จบแล้ว มีแค่ 7 ตอนเอง เสียดายตอน The End น่าจะทำสัก 2 ตอน ซีซั่นนี้เป็นซีซั่นที่สนุกที่สุดและประทับใจที่สุด ถึงแม้จะพูดเร็วไปหน่อย บางฉากก็ประมวลผลตามเรื่องไม่ทัน netflix น่าจะมีปุ่มปรับ speed อีกอย่างเรื่องนี้ได้นักเขียนมาเป็น executive producer ด้วย นักเขียนเองคงได้มีโอกาสร่วมใส่รายละเอียดลงไปว่าอยากเล่าอะไรเพิ่ม แต่ซีซั่นสอง 4 EP แรก เหมือนใส่เพิ่มเยอะไป จนเวิ่นเว้อและไม่ครบอรรถรสตามที่คาดไว้
ดูมาทั้งสามซีซั่น ชอบ Lucy Punch มาก เล่นเป็นเอสเม่ได้แบบตลกร้ายจริง ๆ จริตแห่งขุ่นแม่เอสเม่ และปมเรื่องกระปุกใส่น้ำตาลที่คาใจตั้งแต่ฉบับหนังสือ ในซีรีส์คลายให้เรียบร้อย หายใจโล่งสักทีว่าอะไรมันอยู่กระปุกบ้านั่น มีอีกคนคือน้องที่เล่นเป็นคาร์เมลิต้า ยัยดมเค้ก!ของพวกเรา มีความร้ายน่ารัก ขณะที่ฉบับหนังสือนึกภาพไว้ว่าจะต้องร้ายอย่างน่าเกลียด นอกจากนี้ชอบบทชายมือตะขอมาก (เฟอร์นัลด์) พี่แกแบ๊วดีอะ ฉีกลุคจากในหนังสือ มีความรักเด็ก รักซันนี่ จริง ๆ ก็ชอบทุกคนในคณะละคร ดูไม่ร้ายโฉดเกิน คนที่ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงออกฉากทีก็แย่งซีนไปตามระเบียบ แต่ที่แน่ ๆ ผู้ชายมีเคราแต่ไม่มีผมกับผู้หญิงมีผมแต่ไม่มีเครา คือตอนอ่านแบบหนังสือยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ พอเป็นฉบับซีรีส์ ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เลวขนาดนี้ ไปเผาบ้านเด็ก ๆ ลูกเสือหิมะเพื่ออออ เหมือนคนโรคจิต
ถึงแม้จะอ่านฉบับหนังสือมาแล้ว แต่พอในซีรีส์สำหรับฉากที่ดิวอี้และเคาต์โอลาฟตาย มันก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้ หมดเคราะห์หมดกรรมสักทีนะเด็กโบดแลร์ สุดท้ายข่าวที่ว่าพ่อหรือแม่ของโบดแลร์อาจรอดจากเหตุไฟไหม้ ก็เป็นแค่ข่าวลือที่จุดขึ้นมาให้ ว.ฟ.ด.ฝ่ายวายร้ายตื่นตระหนกเล่น ๆ สินะ สุดท้ายนี้หายนะที่แท้จริงของเด็กโบดแลร์คือมิสเตอร์โพ!!! โผล่ไป episode ไหน (ยกเว้น ep สุดท้าย) มีแต่เรื่องวายป่วงที่นั่น น่าจะตามเคาต์โอลาฟไปอีกคนนะ มิสซิสโพด้วย ไปทั้งคู่เลย 555 ชอบลงเนื้อข่าวในเดอะเดลี่พังค์ทิลิโอแบบผิด ๆ
