจนสนิทจะด่าแม่ได้อยู่แล้ว แม่เลยรู้ต้องมาอยู่ที่หอเป็นเพื่อนเพื่อส่งเราไปโรงเรียนทุกเช้า
แต่มาหนักสุดตอนสอบปลายภาค แม่ไม่อยู่พอดีไปธุระที่ต่างจังหวัด เราไม่ได้ไปสอบเพราะรู้สึกว่าอ่านหนังสือไม่ทัน
ไม่อยากไปสอบ และโทรไปบอกแม่ว่า "ขอครูสอบวันอื่นนะ ให้แม่โทรไปโกหกว่าไม่สบายอยู่โรงพยาบาล"
แม่บอก "แม่ไม่ยอม แม่ไม่อยากโกหกใคร แม่ไม่ชอบ ทำได้ไม่ได้ก็ไปเถอะ" แต่เราก็ประชดไปว่า "ถ้าไม่ขอให้งั้นไม่ไปสอบนะ"
พ่อก็ได้ยินเพราะว่านอนข้างแม่ แต่พ่อกับแม่คิดว่า 'คงไปแหละ' แล้วครูโทรมาบอกว่าไม่ไปสอบตกใจมากไม่คิดว่าจะไม่ไปจริง
แม่รีบมาอยู่ด้วยเพื่อส่งเราไปสอบ ถึงวันสอบรู้สึกว่าไม่อยากไป ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากเจอคำถามหรือสายตาจากเพื่อนและครู
แม่เลยบอกว่า "งั้นจะไปเป็นเพื่อน" เลยโอเค เวลาสอบจะมีเวลาพักเราจะลงไปหาแม่ที่นั่งไม่ให้ครูเห็นอยู่โรงอาหารหรือสหกรณ์
ก็สอบผ่านไปได้ด้วยดี และปกติไม่ใช่คนถึงขั้นเรียนเก่ง แต่เรียนใช้ได้และโอเค อาจจะด้วยเรียนรัฐมาก่อนเลยเก่งกว่าคนอื่นนิดนึง
ส่วนวันที่ไม่ได้สอบก็ไปสอบเวลานอกวันหยุดที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ หลังจากนั้นก็ปิดเทอมเล็ก
พอเปิดเทอม 2 ไปเรียนได้แค่ 2 วันเองก็หยุดแล้ว แล้วก็ไปเรียนบ้าง หยุดบ้าง จนบ่อยๆเข้า ก็ไม่ไปยาว
ตอนที่แม่มาอยู่ด้วยแม่ก็ลากไปเรียนไม่สำเร็จ และตัดสินใจบอกเรา "กลับบ้านไปหาพ่อเถอะถ้าอยู่ไปก็ไม่มีความหมาย"
ประมาณเข้าเดือนธันวาคมเราขอแม่อยู่ต่อก่อนเพราะไม่อยากกลับไปอยู่ที่เดิมและเผื่ออาจจะไปโรงเรียน อ้อนวอนขอจนแม่ยอม
เอาเข้าจริงๆก็ไม่กล้าไปโรงเรียน แม่เลยให้พ่อมารับเพราะของในหอเยอะ แล้วพ่อก็มารับกลับบ้าน
วันทั้งวันเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากหมกตัวอยู่แต่ในห้องกับโน๊ตบุ๊คและโทรศัพท์เล่นทวิตดู kpop ดูนักร้องฟังเพลงดูตลก
เล่นจนดึกดื่นจนโต้รุ่งทุกวันๆจนกลายเป็นว่านอนตอนเช้าเล่นกลางคืนอยู่ทุกวัน ไม่อาบน้ำด้วย นานๆทีจะอาบ
แต่กินอยู่ตลอดเพราะบอกแม่ไว้ว่า "ให้ซื้อของมาตุนไว้ให้ ตอนเช้าไม่ค่อยได้เจอหรอกเพราะตื่นกลางคืน
หิวกลางคืน ช่วงนี้ปวดท้องบ่อยๆ เพราะตื่นกลางคืนมาแล้วไม่มีอะไรให้กินไม่ได้กินอะไรเลย" แม่เลยต้องจำใจหาอาหารไว้ให้
อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ค่อยได้เจอได้คุยกับพ่อแม่เพราะจะชอบอยู่ในห้องชอบความมืดชอบกลางคืนชอบความสงบและฟังเพลง
พ่อแม่ชินเพราะเราเป็นเด็กแบบนี้มาตั้งแต่แรกคือไม่ค่อยคุยหรือสุงสิงกับใครชอบอยู่ตัวคนเดียว
จะยุ่งก็ต่อเมื่อมาเรียกให้ไปกินข้าวและอาบน้ำ
แต่ครูที่เหมือนจะเป็นรองผอ.อะไรประมาณนี้ ใหญ่รองมาจากผอ. ครูเค้าโทรมาหาแม่เลยรู้เรื่องทุกอย่างและมาตามให้เรากลับไปเรียน
