หลายต่อหลายครั้ง ในวันที่ท้องฟ้าของแฟนผีกำลังจะกลายเป็นสีเทา แต่ก็พลันสว่างวาบเพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เหมือนเพลงแปลงที่แฟนๆ แหกปากตะโกนเชียร์เขา
You make me happy when skies are grey
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนัดชิงเจ้ายุโรปเมื่อค่ำคืน 26 พฤษภาคม 1999 ที่ผมเชื่อว่า แฟนผีคงไม่มีวันลืมเลือนได้
ผมเคยอ่านพบบทสัมภาษณ์ให้หลังมาหลายปีว่า การพุ่งสไลด์ไปกับพื้นเพื่อฉลองประตูชัยเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ที่ คัมป์ นู เมื่อครั้งกระโน้น ทำให้หัวเข่าของเขาไม่เหมือนเดิมอีกเลย
โซลชา เจ็บออดๆ แอดๆ แต่ก็ยังยิงประตูสำคัญๆ ให้ ยูไนเต็ด เสมอ รวมไปถึงการระเบิดสองดอกใส่ นิวคาสเซิ่ล ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเดือนตุลาคม 2006 หลังโดนอาการบาดเจ็บหัวเข่าเกาะกินนานถึงสามปี ซึ่งบีบให้เขาจำต้องยอมอำลาสนามในอีก 10 เดือนถัดมา พร้อมสถิติพิฆาต 126 เม็ดจาก 366 นัด
หลังแขวนสตั๊ดแล้ว เจ้าของฉายา "เพชฌฆาตหน้าทารก" ก็ผันตัวเองมาเป็นโค้ชให้ "ปีศาจแดง" ตามคำชวนของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
"ครับ เจ้านาย" คือคำตอบของเขา
มันคือคำพูดที่ โซลชา มอบกลับไปให้คนที่เขาเรียกว่า "geffer" (เจ้านาย) เสมอ ไม่ว่าจะถูกบัญชาให้ทำอะไร
ทั้ง สำรองนะวันนี้, เล่นตัวจริงนะ, ลงไปยืนฝั่งขวา, ลงไปช่วยเกมรับ, ยืนตรงนั้น, ยืนตรงนี้ และ ฯลฯ
น่าจะมีเพียงหนเดียวที่ โซลชา กล้าๆ พูดคำว่า "ไม่" กับ เฟอร์กูสัน คือตอนที่เขาถูกแจ้งให้ทราบว่า สามารถย้ายทีมได้
"นักเตะบางคนเห็นแก่ตัวจนเกินไป และเอาแต่คิดมากตอนไม่ได้เป็นตัวจริง แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ผมรู้สึกพิเศษเสมอที่ได้ประกอบอาชีพนี้ การได้นั่งดูเกมข้างสนามติดกับผู้จัดการทีมมันดีออกจะตายไป ผมคิดว่า ผมได้เปรียบจากการนั่งดูเกม และคิดเรื่องแท็กติก แต่สิ่งสำคัญคือ สภาพจิตใจที่พร้อมเสมอ
เมื่อผมตัดสินใจอยู่กับ ยูไนเต็ด ต่อไป เท่ากับว่า ผมมอบชีวิตให้เจ้านาย ผมต้องทำในสิ่งที่เขาต้องการให้ผมทำ และผมพร้อมเสมอ ขณะที่นักเตะคนอื่นๆ อาจไม่คิดแบบนี้" โซลชา เคยหล่นคำสัมภาษณ์เอาไว้
หลังจากเซย์เยสรับคำชวนของ "ป๋า" แล้ว "OGS" ก็เริ่มต้นถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆ ในฐานะโค้ชกองหน้าทีมชุดใหญ่ ก่อนผลงานจะเข้าตากระทั่งได้รับมอบหมายให้คุมทีมสำรองของ ยูไนเต็ด ในปี 2008
"ผมแขวนสตั๊ด จากนั้นอีกแค่ 30 วินาทีผมก็ได้งานใหม่แล้ว" เขาเคยเล่าด้วยหน้าเปื้อนยิ้มถึงตอนรับคำชวนชองเจ้านาย
โซลชา มีความสุขกับการทำงานร่วมกับเด็กๆ และสามารถนำทีมกุมารผีคว้าถ้วย แลงคาเชียร์ ซีเนียร์ คัพ 2007-08 ได้สำเร็จ ด้วยการปราบ ลิเวอร์พูล สุดมันส์ 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศ
จากนั้น ปี 2010 มีโทรฟี่ แมนเชสเตอร์ ซีเนียร์ คัพ ตามมาสมทบในตู้โชว์อีกใบ
หลังเห็นผลงาน ทีมชาตินอร์เวย์ พยายามจะจีบให้เขาไปคุมทัพ แต่ โซลชา บอกปัดนิ่มๆ ด้วยเหตุผลว่ายังไม่พร้อม ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้านไปรับงานคุม โมลด์ เมื่อปี 2010
การทำงานด้วยรักเก่าในบ้านเกิด สร้างอิมแพ็กต์ได้เหลือเชื่อ เพราะ โซลชา สามารถนำ โมลด์ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดนอร์เวย์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเมื่อ 100 ปีที่แล้ว แม้ช่วงออกสตาร์ทจะนำทีมเก็บชัยได้แค่นัดเดียวจากสี่เกมแรก
เขายอมรับต่อมาว่า ในการปลุกปั้นทีมบ้านเกิดในเมืองเล็กๆ ที่วางบนชายฝั่งตะวันตกของนอร์เวย์ ตัวเองได้ใช้ยุทธวิธีของ "เฟอร์กี้" หลายอย่าง
โซลชา เคยเรียกลูกทีมเข้าเปิดไดร์เป่าผมใส่ในห้องแต่งตัวหลังถูก เฮาเกซุนด์ ถล่ม 5-0 ก่อนจะประกาศว่า "สิ่งที่ผมอยากบอกกับพวกคุณคือ ขอให้พวกคุณเอาเงินมาให้หมด และเอาเงินทั้งหมดมาวางเดิมพันว่า เราจะเป็นแชมป์ลีกให้ได้ เพราะเราจะทำได้แน่นอน ที่สำคัญอัตราต่อรองช่วงนี้จ่ายงามซะด้วย"
แล้ว โมลด์ ก็ทำได้สำเร็จจริงๆ ในบั้นปลาย แถมยังสามารถป้องกันมงกุฏแชมป์ได้อีกในฤดูกาลถัดมา
การยั่วแนวๆ นี้ คือแท็กติกในห้องแต่งตัวที่ "เฟอร์กี้" เคยใช้ปลุกเร้าลูกทีม หลังโดน นิวคาสเซิ่ล ถลุง 5-0 ต่อด้วยการถูก เซาธ์แฮมป์ตัน รัว 6-3 ก่อน "ปีศาจแดง" ฮึดกลับมาคว้าแชมป์ไปครองได้เมื่อฤดูกาล 1996-97
จริงๆ แล้ว การเป็นโค้ช คือสิ่งที่ โชลชา ฝันถึงมาตลอดเลยนะครับ ตั้งแต่ที่เริ่มสัมผัสงานนี้เบาๆ ตอนอายุ 10 ขวบ
ครับ, 10 ขวบจริงๆ
โซลชา เคยทำหน้าที่ดูแลเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันให้เล่นฟุตบอลอย่างมีระบบระเบียบบนถนนสายเล็กๆ ที่พาดยาวกลางเมือง คริสเตียนซุนด์ ในบ้านเกิด
"ความเป็นผู้จัดการทีมอยู่ในตัวผมเสมอ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมจดลงสมุดบันทึกว่า เราทำอะไรบ้างในการซ้อมแต่ละมื้อ สมัยที่ยังเป็นนักเตะ ผมชอบจดวิธีการกระตุ้นผู้เล่นด้วยเช่นกัน ผมเองก็เคยประสบวิกฤติความมั่นใจ และผมก็ยังเคยจดว่า ผมมีปฏิกริยาอย่างไรบ้างตอนที่ รอย คีน ตะคอกใส่หน้าผม อย่างตอนที่ผมพลาดโอกาสทอง ผมก็ยิ่งตื่นตัวว่า ตอนนั้น ผมคิดอะไรอยู่"
"ท้ายที่สุด มันเป็นไดอารี่ที่บันทึกว่า ผู้จัดการทีมพูดอะไรกับเรา และรายละเอียดในการประชุมแท็กติก มีโน๊ตอยู่หลายอย่าง ทุกวันนี้ ผมยังกลับไปอ่านมันอยู่ แต่ไม่ต้องเปิดหนังสือหรอก ทุกอย่างอยู่ในหัวผมหมดแล้ว"