สุดท้ายนี้ชอบหนังสือชุดเรื่องนี้มาก คือชอบกลวิธีการเขียนของผู้แต่ง ที่ทำให้ดูเหมือนว่าเลโมนีมีตัวตนจริง ๆ เรื่องราวของเด็กกำพร้าโบดแลร์มีอยู่จริง ถึงแม้เนื้อเรื่องจะดูเวอร์ไปหน่อยก็เถอะ เขาค่อย ๆ ไต่ลำดับเรื่องขึ้นไป เริ่มแรกเหมือนอ่านเรื่องราวความโชคร้ายของเด็ก ๆ โบดแลร์ เนื่องจากเจ๊อะผู้ปกครองใจสามานย์ แล้วพอไปเล่มกลาง ๆ นักเขียนก็ใส่ปมเข้าไปอีกระดับ เอ้า...นี่มันไม่ใช่นั่งอ่านเรื่องราวเด็กสามคนดราม่าธรรมดา ๆ นี่หว่า แต่กลับมีปมขององค์กรลับ โยงนำไปสู่สาเหตุการใจโฉดของโอลาฟและเอสเม่ ความลับของผู้คนรอบข้างเด็ก ๆ การใส่เรื่องราวที่เสียดสีสังคมเข้าไป ทั้งการไม่เชื่อคำพูดเด็ก เชื่อแต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ หน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับงานเอกสารมากกว่าการดูแลคนไข้ งานอาสาสมัครที่อ้างว่าทำเพื่อปลอบใจคนอื่น แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไร แล้วทำให้คนอื่นทุกข์ใจกว่าเก่า ความป่าเถื่อนของมนุษย์ การที่ดูเหมือนตัวเองเป็นกาลกิณีให้กับอีกบุคคลหนึ่งอยู่ร่ำไป ฯลฯ ในชีวิตจริงก็เจอแบบนี้อยู่ไม่น้อยเลยนะ
มันยากนะที่จะหานิยายอ่านแล้วรู้สึกว่าเรากำลังอ่านเรื่องราวบันทึกมากกว่านั่งอ่านเรื่องแต่งอยู่ และชอบการใช้สำนวนเปรียบเทียบ มันทำให้เห็นภาพชัดขึ้น เข้าใจความรู้สึกของตัวละครชัดขึ้น แม้บางการอธิบายจะเทียบตัวอย่างได้แบบตลก ๆ หรือแบบ...หืม...เทียบอย่างนี้ก็ได้เหรอ แต่มันคือเอกลักษณ์การเขียนของผู้แต่งอะ ที่อ่านแล้วเพลินดี แม้จะรู้สึกเอือมนิด ๆ ที่เลโมนีเอาแต่เพ้อถึงเบียทริซ จะรักอะไรกันปานนั้น พ่อคนอกหักรักคุด 555 โอ่ย...ต้องคิดถึงเรื่องนี้แน่เลย กลับไปอ่านฉบับหนังสือซ้ำก่อนดีกว่า
<แชร์ความรู้สึก> อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย season 3
ดูมาทั้งสามซีซั่น ชอบ Lucy Punch มาก เล่นเป็นเอสเม่ได้แบบตลกร้ายจริง ๆ จริตแห่งขุ่นแม่เอสเม่ และปมเรื่องกระปุกใส่น้ำตาลที่คาใจตั้งแต่ฉบับหนังสือ ในซีรีส์คลายให้เรียบร้อย หายใจโล่งสักทีว่าอะไรมันอยู่กระปุกบ้านั่น มีอีกคนคือน้องที่เล่นเป็นคาร์เมลิต้า ยัยดมเค้ก!ของพวกเรา มีความร้ายน่ารัก ขณะที่ฉบับหนังสือนึกภาพไว้ว่าจะต้องร้ายอย่างน่าเกลียด นอกจากนี้ชอบบทชายมือตะขอมาก (เฟอร์นัลด์) พี่แกแบ๊วดีอะ ฉีกลุคจากในหนังสือ มีความรักเด็ก รักซันนี่ จริง ๆ ก็ชอบทุกคนในคณะละคร ดูไม่ร้ายโฉดเกิน คนที่ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงออกฉากทีก็แย่งซีนไปตามระเบียบ แต่ที่แน่ ๆ ผู้ชายมีเคราแต่ไม่มีผมกับผู้หญิงมีผมแต่ไม่มีเครา คือตอนอ่านแบบหนังสือยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ พอเป็นฉบับซีรีส์ ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เลวขนาดนี้ ไปเผาบ้านเด็ก ๆ ลูกเสือหิมะเพื่ออออ เหมือนคนโรคจิต