ทางโรงเรียนจะช่วยให้เราเรียนจบ เพราะเค้าอยากให้เด็กเรียนจบและไม่คิดว่าเราจะตัดสินใจแบบนี้ ให้โอกาสเราถึงหลังปีใหม่เท่านั้น
เข้าปี 2019 วันที่ 1 ก็ไปดูหนังกับแม่ ตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนต่อรับปีใหม่ก็เลยบอกแม่ไป เพราะยังอยากเรียนต่อมหาลัย
จริงๆเราอยากเรียนแต่แค่ไม่อยากไปเจอใคร ไม่มีความกล้ามากพอ แต่ก็ตัดสินใจช่างมันเถอะ
โรงเรียนจะเปิดวันที่ 2 แต่ให้แม่โทรไปบอกว่าจะเข้าไปวันที่ 5 และเริ่มเรียนวันที่ 7
พอถึงวันที่ 5 วันที่ต้องกลับไปที่กรุงเทพจริงๆ เรารู้สึกว่าเราไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ก็เลยต้องอยู่ที่เดิม
เราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ยังอยากเรียนต่อ อยากเรียนจบ เพราะแม่บอกว่า
"ตอนนี้ไม่ห่วงหรอกนะเพราะยังมีพ่อกับแม่ แต่พ่อแม่เป็นห่วงว่าถ้าวันนึงไม่มีพ่อแม่แล้วเราจะอยู่ได้มั้ย
จะดูแลตัวเองยังไง จะหางานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองยังไง ในเมื่อมีวุฒิจบแค่ ม.3 แล้วจะอยู่ยังไง
ใครเค้าจะมาสนใจหรืออยากคบหากับคนการศึกษาน้อยนอกจากพวกเดียวกัน แล้วมันจะไปรอดได้ยังไง"
คำๆนี้ของแม่ยังอยู่ในใจเราเสมอ แต่เราไม่รู้จะกลับไปเรียนยังไง เราติดเล่น ติดโน๊คบุ๊ค ติดนักร้อง หรือติดบ้าน หรือเวรกรรมอะไรวะ
เราอยากเรียนจบอยากต่อมหาลัยแต่เราออกจากเซฟโซนตัวเองไม่ได้สักที
เราค้นพบว่าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยมีปัญหากับครูหรือเพื่อนในห้องเรียนถึงแม้จะย้ายบ่อย
แต่เราไม่ชอบเวลาที่เราไปอยู่เหมือนทุกคนสนิทกันแต่เรารู้สึกเหงาๆ ขำแห้ง
มีกลุ่มเป็นของตัวเอง เพื่อนดีกับเรามากมักจะพาเราไปไหนด้วยตลอด แต่เวลาคุยกันไม่รู้จะแทรกยังไง
เพราะเรื่องที่เขาคุยส่วนใหญ่ก็เป็นตลกๆพูดถึงเพื่อนคนนู้นนี่นั่น รุ่นพี่รุ่นน้องคนนั้น แต่เราเป็นเด็กใหม่ เราไม่รู้จักใครเลย
โชคดีหน่อยที่ครูโรงเรียนเอกชนเป็นคนใจดี แต่ยังไงเค้าก็คือผู้ใหญ่ เราไม่อยากกลับไปให้เขาสงสัยและตั้งคำถาม
หรือเข้ามาถามเราว่า 'ทำไมไม่มาเรียน' เรากลัวว่าจะเจอใครมองเราด้วยสายตาแปลกๆแม้แต่เพื่อนในห้อง
เราชอบอยู่คนเดียว ชอบเล่นโน๊ตบุ๊ค ไม่อยากไปไหน ไม่แม้กระทั่งจะไปอาบน้ำ จะลุกก็ต่อเมื่อปวดปัสสาวะอุจาระและไปหาไรกิน
เราไม่ค่อยได้คุยกับใคร แม้แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดียวกัน กับพี่ชายเราไม่คุยด้วยเลย ไม่สนใจกันอยู่แล้วทั้งพี่และน้อง
แม้แต่ในโลกโซเชี่ยลก็ไม่ได้คุยกับใครเลย ฟังเพลงอย่างเดียว และติ่งไปวันๆ ตามงานตามดูไลฟ์นักร้องออกงานไปวันๆ
มีความสุขเพราะติ่งนักร้อง มีนักร้องเหมือนเป็นโลกทั้งใบ เพราะที่เล่นส่วนใหญ่ กดไลค์รูป ดูสตอรี่ ดูเขาไลฟ์ ดูเขาออกงาน
และสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือก่อนจะกลับมาที่บ้านพ่อตอนอยู่หอที่แม่ลากเราไปสอบ
แม่บอกว่า "จริงๆแล้วตอนที่เราอยู่ประถมอะ พ่อกับแม่ไปดูดวงถามเรื่องเรียนของลูกทั้งสองคน แต่สิ่งที่หมอดูบอกคือ
'ลูกสาวคนเล็กจะเรียนไม่จบนะ เขาดื้อมาก' " แม่เล่าจบเราตกใจจนรีบพูดออกไปว่า "ทำไมพูดงั้นอะ"
แม่บอกตอนแรกก็คิดแบบนั้น เพราะตอนเด็กๆเราเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนดี เรียนเก่ง เก่งกว่าพี่ชาย
เพื่อนๆในห้องก็รักเพราะมักใส่ชื่อเราไปแข่งขันหรือรับรางวัลอะไรต่างๆทุกปี ครูที่โรงเรียนมีแต่คนเอ็นดู
คิดว่าคงไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ พ่อก็บอกแม่เป็นเชิงว่าไม่เชื่อเหมือนกันไปว่า "ถือซะว่าหมอดูก็ไม่ต่างจากหมอเดา"
ฟังแม่เล่าจบมานึกย้อนดูอีกทีจริงๆเราเกือบเรียนไม่จบตั้งแต่ ม.ต้น มีพฤติกรรมไม่อยากไปเรียน และขาดเรียนบ่อยตั้งแต่ตอนนั้น
และทุกๆเหตุการณ์จะผ่านไปได้ด้วยดีเสมอเพราะแม่ฉุดรั้งกระชากลากถูช่วยทุกอย่างจนเรียนจบจนคุณครูชื่นชมในตัวแม่
แม้แต่คนที่เรารู้จักผ่านโลกโซเชี่ยลที่เราไว้ใจคนนึงเขามีเซ้นด้านนี้ ไม่เคยเจอกันคุยกันแต่ในแชท
ตั้งแต่รู้จักกันเขาจะชอบบอกว่ารู้สึกว่าแม่เราเป็นคนดี เป็นห่วงแม่เราอะไรอย่างงี้ เขาบอกแค่ว่าถ้าเราไม่มีแม่คงแย่มากนะ
ทั้งๆที่เราไม่ได้เล่าปัญหาให้เขาฟังว่าเจออะไรอยู่ เพราะถึงจะคุยกับคนแปลกหน้าเรารู้ว่าอะไรควรคุยอะไรควรเปิดเผย
แต่บางครั้งเราจะเล่าเรื่องที่เราหัวร้อนหรือเอาแต่ใจหรือเรื่องที่เราไปเจอมาแล้วโกรธก็คือเราจะชอบระบายอารมณ์กับเขา
มีประโยคนึงจำได้ขึ้นใจ "ไม่รู้ว่ะ ไม่เข้าใจ kuเข้าไม่ถึงบาปmungหนาเกิน เขาคงกดmungให้ต่ำกว่าเดิมแล้วจริงๆ"
ตอนนั้นดึกมากอ่านจบแล้วเหมือนมันไปนอนเพราะมันเด็กกว่าเราแม่บังคับให้นอนก่อน 4 ทุ่ม แต่เรายังคงตกใจกับประโยคที่มันส่งมา
เราจะไม่ค่อยเปิดเผยอะไรกับมันมาก แต่มันคงเพราะเป็นเด็กเลยเปิดเผยกับเราทุกเรื่องส่งรูปตัวเองมางี้
จนเราต้องบอกไม่ต้องส่งมาและห้ามไปส่งแบบนี้ให้ใคร ก็มีเตือนๆน้องมันไปบ้าง
และก็พอรู้ดีพอสมควรว่าน้องมันเป็นคนมีเซ้นสัมผัสอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ
(เขาที่ว่าเนี่ยเป็นผู้หญิงนะคะ เราไม่ได้คุยกับผู้ชายและก็ไม่ได้คุยกันบ่อยค่ะ นอกจากน้องมันจะทักมาเพราะคิดถึงพี่ก็คือเรา)
และน้องมันจะแปลกอยู่อย่างหนึ่งเวลาที่ทักมา คือเวลาคุยกันเราไม่ค่อยได้เล่าเรื่องส่วนตัวหรือคุยอะไรส่วนตัว
นอกจากต่างคนต่างเล่าว่าวันนี้ไปเจออะไรมา ส่วนใหญ่น้องมันก็มาปรึกษาความรัก
บางวันก็มาแบบว่าเรื่องหลอนๆมันไปเจออะไรแปลกๆมา หรือบางทีแค่คิดถึงเราเฉยๆแบบพี่น้องเพราะไม่ได้คุยกันบ่อยจริงๆ
