หลังเจ็บๆ หายๆ มาตลอดหลายปี ขณะนี้มาร์โค รอยส์กัปตันทัพ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ก็กลับมาฟิตสมบูรณ์เต็มร้อยได้แล้ว แถมยังระเบิดฟอร์มสะเด่าพาทีมครองจ่าฝูงครึ่งฤดูกาลแรกได้อย่างสวยงาม สร้างสถิติใหม่ให้กับทีมในฐานะยอดมิดฟิลด์ผู้สวมเสื้อหมายเลข 11
ในศึกบุนเดสลีกาฤดูกาลนี้ จากทุกนาทีที่ดอร์ทมุนด์ลงแข่ง รอยส์ไม่ได้ลงเล่นให้ทีมเพียงแค่ 37 นาทีเท่านั้น โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีเพียงครั้งเดียวที่เขาได้โอกาสลงเล่นมากกว่า 20 นัดตลอดทั้งฤดูกาล การที่แข้งดาวดังวัย 29 ปีกลับมาฟิตก็เหมือนได้เกิดใหม่ ยื่งสวใฝมปลอกแขนกัปตันที่ได้มาก็เหมือนเป็นการอัพพลังซูเปอร์ฮีโร่คนนี้ให้มากขึ้นไปอีกหลังต้องเก็บกดจากที่ต้องโดนอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดอร์ทมุนด์บินสูงอยู่บนหัวตารางในขณะนี้ก็คือทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยม ที่ช่วยให้ทำแต้มทิ้งห่างบาเยิร์น มิวนิค ถึง 6 คะแนน แต่เมื่อกางสถิติดูแล้วจะเห็นได้ว่ามาร์โค รอยส์ นักเตะผู้เกิดและเติบโตในดอร์ทมุนด์คนนี้สามารถทำลายสถิติของตนเองได้ในฤดูกาลนี้เอง
เป็นครั้งแรกที่รอยส์สามารถยิงได้ถึง 11 ประตูในครึ่งฤดูกาลแรก หลังจากที่เขาสามารถพาทีมโค่นโบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัค ได้ในศึกบุนเดสลีกานัดที่ 17 ซึ่งเป็นการลงเล่นในลีกนัดที่ 250 ของเขา และยังทำแอสซิสต์ได้รวม 6 ครั้ง
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี ไม่อย่างนั้นก็คงจะโชว์ฟอร์มไม่ได้” รอยส์กล่าวให้สัมภาษณ์กับช่อง ZDF ในเยอรมนีหลังชัยชนะเหนือกลัดบัค “แล้วก็ยังรวมถึงการเล่นด้วยความสนุกด้วย หลังได้รับบาดเจ็บหนักอยู่บ่อยครั้ง ผมก็ให้ความสำคัญกับการเล่นให้สนุกมากขึ้น ลงสนามและใช้ทุกโอกาสเพื่อทดสอบร่างกายของตัวเอง”
ก่อนจะเริ่มฤดูกาล รอยส์เคยกล่าวไว้ว่าเขาไม่เชื่อว่าเขาเล่นได้ดีที่สุดแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไม่พัฒนาตัวเองได้อีก การผสมผสานระหว่างร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ ความเป็นผู้นำด้วยตำแหน่งกัปตันที่เขาได้รับ และการได้ร่วมงานกับลูเซียง ฟาฟร์ เทรนเนอร์ที่เขาบอกว่า “เก่งที่สุดที่เคยเจอ” ช่วยให้รอยส์กลายเป็นยอดมนุษย์ไปแล้ว
ประตูล่าสุดที่เขาทำได้ในนัดที่เอาชนะกลัดบัคทำให้ดอร์ทมุนด์ทิ้งห่างสิงห์หนุ่มทีมอันดับ 3 ไปถึง 9 แต้มเมื่อจบครึ่งฤดูกาลแรก นอกจากนี้ในสุดยอดเกมคัมแบ็คที่เสือเหลืองพลิกกลับมาชนะเลเวอร์คูเซนในนัดที่ 6 ของฤดูกาล รอยส์ก็สามารถทำได้ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ แถมในเกม “แดร์คลาสสิกเคอร์” ที่ปราบคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค เขาก็ยิงได้ถึง 2 ประตู
“เขาสุดยอดไปเลยในครึ่งฤดูกาลแรก” ฟาฟร์กล่าว “เขาพลาดลงสนามเพียงแค่เกมแชมเปียนส์ลีกนัดเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าได้ลงครบทุกนัดเลย ถือเป็นงานหนักทีเดียว แต่เขาก็โชว์ฟอร์มได้สุดยอด”
รอยส์รู้ดีว่าการมาของฟาฟร์ไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งทีมอีกด้วย ดอร์ทมุนด์เป็นทีมที่สร้างด้วยดาวเตะหน้าเดิมๆ รวมกับดาวรุ่งหน้าใหม่ ทั้งที่เก๋าอยู่แล้วในถิ่นซิกนัล อิดูนา พาร์ค และแข้งสดใหม่ที่เข้ามาสร้างความหลากหลาย รอยส์เชื่อว่าฟาฟร์จะปรับจูนทีมแบบนี้ไปในทิศทางที่ดีได้อย่างแน่นอน
“การมีโค้ชแบบเขาเป็นเรื่องสำคัญ” รอยส์กล่าว “เขาชอบบอกเราว่าอะไรที่เราต้องทำให้ถูกต้อง มากกว่าจะพูดเชิงลบ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับนักเตะหนุ่มๆ ที่เพิ่งเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพที่มักติดใจกับทุกคำพูดของโค้ชเอามากๆ”
