คนทรยศ 1/2

กระทู้สนทนา
ตอนก่อนหน้า
https://ppantip.com/topic/38367530

คนทรยศ


โดย... ล. วิลิศมาหรา

อันเดรหิ้วกระเป๋าเอกสารเดินเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ มุ่งตรงสู่ประตูทำเนียบรัฐบาลของท่านผู้นำ บรรยากาศใกล้ค่ำต้นฤดูหนาวมีหิมะโปรยปรายลงมาเป็นละอองฝอย อากาศหนาวเหน็บเข้าไปกัดกินถึงในกระดูก ทว่าใบหน้าของชายผิวเผือกยังคงยิ้มกริ่มเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เขายกมือขึ้นลูบคลำหน้าอกที่พองโตคับแน่นอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวหนา แหงนหน้ามองริ้วธงสัญลักษณ์ของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเข้ายึดครองประเทศนี้มานานหลายปีบนยอดตึก มันโบกสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลมพัดราวยินดีปรีดากับชัยชนะที่เจ้าอาณานิคมมีต่อกบฏกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่...

มันเป็นเวลาที่เขาเฝ้ารอมาช้านาน หลังเพียรพยายามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์อดทน สุดท้ายก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจสำคัญ ซึ่งก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ต่อไปนี้จะไม่มีใครหน้าไหนหาญกล้ามาตอแยกับอำนาจเด็ดขาดของท่านผู้นำอีก ซิมโบและพรรคพวกทั้งหมดถูกจับตัวได้ในวันนั้น คนหน้าโง่กลุ่มนั้นถูกพิจารณาโทษภายในเวลาไม่ทันข้ามวัน เสร็จแล้วก็ถูกลากตัวไปยิงเป้าทิ้งในวันถัดมา

ในห้องพิจารณาคดี อันเดรยังจำนัยน์ตาสีฟ้าที่มองเขม็งมาของหนุ่มรุ่นน้องได้ดี ริมฝีปากใต้หนวดเคราครึ้มขมุบขมิบไปมา แม้ไม่ได้ยินเสียงพูด แต่เขาก็รู้ว่าซิมโบกำลังพูดอะไรกับเขา...

ซิมโบเอ๋ย เจ้าคนโง่ผู้น่าสงสาร...มีแต่คนโง่เท่านั้นที่บังอาจแข็งข้อกับอำนาจบนปลายกระบอกปืนของท่านนายพลผู้เหี้ยมโหดอย่างเปโตรได้ ปลาเล็กย่อมตกเป็นอาหารของปลาใหญ่ ประเทศกระจ้อยร่อยนี้กำลังจะถูกกลืนชาติโดยจักรวรรดิมหาอำนาจอยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้

หญิงสาวถูกบังคับทางอ้อมให้แต่งงานกับผู้ชายจากจักรวรรดิ หากยอมทำตามก็จะได้รับผลตอบแทนมากมาย ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าทำคลอด รวมไปถึงค่าเล่าเรียนของลูกๆ ทุกคน แต่ถ้าหากดื้อดึงแต่งงานกับคนชาติเดียวกัน สามีภรรยาคู่นั้นก็จะถูกเรียกเก็บภาษียิบย่อยจนเงินที่หามาได้แทบจะไม่พอกิน ตำรับตำราในห้องเรียนของเด็กๆ เริ่มถูกเปลี่ยน เด็กถูกสอนให้อ่านเขียนด้วยภาษาของจักรวรรดิ และยังใช้เป็นภาษาราชการของประเทศนี้อีกด้วย

คืนนี้ตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างอันเดรได้รับเชิญให้มาประดับเหรียญตราบนหน้าอกเพิ่มจากมือของท่านผู้นำเอง นับเป็นเหรียญตรายอดปรารถนาของตำรวจระดับล่างอย่างเขา พร้อมกับจะได้ร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันชาติ เคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าบุคคลสำคัญในรัฐบาล ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นงานฉลองความสำเร็จของท่านผู้นำต่างหาก

“หวัดดีพรรคพวก”

อันเดรยิ้มให้ทหารยามหน้าประตูสองคนที่รู้จักกันกับเขาดี ชื่อเสียงของตำรวจผิวเผือกโด่งดังเป็นพลุแตก ในฐานะคนวางแผนจับกบฏมาได้ทั้งก๊กคราวนี้

