Bumblebee : ความหวังของเด็กสาวกับเต่าเหลือง
ติดตามรีวิว ข่าวสารหนังเก่า/ใหม่ ไทย/เทศ ซีรี่/แอนิเมชัน ได้ที่ Facebook เพจ Movie crazy
ภาคแยกเดี่ยวของหุ่นเหลืองที่คราวนี้มาในรูปของรถเต่าสีเหลือง ที่หนีจากสงครามล้างดาวไซเบอตรอนมายังโลกเพื่อรอวันรวมกำลังพลและชำระแค้น
ในขณะที่ตลอดทั้งแฟรนไชน์ของหนังสงครามหุ่นยนต์อย่าง Transformer ที่ปลุกปั้นขึ้นมาโดยเจ้าพ่อแห่งความเอะอะมะเทิ่ง ระเบิดภูเขาเผากระท่อมอย่างไมเคิลเบย์ แต่กลับมีเพียงภาคแรกเท่านั้นที่ทั้งทำเงินและเล่าเรื่องได้ดี สี่ภาคต่อมานั้นแม้จะยังพอมีรายได้ให้คุ้มทุนหรือกำไรแต่หนังก็โดนด่าเละเทะในแง่ของความพยายามที่จะแอคชันจนละทิ้งการเล่าเรื่องไปหมด พาหนังเขาสู่ยุคมืดจนคนดูอาจภาวนาให้เบย์ กลบฝังแฟรนไชน์นี้ไปเสียที
แล้วก็มีข่าวว่าจะทำภาคแยกบัมเบิ้ลบีนี้ขึ้นมา ความรู้สึกว่า “อีกแล้วเหรอ” ก็ตามมาทันที ยิ่งเมื่อเห็นตัวอย่างแล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิความไว้วางใจใดๆ
จนกระทั่งมีชื่อ ทราวิส ไนท์ มาให้ได้ยินในฐานะผู้กำกับ “เฮ้ย ได้เหรอ” คือความคิดแรก ความตื่นเต้นติดตามมาทันที เขาคือผู้กำกับที่อยู่ห่างไกลคำว่า “ระเบิดภูเขาเผากระท่อม” อย่างที่เบย์เป็นและทำกับหนังชุดนี้มาทั้ง 5 ภาค แต่เขาเป็นสายเล่าเรื่อง สายอินดี้ที่อยู่เบื้องหลังแอนิเมชันสตอปโมชันสายมืดไม่แคร์เด็กอย่าง Kubo and The Two Strings มันเลยน่าสนใจขึ้นมาทันทีว่าการขุดหนังหุ่นยนต์ตีกันที่กลบฝังตัวเองไปแล้วขึ้นมาอีกด้วยมือของชายผู้นี้จะไปในทิศทางไหน
และแล้วก็ไม่ผิดหวัง Bumblebee ของไนท์ ทำได้ดีทั้งการเล่าเรื่องและแอคชัน สองส่วนถ่วงน้ำหนักได้อย่างพอดี เรื่องราวในส่วนหลักอยู่ที่การข้ามผ่านอดีตของชาลี (แฮรี่ สแตนด์ฟิล) สาว 18 พ่อตาย แม่มีผัวใหม่ แถมบ้านจน โจทย์ของเธอดูจริงจังกว่าเด็กหนุ่มครอบครัวรักกันดีที่แค่ขี้แพ้และอยากได้รถอย่างแซม วิทวิกกี้มาก นั่นทำให้หนังมีน้ำหนัก มีอะไรให้คนดูติดตามและทำความเข้าใจ และแน่นอนมันมาตามสูตรว่า Bumblebee ของเรานั่นเองคือผู้ทำให้เธอข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายของชีวิตไปได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ประสบพบเจอไปด้วยกัน
ในบางเรื่องที่อ่อนไหว แต่หนักหน่วงรุนแรง บางเรื่องที่ประทัปรอยจำฝังแน่นจนเราไม่อาจลืมหรือก้าวผ่านมันไปและใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ เราอาจเพียงต้องการใครสักคน มือสักมือที่เข้าใจ และบททดสอบบางอย่างเพื่อนำพาเราไป
มุขในหนังเป็นมุขเก่าที่เราเคยเจอกันมาแล้วทั้งหมดแต่เรายังยิ้มตาม อินตาม ซึ้งตามได้เพราะมันมาถูกจังหวะเวลาของมัน ไนท์จัดวางส่วนต่างๆ ของเรื่องได้อย่างพอเหมาะพอดี การสร้างซีน (โดยเฉพาะการสร้างซีนปูของการไม่พร้อมข้ามผ่านแล้วกลับมาเก็บมันเมื่อถึงจังหวะเหมาะที่ตัวละครพร้อม) เรื่องราวการผูกสัมพันและเจอะเจออะไรไปด้วยกันของพวกเขาทำให้หนังมันมีชีวิต ชีวิตในแบบที่เป็นชีวิตจริงๆ ชีวิตธรรมดาๆ ที่เราคนดูเข้าถึงได้ง่าย และเมื่อเราเชื่อในมิตรภาพของพวกเขาแล้วหนังจึงเล่นกับความรู้สึกเราได้ง่ายๆ ในจังหวะคับขันของเรื่อง