ขณะนี้แฟนบอลดอร์ทมุนด์ต่างก็ตั้งความหวังกันแล้วว่าพวกเขาจะสามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อีกครั้งหลังจากเคยทำได้ในปี 2012
credit : www.siamsport.co.th
มาร์โค รอยส์ แข้งยอดเยี่ยมครึ่งซีซั่นแรกจากรั้วเสือเหลือง
ในศึกบุนเดสลีกาฤดูกาลนี้ จากทุกนาทีที่ดอร์ทมุนด์ลงแข่ง รอยส์ไม่ได้ลงเล่นให้ทีมเพียงแค่ 37 นาทีเท่านั้น โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีเพียงครั้งเดียวที่เขาได้โอกาสลงเล่นมากกว่า 20 นัดตลอดทั้งฤดูกาล การที่แข้งดาวดังวัย 29 ปีกลับมาฟิตก็เหมือนได้เกิดใหม่ ยื่งสวใฝมปลอกแขนกัปตันที่ได้มาก็เหมือนเป็นการอัพพลังซูเปอร์ฮีโร่คนนี้ให้มากขึ้นไปอีกหลังต้องเก็บกดจากที่ต้องโดนอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดอร์ทมุนด์บินสูงอยู่บนหัวตารางในขณะนี้ก็คือทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยม ที่ช่วยให้ทำแต้มทิ้งห่างบาเยิร์น มิวนิค ถึง 6 คะแนน แต่เมื่อกางสถิติดูแล้วจะเห็นได้ว่ามาร์โค รอยส์ นักเตะผู้เกิดและเติบโตในดอร์ทมุนด์คนนี้สามารถทำลายสถิติของตนเองได้ในฤดูกาลนี้เอง
เป็นครั้งแรกที่รอยส์สามารถยิงได้ถึง 11 ประตูในครึ่งฤดูกาลแรก หลังจากที่เขาสามารถพาทีมโค่นโบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัค ได้ในศึกบุนเดสลีกานัดที่ 17 ซึ่งเป็นการลงเล่นในลีกนัดที่ 250 ของเขา และยังทำแอสซิสต์ได้รวม 6 ครั้ง
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี ไม่อย่างนั้นก็คงจะโชว์ฟอร์มไม่ได้” รอยส์กล่าวให้สัมภาษณ์กับช่อง ZDF ในเยอรมนีหลังชัยชนะเหนือกลัดบัค “แล้วก็ยังรวมถึงการเล่นด้วยความสนุกด้วย หลังได้รับบาดเจ็บหนักอยู่บ่อยครั้ง ผมก็ให้ความสำคัญกับการเล่นให้สนุกมากขึ้น ลงสนามและใช้ทุกโอกาสเพื่อทดสอบร่างกายของตัวเอง”
ก่อนจะเริ่มฤดูกาล รอยส์เคยกล่าวไว้ว่าเขาไม่เชื่อว่าเขาเล่นได้ดีที่สุดแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไม่พัฒนาตัวเองได้อีก การผสมผสานระหว่างร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ ความเป็นผู้นำด้วยตำแหน่งกัปตันที่เขาได้รับ และการได้ร่วมงานกับลูเซียง ฟาฟร์ เทรนเนอร์ที่เขาบอกว่า “เก่งที่สุดที่เคยเจอ” ช่วยให้รอยส์กลายเป็นยอดมนุษย์ไปแล้ว
ประตูล่าสุดที่เขาทำได้ในนัดที่เอาชนะกลัดบัคทำให้ดอร์ทมุนด์ทิ้งห่างสิงห์หนุ่มทีมอันดับ 3 ไปถึง 9 แต้มเมื่อจบครึ่งฤดูกาลแรก นอกจากนี้ในสุดยอดเกมคัมแบ็คที่เสือเหลืองพลิกกลับมาชนะเลเวอร์คูเซนในนัดที่ 6 ของฤดูกาล รอยส์ก็สามารถทำได้ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ แถมในเกม “แดร์คลาสสิกเคอร์” ที่ปราบคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค เขาก็ยิงได้ถึง 2 ประตู
“เขาสุดยอดไปเลยในครึ่งฤดูกาลแรก” ฟาฟร์กล่าว “เขาพลาดลงสนามเพียงแค่เกมแชมเปียนส์ลีกนัดเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าได้ลงครบทุกนัดเลย ถือเป็นงานหนักทีเดียว แต่เขาก็โชว์ฟอร์มได้สุดยอด”
รอยส์รู้ดีว่าการมาของฟาฟร์ไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งทีมอีกด้วย ดอร์ทมุนด์เป็นทีมที่สร้างด้วยดาวเตะหน้าเดิมๆ รวมกับดาวรุ่งหน้าใหม่ ทั้งที่เก๋าอยู่แล้วในถิ่นซิกนัล อิดูนา พาร์ค และแข้งสดใหม่ที่เข้ามาสร้างความหลากหลาย รอยส์เชื่อว่าฟาฟร์จะปรับจูนทีมแบบนี้ไปในทิศทางที่ดีได้อย่างแน่นอน
“การมีโค้ชแบบเขาเป็นเรื่องสำคัญ” รอยส์กล่าว “เขาชอบบอกเราว่าอะไรที่เราต้องทำให้ถูกต้อง มากกว่าจะพูดเชิงลบ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับนักเตะหนุ่มๆ ที่เพิ่งเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพที่มักติดใจกับทุกคำพูดของโค้ชเอามากๆ”
ขณะนี้แฟนบอลดอร์ทมุนด์ต่างก็ตั้งความหวังกันแล้วว่าพวกเขาจะสามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อีกครั้งหลังจากเคยทำได้ในปี 2012
credit : www.siamsport.co.th