“ในนั้นอะไรครับ” ทหารยามยิ้มตอบพลางชี้ไปที่สัมภาระของอันเดร เขาจึงเปิดกระเป๋าออก เผยให้เห็นข้างในอัดแน่นไปด้วยขวดเล็กๆ บรรจุน้ำสีสวยหลากสีสัน

“ของฝากจากนาตาชา เธอฝากมาให้เป็นของขวัญแก่แขกทุกคนในงานเลี้ยง นายจะลองหน่อยไหม”

เขาหยิบขวดในนั้นส่งให้ทหารยามทั้งคู่ ซึ่งก็รับมาเปิดออกสูดดมดูด้วยสีหน้าพอใจ มันเป็นน้ำหอมปรุงพิเศษจากฝีมือของนาตาขา ภรรยานางแบบผู้พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างของอันเดร เขากระตุกยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงตอนจะจากเธอมา นาตาชากอดเขาแน่นราวกับจะจากกันไปไหนไกลก็ไม่ปาน...แม่เสือสาวขี้อ้อน

“ขอให้สนุก โชคดีครับ” ทหารหน้าประตูเปิดทางให้ อันเดรพยักหน้า ยกนิ้วโป้งให้กับคำอวยพรของพวกเขาก่อนหิ้วกระเป๋าผ่านประตูเข้าไป

ในห้องจัดงานเริ่มมีแขกมาบ้างแล้ว อันเดรเลือกมุมเหมาะวางกระเป๋าเอกสารลงบนเก้าอี้ โปรยยิ้มให้แขกในงานพลางจัดแจงถอดเสื้อโค้ทออกจากชุดเครื่องแบบเต็มยศ เพื่อเตรียมตัวขึ้นไปประดับเหรียญกล้าหาญกับท่านนายพลผู้ยิ่งใหญ่ ข้อดีที่สุดของผู้นำต่างชาติคนนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องให้ความสำคัญกับลูกน้องของตัวเองเสมอ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน หากทำให้เขาพอใจได้ ก็มักถูกยกย่องชื่นชมจากผู้นำสูงสุดของตนเอง

ชายผิวเผือกหยิบแก้วแชมเปญจากถาดบริกรยกขึ้นชูให้กับชายหญิงที่เดินผ่านไปมา เหลือบสายตามองเวลาจากนาฬิกาบนข้อมือ อีกไม่นานท่านผู้นำจะออกมากล่าวสุนทรพจน์บนชานพักบันไดขึ้นสู่ชั้นสองของทำเนียบ ซึ่งที่นั่นอันเดรจะได้รับการประดับเหรียญตราจากมือของท่านนายพล

และแล้วเวลานั้นก็มาถึง แขกทุกคนในงานทำความเคารพชายสูงวัยผิวคล้ำร่างเตี้ย ผู้ปรากฏกายขึ้นที่ชานพักบันได ไม่น่าเชื่อว่าชายแก่ท่าทางใจดีคนนี้ คือคนเดียวกับที่บงการฆ่าล้างครัวประชาชนมานักต่อนักแล้วอย่างอำมหิต

อันเดรยืนฟังท่านผู้นำกล่าวอะไรต่อมิอะไรยืดยาว ฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง เพราะความคิดล่องลอยไปสู่พิธีประดับเหรียญให้กับตัวเขาเองท่ามกลางสายตาเป็นร้อยคู่ในงาน

“เชิญคุณอันเดรขึ้นมารับเหรียญกล้าหาญ”

เสียงโฆษกสาวสวยกล่าวเชิญ ตำรวจผิวเผือกเป่าลมพรูออกจากปาก เวลาที่รอคอยได้มาถึงเสียที เขาก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มแขกในงาน เดินขึ้นไปหาท่านนายพลที่ยืนรออยู่ ใบหน้าชรายิ้มให้เขา นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองอย่างสำรวจ เป็นครั้งแรกที่อันเดรได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับท่านผู้นำแบบใกล้ชิดจึงอดประหม่าไม่ได้ แต่แล้วเขาก็ควบคุมตัวเองให้ผ่อนคลายลงได้ในไม่ช้า

อันเดรทำความเคารพอีกครั้ง ก่อนยืดอกให้ตัวตั้งตรง ขณะนายพลเปโตรกำลังบรรจงประดับเหรียญให้

“ขอบคุณมากคุณอันเดร ที่ช่วยเราจับผู้ร้ายพวกนั้นได้ทั้งหมด” ท่านผู้นำกล่าวหลังประดับเหรียญให้เขาเสร็จ