แม้ต่อมา จะมีรอยด่างบนประวัติการทำงานของเขาที่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เพราะอยู่บนเก้าอี้กุนซือได้แค่ 259 วันหลังรับจ๊อบเมื่อปี 2014 แต่หนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ โซลชา ถูกเลือกให้ปฏิบัติภารกิจล่าสุดที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด น่าจะมาจากการที่เขา มีสายเลือด "ปีศาจแดง" แบบเจ้มจ้น
มันคือสิ่งที่ เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล หรือกระทั่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่มี
คุณภาพนักเตะ ยูไนเต็ด ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ปัญหาใหญ่คือดันไม่เพอร์ฟอร์ม จึงจำเป็นต้องมีใครสักคนมากระตุ้น
และคนนั้นที่สโมสรเลือกคือ ตำนานสโมสรผู้จงรักภักดีตลอดระยะเวลา 15 ปีจนทุกวันนี้สปีกอิงลิชติดสำเนียงแมนคูเนี่ยนได้ปร๋อ แถมเคยสังหารประตูสำคัญลูกแล้วลูกเล่าให้แฟนผีได้เริงร่า
สปิริตในทีม บรรยากาศต่างๆ จากที่เคยหม่นหมองจากยุค มูรินโญ่ น่าจะสดใสขึ้น ส่วนเรื่องแท็กติก ไมค์ ฟีแลน อดีตมือขวาผู้เคยใกล้ชิดกับ "ป๋า" ก็น่าจะเป็นเพื่อนคู่คิดที่ไม่เลวนัก
ที่สำคัญ ความที่เคยเป็นคนของ ยูไนเต็ด มานานนมตั้งแต่ย้านมาตอนหน้าเด้งด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ น่าจะรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมของการเล่นฟุตบอลแบบ "เร้ด เดวิลส์" เป็นอย่างดี
ผมชอบตอนที่ โซลชา ตอบคำถามนักข่าวไวกิ้งที่โยงเขากับงานคุมทีมใน "โรงละครแห่งความฝัน" หลังนำ โมลด์ คว้าแชมป์ลีกนอร์เวย์ได้เป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษ
"ผู้จัดการทีมทุกคน คงใฝ่ฝันที่จะได้งานคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากผมได้รับข้อเสนอ ผมก็คงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดมาก แต่มันไม่ได้อยู่ในแผนการหรือความฝันบ้าๆ ของผมเลยในตอนนี้ หากย้อนไปเมื่อปีก่อน ผมไม่คิดว่า จะมีใครพูดเรื่องผมจะไปคุม ยูไนเต็ด จริงๆ แต่ทุกๆ คนสามารถฝันกันได้ ความฝันนั้นมันอาจใหญ่สำหรับผมในเวลานี้ แต่หากมันเกิดขึ้นจริง ผมก็คงมีอะไรให้ทำเต็มไปหมด"
วันนี้ โอกาสของเขามาถึงแล้วนะครับ
และอย่างที่ โซลชา พูดไว้ราวกับมองเห็นอนาคต... เขามีอะไรให้ทำเต็มไปหมดจริงๆ
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อมั่นว่า หนุ่มแกร่งวัย 45 จากนอร์เวย์ จะตั้งใจทำมันอย่างสุดความสามารถ แม้ข้อสัญญาจะระบุไว้ว่าเป็นการทำงานแค่ขัดตาทัพถึงสิ้นฤดูกาลก็ตาม
กระนั้น หากคุณหวังให้เขาทำทุกอย่างเป๊ะๆ เหมือนที่ "เฟอร์กี้" ทำ ก็คงไม่ใช่ หากตีความจากถ้อยคำที่เขาเคยเอ่ยไว้หลายปีก่อน
"ผมพยายามทำในแบบของผม ผมไม่สามารถลอกเลียนแบบใครได้หรอก สมัยเป็นนักเตะ ผมไม่เคยเป็น ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, เอริก คันโตน่า หรือ รอย คีน แต่ผมอาจเอาเลือดนักสู้แบบ เดวิด มาใช้ หรือชั้นเชิงแบบ เอริก มาช่วยพัฒนาตัวเองบ้าง เหมือนกับเจ้านาย เขามีวิธีการที่เหมาะกับผม แต่อาจไม่เวิร์กกับคนอื่นก็ได้ ส่วนผมเอง ก็พยายามทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีมในแบบตัวเอง ผมไม่ได้นึกถึงเงิน ชื่อเสียง ความสำเร็จ แต่ผมอยากสนุกกับงานนี้จริงๆ"