น้องแฮรี่ สแตนด์ฟิลทำให้เราอินในปัญหาของเธอ ความไม่พร้อมที่จะไปต่อ และความสำคัญของ Bumblebee ในฐานะมือที่พาเธอข้ามสะพานของอดีต
ในขณะที่เสียงพากย์ของปัญ BNK48 คือความเลวร้ายที่ดึงเราออกจากเรื่องราวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเธอ เป็นอีกครั้งที่ยืนยันได้ว่าไม่ควรเอาคนดังมาพากย์หนัง ทั้งที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการสื่อสารอารมณ์ทางเสียง เสียงของปัญคือความน่าหงุดหงิดที่สุดตลอดเวลาที่หนังฉาย
แน่นอนว่าหนังมันยังมีจุดมีรูอยู่ไม่น้อยแต่ด้วยความกลมกล่อมของการเล่ามันทำให้เรามองข้ามได้ หรือบางจุดมันก็จำเป็นต้องมองข้ามเพื่อสร้างซีนอารมณ์ของตัวละครให้คนดูได้รู้สึกตาม (เป็นต้นว่าเครื่องส่งสัญญาณที่ดีเซปติคอนเอาไปติดบนเสาสูง Bumblebee หรือกองทหารมนุษย์สามารถส่งเครื่องบินมาระเบิดทิ้งทั้งเสาแล้วจบได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะไม่มีซีนร่วมกันสู้ของชาลีและบัมเบิ้ลบี)
โดยรวมประทัปใจกับทิศทางที่ไนท์เลือกเอามาเล่าในตอนนี้ ในขณะที่ Bumblebee คือผู้ให้ความหวังกับชาลี ไนท์ก็คือผู้ให้ความหวังกับคนดูและแฟรนไชน์นี้
แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่รายได้เปิดตัวหนังนั้นย่ำแย่จนหวังคุ้มทุนยังยาก คงได้แต่ภาวนาว่าให้ไนท์ได้มีโอกาสทำต่อไป
[CR] Review Bumblebee
ติดตามรีวิว ข่าวสารหนังเก่า/ใหม่ ไทย/เทศ ซีรี่/แอนิเมชัน ได้ที่ Facebook เพจ Movie crazy
ภาคแยกเดี่ยวของหุ่นเหลืองที่คราวนี้มาในรูปของรถเต่าสีเหลือง ที่หนีจากสงครามล้างดาวไซเบอตรอนมายังโลกเพื่อรอวันรวมกำลังพลและชำระแค้น
ในขณะที่ตลอดทั้งแฟรนไชน์ของหนังสงครามหุ่นยนต์อย่าง Transformer ที่ปลุกปั้นขึ้นมาโดยเจ้าพ่อแห่งความเอะอะมะเทิ่ง ระเบิดภูเขาเผากระท่อมอย่างไมเคิลเบย์ แต่กลับมีเพียงภาคแรกเท่านั้นที่ทั้งทำเงินและเล่าเรื่องได้ดี สี่ภาคต่อมานั้นแม้จะยังพอมีรายได้ให้คุ้มทุนหรือกำไรแต่หนังก็โดนด่าเละเทะในแง่ของความพยายามที่จะแอคชันจนละทิ้งการเล่าเรื่องไปหมด พาหนังเขาสู่ยุคมืดจนคนดูอาจภาวนาให้เบย์ กลบฝังแฟรนไชน์นี้ไปเสียที
แล้วก็มีข่าวว่าจะทำภาคแยกบัมเบิ้ลบีนี้ขึ้นมา ความรู้สึกว่า “อีกแล้วเหรอ” ก็ตามมาทันที ยิ่งเมื่อเห็นตัวอย่างแล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิความไว้วางใจใดๆ
จนกระทั่งมีชื่อ ทราวิส ไนท์ มาให้ได้ยินในฐานะผู้กำกับ “เฮ้ย ได้เหรอ” คือความคิดแรก ความตื่นเต้นติดตามมาทันที เขาคือผู้กำกับที่อยู่ห่างไกลคำว่า “ระเบิดภูเขาเผากระท่อม” อย่างที่เบย์เป็นและทำกับหนังชุดนี้มาทั้ง 5 ภาค แต่เขาเป็นสายเล่าเรื่อง สายอินดี้ที่อยู่เบื้องหลังแอนิเมชันสตอปโมชันสายมืดไม่แคร์เด็กอย่าง Kubo and The Two Strings มันเลยน่าสนใจขึ้นมาทันทีว่าการขุดหนังหุ่นยนต์ตีกันที่กลบฝังตัวเองไปแล้วขึ้นมาอีกด้วยมือของชายผู้นี้จะไปในทิศทางไหน