ถึงแม้จะอ่านฉบับหนังสือมาแล้ว แต่พอในซีรีส์สำหรับฉากที่ดิวอี้และเคาต์โอลาฟตาย มันก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้ หมดเคราะห์หมดกรรมสักทีนะเด็กโบดแลร์ สุดท้ายข่าวที่ว่าพ่อหรือแม่ของโบดแลร์อาจรอดจากเหตุไฟไหม้ ก็เป็นแค่ข่าวลือที่จุดขึ้นมาให้ ว.ฟ.ด.ฝ่ายวายร้ายตื่นตระหนกเล่น ๆ สินะ สุดท้ายนี้หายนะที่แท้จริงของเด็กโบดแลร์คือมิสเตอร์โพ!!! โผล่ไป episode ไหน (ยกเว้น ep สุดท้าย) มีแต่เรื่องวายป่วงที่นั่น น่าจะตามเคาต์โอลาฟไปอีกคนนะ มิสซิสโพด้วย ไปทั้งคู่เลย 555 ชอบลงเนื้อข่าวในเดอะเดลี่พังค์ทิลิโอแบบผิด ๆ
สุดท้ายนี้ชอบหนังสือชุดเรื่องนี้มาก คือชอบกลวิธีการเขียนของผู้แต่ง ที่ทำให้ดูเหมือนว่าเลโมนีมีตัวตนจริง ๆ เรื่องราวของเด็กกำพร้าโบดแลร์มีอยู่จริง ถึงแม้เนื้อเรื่องจะดูเวอร์ไปหน่อยก็เถอะ เขาค่อย ๆ ไต่ลำดับเรื่องขึ้นไป เริ่มแรกเหมือนอ่านเรื่องราวความโชคร้ายของเด็ก ๆ โบดแลร์ เนื่องจากเจ๊อะผู้ปกครองใจสามานย์ แล้วพอไปเล่มกลาง ๆ นักเขียนก็ใส่ปมเข้าไปอีกระดับ เอ้า...นี่มันไม่ใช่นั่งอ่านเรื่องราวเด็กสามคนดราม่าธรรมดา ๆ นี่หว่า แต่กลับมีปมขององค์กรลับ โยงนำไปสู่สาเหตุการใจโฉดของโอลาฟและเอสเม่ ความลับของผู้คนรอบข้างเด็ก ๆ การใส่เรื่องราวที่เสียดสีสังคมเข้าไป ทั้งการไม่เชื่อคำพูดเด็ก เชื่อแต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ หน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับงานเอกสารมากกว่าการดูแลคนไข้ งานอาสาสมัครที่อ้างว่าทำเพื่อปลอบใจคนอื่น แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไร แล้วทำให้คนอื่นทุกข์ใจกว่าเก่า ความป่าเถื่อนของมนุษย์ การที่ดูเหมือนตัวเองเป็นกาลกิณีให้กับอีกบุคคลหนึ่งอยู่ร่ำไป ฯลฯ ในชีวิตจริงก็เจอแบบนี้อยู่ไม่น้อยเลยนะ
มันยากนะที่จะหานิยายอ่านแล้วรู้สึกว่าเรากำลังอ่านเรื่องราวบันทึกมากกว่านั่งอ่านเรื่องแต่งอยู่ และชอบการใช้สำนวนเปรียบเทียบ มันทำให้เห็นภาพชัดขึ้น เข้าใจความรู้สึกของตัวละครชัดขึ้น แม้บางการอธิบายจะเทียบตัวอย่างได้แบบตลก ๆ หรือแบบ...หืม...เทียบอย่างนี้ก็ได้เหรอ แต่มันคือเอกลักษณ์การเขียนของผู้แต่งอะ ที่อ่านแล้วเพลินดี แม้จะรู้สึกเอือมนิด ๆ ที่เลโมนีเอาแต่เพ้อถึงเบียทริซ จะรักอะไรกันปานนั้น พ่อคนอกหักรักคุด 555 โอ่ย...ต้องคิดถึงเรื่องนี้แน่เลย กลับไปอ่านฉบับหนังสือซ้ำก่อนดีกว่า