นาทีนี้ ผลงานทีมจะเป็นอย่างไร อาจไม่สลักสำคัญสำหรับแฟนผี เท่ากับการเอาตัวตนที่แท้ทรูของ ยูไนเต็ด กลับคืนมาให้ได้ก่อน หลังจากสูญเสียอัตลักษณ์ไปนับตั้งแต่ "ป๋า" ล้างมือ
ทำ ยูไนเต็ด ให้เป็น ยูไนเต็ด ด้วยวิถีแบบ ยูไนเต็ด
ขอให้ โซลชา สนุกกับงานนี้นะครับ
เครดิต - เว็บสยามสปอร์ต
ผู้เขียน - เปาผี
** ส่วนตัวมองว่า เปาผี -เขียนบทความนี้ จากหัวใจผู้ขายวิญญาณให้ปีศาจแดง
ได้ดีทีเดียว
### Ole Gunnar Solskjær.....ชายผู้สร้างความสุขในวันฟ้าหม่น ####
You make me happy when skies are grey
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนัดชิงเจ้ายุโรปเมื่อค่ำคืน 26 พฤษภาคม 1999 ที่ผมเชื่อว่า แฟนผีคงไม่มีวันลืมเลือนได้
ผมเคยอ่านพบบทสัมภาษณ์ให้หลังมาหลายปีว่า การพุ่งสไลด์ไปกับพื้นเพื่อฉลองประตูชัยเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ที่ คัมป์ นู เมื่อครั้งกระโน้น ทำให้หัวเข่าของเขาไม่เหมือนเดิมอีกเลย
โซลชา เจ็บออดๆ แอดๆ แต่ก็ยังยิงประตูสำคัญๆ ให้ ยูไนเต็ด เสมอ รวมไปถึงการระเบิดสองดอกใส่ นิวคาสเซิ่ล ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเดือนตุลาคม 2006 หลังโดนอาการบาดเจ็บหัวเข่าเกาะกินนานถึงสามปี ซึ่งบีบให้เขาจำต้องยอมอำลาสนามในอีก 10 เดือนถัดมา พร้อมสถิติพิฆาต 126 เม็ดจาก 366 นัด
หลังแขวนสตั๊ดแล้ว เจ้าของฉายา "เพชฌฆาตหน้าทารก" ก็ผันตัวเองมาเป็นโค้ชให้ "ปีศาจแดง" ตามคำชวนของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
"ครับ เจ้านาย" คือคำตอบของเขา
มันคือคำพูดที่ โซลชา มอบกลับไปให้คนที่เขาเรียกว่า "geffer" (เจ้านาย) เสมอ ไม่ว่าจะถูกบัญชาให้ทำอะไร
ทั้ง สำรองนะวันนี้, เล่นตัวจริงนะ, ลงไปยืนฝั่งขวา, ลงไปช่วยเกมรับ, ยืนตรงนั้น, ยืนตรงนี้ และ ฯลฯ
น่าจะมีเพียงหนเดียวที่ โซลชา กล้าๆ พูดคำว่า "ไม่" กับ เฟอร์กูสัน คือตอนที่เขาถูกแจ้งให้ทราบว่า สามารถย้ายทีมได้
"นักเตะบางคนเห็นแก่ตัวจนเกินไป และเอาแต่คิดมากตอนไม่ได้เป็นตัวจริง แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ผมรู้สึกพิเศษเสมอที่ได้ประกอบอาชีพนี้ การได้นั่งดูเกมข้างสนามติดกับผู้จัดการทีมมันดีออกจะตายไป ผมคิดว่า ผมได้เปรียบจากการนั่งดูเกม และคิดเรื่องแท็กติก แต่สิ่งสำคัญคือ สภาพจิตใจที่พร้อมเสมอ
เมื่อผมตัดสินใจอยู่กับ ยูไนเต็ด ต่อไป เท่ากับว่า ผมมอบชีวิตให้เจ้านาย ผมต้องทำในสิ่งที่เขาต้องการให้ผมทำ และผมพร้อมเสมอ ขณะที่นักเตะคนอื่นๆ อาจไม่คิดแบบนี้" โซลชา เคยหล่นคำสัมภาษณ์เอาไว้