เพราะแต่ก่อนตอนที่เราอยู่ ม.4-5 ตอนนั้นนิสัยเราดีกว่านี้นิดนึง ตอนนั้นคุยกันบ่อยคุยกันทุกวัน แต่ช่วงนี้เราเก็บตัวมากกว่าเดิม
แต่ตั้งแต่วันแรกที่คุยกันจนวันนี้ไม่เคยเล่าเรื่องแม่หรือเรื่องส่วนตัวเช่นเรื่องที่ไม่ได้ไปเรียนและจะเรียนไม่จบอยู่แล้ว แม่ช่วยอะไรไม่ได้
ทั้งๆที่เราไม่เคยเล่าอะไรเกียวกับแม่ แต่ก็มีบ้างนิดหน่อยที่เล่าไปว่าวันนี้ทะเลาะกับแม่เรื่องซื้อของอะไรทำนองนั้น
จู่ๆเวลาที่คุยกันไปสักพักมันจะชอบถามถึงแม่เรา อินี่ก็งง อะไรของมันวะ รู้สึกแปลกๆ เพราะงงมากจริงๆแต่ก็ไม่เคยถามมันอะ
มันจะชอบส่งมาเป็นเชิงเป็นห่วงแม่เรา "อยากให้เราทำตัวดีๆกับแม่ เลิกดื้อ เลิกใจร้อน เลิกใช้แต่อารมณ์ ห้ามทำแม่ร้องไห้"
เราสงสัยมากรู้สึกเหมือนมันรู้อะไร รู้สึกเหมือนช่วงนี้มันสัมผัสได้ว่าแม่เรารู้สึกแย่แค่ไหนเพราะเราไม่ไปเรียน
จนวันนึงเราก็ทักมันไป ปกติมันจะทักมา ทำเป็นถามมันว่า "ดูดวงให้หน่อยดิ้ ช่วงนี้แย่มากจริงๆ"
มันก็ด่าว่า "มันก็คนธรรมดามั้ย แต่แค่รู้สึกว่าทุกวันนี้mungโชคดีที่มีแม่คอยช่วย" แล้วมันก็ให้เราไปดูดวงไพ่ยิปซีในเว็บนึง
ไอ้เราตอนแรกก็ว่าไร้สาระ แต่มันส่งมาให้ลองดูอยู่นั่นแหละ บอกว่าถึงจะเป็นในกูเกิ้ลแต่ตรงมาก เลยกดเข้าก็ได้วะ
แล้วก็ไม่ได้อ่านนะก็แคปรูปส่งให้มันดูให้มันอ่านไปแทนแล้วกัน เพราะรำคาญอะ รู้สึกทำไมต้องมาทำอะไรที่มันงมงาย
จำได้ว่าไปเข้าห้องน้ำออกมาอ่านที่มันส่งมาอีกทีมันบอกว่าของเราตรงมาก ตรงเกือบหมดทุกไพ่ที่เราสุ่ม
เราก็เลยลองอ่านดู ก็รู้สึกว่าตรงหมดนะ เลยเชื่อเรื้องนี้ขึ้นมานิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จริงๆพ่อแม่ไม่ได้ตามใจขนาดนั้นนะคะ แต่เล่ามาพยายามไม่ให้ยาวเกิน
เค้าก็เหมือนพ่อแม่ทั่วไปมีด่ามีว่าทุกเหตุการณ์ที่ทำผิด
มีร้องไห้เสียใจอยู่บ่อยครั้งที่เราไม่ไปเรียนต่อ
จนเราต้องขอร้องแม่ว่าให้หยุดร้องเพราะถึงจะหัวสมัยใหม่
แต่จำที่ครูแนะแนวเคยสอนได้เสมอว่า "อย่าทำพ่อแม่ร้องไห้ จะบาปหนา จะไม่มีวันเจริญ
และถ้าวันไหนโตขึ้นเป็นพ่อแม่คนเสียใจแค่ไหน ขอให้อดทนไว้
อย่าสาปแช่งลูกเพราะวาจาพ่อแม่ศักษ์สิทธิ์ และอย่าร้องไห้เพราะลูกจะเจริญยาก"
จนหลังๆเราก็เริ่มเห็นแม่อดทนเก่งขึ้น ไม่ร้องไห้แล้ว ไม่ค่อยด่าแบบสาปแช่ง เพราะปกติเวลาแม่โกรธจะด่าแนวนี้
แม่ทำเพื่อเราทุกอย่าง เราก็รู้ตัวว่าคงเจริญยากแหละ แต่จะกลับไปเรียนยังไงดี คือเราไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เวรกรรม ดวงคนจะเรียนไม่จบ ติดโน๊คบุ๊ค ติดโทรศัพท์ ติดเล่น ติดนักร้อง ติดเป็นติ่ง
ติดบ้าน ติดเซฟโซน ติดนิสัยชอบอยู่คนเดียว ติดนิสัยโลกส่วนตัวสูง ช่วยวิเคราะห์หน่อยนะคะ