“ถือเป็นเกียรติสำหรับผมอย่างยิ่งครับ ที่ได้รับใช้ท่าน”

“ซิมโบเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ ตามจับตัวยากมาก นึกไม่ถึงจะจับมันได้ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ คุณทำยังไงให้พวกนั้นยอมบอกที่ซ่อนตัวซิมโบกับคุณ”

“ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ พวกนั้นยังเด็ก เลือดร้อนมุทะลุ พวกเขาเห็นโลกมาน้อยกว่าผมและไม่เข้าใจชีวิตดีพอ แต่มีบางคนในกลุ่มเห็นสัจธรรมข้อนี้ ก็เลยกลับใจมาสวามิภักดิ์กับจักรวรรดิ...เท่านั้นเองครับ”

“อืม...คุณทำให้ผมโล่งใจมาก เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว ผมขอเชิดชูวีรกรรมของคุณต่อทุกคนในคืนนี้” นายพลชราหัวร่อร่าพลางตบบ่าอันเดรเบาๆ

“นับเป็นความเมตตาต่อผมครับท่าน”

ชายผิวเผือกค้อมตัวทำความเคารพท่านผู้นำอย่างนอบน้อมอีกครั้ง แต่ฉับพลันนั้นเอง เขาก็โผเข้าสวมกอดชายตรงหน้าไว้แน่นพร้อมตะโกนลั่น

“เอาเลย...”

สิ้นเสียงของเขาเสียงระเบิดก็ดังกึกก้องกัมปนาทขึ้น เศษชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ถูกฉีกขาดจากแรงระเบิดกระเด็นกระดอนตกเกลื่อนพื้น

ตูมมมม!!!!

วินาทีถัดมากระเป๋าเอกสารของอันเดรที่วางบนเก้าอี้ตัวหนึ่งก็ระเบิดตูมขึ้นในห้องโถงจัดเลี้ยง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวติดต่อกันหลายครั้ง เศษอิฐเศษปูนปลิวว่อนตกใส่ผู้คนที่แตกตื่นวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกจากตัวตึกอย่างสับสนอลหม่าน เสียงระเบิดกัมปนาทขึ้นอีกครั้งก่อนแสงไฟจะพลุ่งขึ้นในตัวทำเนียบจนโชติช่วงแดงฉาน ตัดกับท้องฟ้าสีเทาเข้มของคืนเดือนมืดอย่างน่าสะพรึงกลัว เสียงสัญญาณแจ้งเหตุร้ายดังไปทั่ว ผสานกับเสียงไซเรนของรถกู้ภัยและรถตำรวจ

นอกรั้วทำเนียบ เด็กหนุ่มส่งหนังสือพิมพ์ปั่นจักรยานออกไปจากที่นั่นทันทีหลังกดระเบิดเสร็จ เขารีบส่งข่าวบอกให้พรรคพวกรู้ถึงภารกิจวางระเบิดพลีชีพของหัวหน้าอันเดร ว่าประสบความสำเร็จลงด้วยดีผ่านวีดีโอคอลของนาฬิกาบนข้อมือซ้าย มันคือเครื่องมือสื่อสารระหว่างเขากับอันเดรก่อนหน้านั้นด้วย

“เราจะเคลื่อนพลไปภูเขาเดมอน ตามคำสั่งของหัวหน้าซิมโบกับหัวหน้าอันเดร ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยด้วย”

ชายคนขับรถบรรทุกบอกผ่านนาฬิกาข้อมือของเขาแก่เด็กหนุ่มบนอานจักรยาน ขณะแล่นรถบรรทุกรี้พลหลายชีวิตขับตะบึงลงไปทางใต้ มุ่งสู่พื้นที่ชายแดนอันแร้นแค้นและแห้งแล้ง เต็มไปด้วยหุบเขาและทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ยากแก่การบุกเข้าโจมตีของทหารจากจักรวรรดิ ต่างจากทางเหนือที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ลิบลับ

คงมีแต่คนโง่เท่านั้นถึงยอมไปอยู่ในพื้นที่แสนลำบากเพื่อรอคอยวันปฏิบัติการ ลุกฮือขึ้นต่อต้านขับไล่โจรต่างชาติที่เข้ามากลืนชาติของตัวเอง...ใช่ คงมีแต่คนโง่อย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะทำภารกิจปลดแอกประเทศนี้จากจักรวรรดิอันชั่วร้ายได้สำเร็จ


จบบริบูรณ์
โปรดติดตามคนทรยศคนต่อไปในอีกไม่นานนี้ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่