และแล้วก็ไม่ผิดหวัง Bumblebee ของไนท์ ทำได้ดีทั้งการเล่าเรื่องและแอคชัน สองส่วนถ่วงน้ำหนักได้อย่างพอดี เรื่องราวในส่วนหลักอยู่ที่การข้ามผ่านอดีตของชาลี (แฮรี่ สแตนด์ฟิล) สาว 18 พ่อตาย แม่มีผัวใหม่ แถมบ้านจน โจทย์ของเธอดูจริงจังกว่าเด็กหนุ่มครอบครัวรักกันดีที่แค่ขี้แพ้และอยากได้รถอย่างแซม วิทวิกกี้มาก นั่นทำให้หนังมีน้ำหนัก มีอะไรให้คนดูติดตามและทำความเข้าใจ และแน่นอนมันมาตามสูตรว่า Bumblebee ของเรานั่นเองคือผู้ทำให้เธอข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายของชีวิตไปได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ประสบพบเจอไปด้วยกัน
ในบางเรื่องที่อ่อนไหว แต่หนักหน่วงรุนแรง บางเรื่องที่ประทัปรอยจำฝังแน่นจนเราไม่อาจลืมหรือก้าวผ่านมันไปและใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ เราอาจเพียงต้องการใครสักคน มือสักมือที่เข้าใจ และบททดสอบบางอย่างเพื่อนำพาเราไป
มุขในหนังเป็นมุขเก่าที่เราเคยเจอกันมาแล้วทั้งหมดแต่เรายังยิ้มตาม อินตาม ซึ้งตามได้เพราะมันมาถูกจังหวะเวลาของมัน ไนท์จัดวางส่วนต่างๆ ของเรื่องได้อย่างพอเหมาะพอดี การสร้างซีน (โดยเฉพาะการสร้างซีนปูของการไม่พร้อมข้ามผ่านแล้วกลับมาเก็บมันเมื่อถึงจังหวะเหมาะที่ตัวละครพร้อม) เรื่องราวการผูกสัมพันและเจอะเจออะไรไปด้วยกันของพวกเขาทำให้หนังมันมีชีวิต ชีวิตในแบบที่เป็นชีวิตจริงๆ ชีวิตธรรมดาๆ ที่เราคนดูเข้าถึงได้ง่าย และเมื่อเราเชื่อในมิตรภาพของพวกเขาแล้วหนังจึงเล่นกับความรู้สึกเราได้ง่ายๆ ในจังหวะคับขันของเรื่อง
น้องแฮรี่ สแตนด์ฟิลทำให้เราอินในปัญหาของเธอ ความไม่พร้อมที่จะไปต่อ และความสำคัญของ Bumblebee ในฐานะมือที่พาเธอข้ามสะพานของอดีต
ในขณะที่เสียงพากย์ของปัญ BNK48 คือความเลวร้ายที่ดึงเราออกจากเรื่องราวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเธอ เป็นอีกครั้งที่ยืนยันได้ว่าไม่ควรเอาคนดังมาพากย์หนัง ทั้งที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการสื่อสารอารมณ์ทางเสียง เสียงของปัญคือความน่าหงุดหงิดที่สุดตลอดเวลาที่หนังฉาย
แน่นอนว่าหนังมันยังมีจุดมีรูอยู่ไม่น้อยแต่ด้วยความกลมกล่อมของการเล่ามันทำให้เรามองข้ามได้ หรือบางจุดมันก็จำเป็นต้องมองข้ามเพื่อสร้างซีนอารมณ์ของตัวละครให้คนดูได้รู้สึกตาม (เป็นต้นว่าเครื่องส่งสัญญาณที่ดีเซปติคอนเอาไปติดบนเสาสูง Bumblebee หรือกองทหารมนุษย์สามารถส่งเครื่องบินมาระเบิดทิ้งทั้งเสาแล้วจบได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะไม่มีซีนร่วมกันสู้ของชาลีและบัมเบิ้ลบี)
โดยรวมประทัปใจกับทิศทางที่ไนท์เลือกเอามาเล่าในตอนนี้ ในขณะที่ Bumblebee คือผู้ให้ความหวังกับชาลี ไนท์ก็คือผู้ให้ความหวังกับคนดูและแฟรนไชน์นี้
แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่รายได้เปิดตัวหนังนั้นย่ำแย่จนหวังคุ้มทุนยังยาก คงได้แต่ภาวนาว่าให้ไนท์ได้มีโอกาสทำต่อไป
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้