หลังจากเซย์เยสรับคำชวนของ "ป๋า" แล้ว "OGS" ก็เริ่มต้นถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆ ในฐานะโค้ชกองหน้าทีมชุดใหญ่ ก่อนผลงานจะเข้าตากระทั่งได้รับมอบหมายให้คุมทีมสำรองของ ยูไนเต็ด ในปี 2008
"ผมแขวนสตั๊ด จากนั้นอีกแค่ 30 วินาทีผมก็ได้งานใหม่แล้ว" เขาเคยเล่าด้วยหน้าเปื้อนยิ้มถึงตอนรับคำชวนชองเจ้านาย
โซลชา มีความสุขกับการทำงานร่วมกับเด็กๆ และสามารถนำทีมกุมารผีคว้าถ้วย แลงคาเชียร์ ซีเนียร์ คัพ 2007-08 ได้สำเร็จ ด้วยการปราบ ลิเวอร์พูล สุดมันส์ 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศ
จากนั้น ปี 2010 มีโทรฟี่ แมนเชสเตอร์ ซีเนียร์ คัพ ตามมาสมทบในตู้โชว์อีกใบ
หลังเห็นผลงาน ทีมชาตินอร์เวย์ พยายามจะจีบให้เขาไปคุมทัพ แต่ โซลชา บอกปัดนิ่มๆ ด้วยเหตุผลว่ายังไม่พร้อม ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้านไปรับงานคุม โมลด์ เมื่อปี 2010
การทำงานด้วยรักเก่าในบ้านเกิด สร้างอิมแพ็กต์ได้เหลือเชื่อ เพราะ โซลชา สามารถนำ โมลด์ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดนอร์เวย์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเมื่อ 100 ปีที่แล้ว แม้ช่วงออกสตาร์ทจะนำทีมเก็บชัยได้แค่นัดเดียวจากสี่เกมแรก
เขายอมรับต่อมาว่า ในการปลุกปั้นทีมบ้านเกิดในเมืองเล็กๆ ที่วางบนชายฝั่งตะวันตกของนอร์เวย์ ตัวเองได้ใช้ยุทธวิธีของ "เฟอร์กี้" หลายอย่าง
โซลชา เคยเรียกลูกทีมเข้าเปิดไดร์เป่าผมใส่ในห้องแต่งตัวหลังถูก เฮาเกซุนด์ ถล่ม 5-0 ก่อนจะประกาศว่า "สิ่งที่ผมอยากบอกกับพวกคุณคือ ขอให้พวกคุณเอาเงินมาให้หมด และเอาเงินทั้งหมดมาวางเดิมพันว่า เราจะเป็นแชมป์ลีกให้ได้ เพราะเราจะทำได้แน่นอน ที่สำคัญอัตราต่อรองช่วงนี้จ่ายงามซะด้วย"
แล้ว โมลด์ ก็ทำได้สำเร็จจริงๆ ในบั้นปลาย แถมยังสามารถป้องกันมงกุฏแชมป์ได้อีกในฤดูกาลถัดมา
การยั่วแนวๆ นี้ คือแท็กติกในห้องแต่งตัวที่ "เฟอร์กี้" เคยใช้ปลุกเร้าลูกทีม หลังโดน นิวคาสเซิ่ล ถลุง 5-0 ต่อด้วยการถูก เซาธ์แฮมป์ตัน รัว 6-3 ก่อน "ปีศาจแดง" ฮึดกลับมาคว้าแชมป์ไปครองได้เมื่อฤดูกาล 1996-97
จริงๆ แล้ว การเป็นโค้ช คือสิ่งที่ โชลชา ฝันถึงมาตลอดเลยนะครับ ตั้งแต่ที่เริ่มสัมผัสงานนี้เบาๆ ตอนอายุ 10 ขวบ
ครับ, 10 ขวบจริงๆ
โซลชา เคยทำหน้าที่ดูแลเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันให้เล่นฟุตบอลอย่างมีระบบระเบียบบนถนนสายเล็กๆ ที่พาดยาวกลางเมือง คริสเตียนซุนด์ ในบ้านเกิด
"ความเป็นผู้จัดการทีมอยู่ในตัวผมเสมอ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมจดลงสมุดบันทึกว่า เราทำอะไรบ้างในการซ้อมแต่ละมื้อ สมัยที่ยังเป็นนักเตะ ผมชอบจดวิธีการกระตุ้นผู้เล่นด้วยเช่นกัน ผมเองก็เคยประสบวิกฤติความมั่นใจ และผมก็ยังเคยจดว่า ผมมีปฏิกริยาอย่างไรบ้างตอนที่ รอย คีน ตะคอกใส่หน้าผม อย่างตอนที่ผมพลาดโอกาสทอง ผมก็ยิ่งตื่นตัวว่า ตอนนั้น ผมคิดอะไรอยู่"
"ท้ายที่สุด มันเป็นไดอารี่ที่บันทึกว่า ผู้จัดการทีมพูดอะไรกับเรา และรายละเอียดในการประชุมแท็กติก มีโน๊ตอยู่หลายอย่าง ทุกวันนี้ ผมยังกลับไปอ่านมันอยู่ แต่ไม่ต้องเปิดหนังสือหรอก ทุกอย่างอยู่ในหัวผมหมดแล้ว"
แม้ต่อมา จะมีรอยด่างบนประวัติการทำงานของเขาที่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เพราะอยู่บนเก้าอี้กุนซือได้แค่ 259 วันหลังรับจ๊อบเมื่อปี 2014 แต่หนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ โซลชา ถูกเลือกให้ปฏิบัติภารกิจล่าสุดที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด น่าจะมาจากการที่เขา มีสายเลือด "ปีศาจแดง" แบบเจ้มจ้น
มันคือสิ่งที่ เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล หรือกระทั่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่มี
คุณภาพนักเตะ ยูไนเต็ด ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ปัญหาใหญ่คือดันไม่เพอร์ฟอร์ม จึงจำเป็นต้องมีใครสักคนมากระตุ้น
และคนนั้นที่สโมสรเลือกคือ ตำนานสโมสรผู้จงรักภักดีตลอดระยะเวลา 15 ปีจนทุกวันนี้สปีกอิงลิชติดสำเนียงแมนคูเนี่ยนได้ปร๋อ แถมเคยสังหารประตูสำคัญลูกแล้วลูกเล่าให้แฟนผีได้เริงร่า
สปิริตในทีม บรรยากาศต่างๆ จากที่เคยหม่นหมองจากยุค มูรินโญ่ น่าจะสดใสขึ้น ส่วนเรื่องแท็กติก ไมค์ ฟีแลน อดีตมือขวาผู้เคยใกล้ชิดกับ "ป๋า" ก็น่าจะเป็นเพื่อนคู่คิดที่ไม่เลวนัก
ที่สำคัญ ความที่เคยเป็นคนของ ยูไนเต็ด มานานนมตั้งแต่ย้านมาตอนหน้าเด้งด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ น่าจะรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมของการเล่นฟุตบอลแบบ "เร้ด เดวิลส์" เป็นอย่างดี
ผมชอบตอนที่ โซลชา ตอบคำถามนักข่าวไวกิ้งที่โยงเขากับงานคุมทีมใน "โรงละครแห่งความฝัน" หลังนำ โมลด์ คว้าแชมป์ลีกนอร์เวย์ได้เป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษ
"ผู้จัดการทีมทุกคน คงใฝ่ฝันที่จะได้งานคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากผมได้รับข้อเสนอ ผมก็คงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดมาก แต่มันไม่ได้อยู่ในแผนการหรือความฝันบ้าๆ ของผมเลยในตอนนี้ หากย้อนไปเมื่อปีก่อน ผมไม่คิดว่า จะมีใครพูดเรื่องผมจะไปคุม ยูไนเต็ด จริงๆ แต่ทุกๆ คนสามารถฝันกันได้ ความฝันนั้นมันอาจใหญ่สำหรับผมในเวลานี้ แต่หากมันเกิดขึ้นจริง ผมก็คงมีอะไรให้ทำเต็มไปหมด"
วันนี้ โอกาสของเขามาถึงแล้วนะครับ
และอย่างที่ โซลชา พูดไว้ราวกับมองเห็นอนาคต... เขามีอะไรให้ทำเต็มไปหมดจริงๆ
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อมั่นว่า หนุ่มแกร่งวัย 45 จากนอร์เวย์ จะตั้งใจทำมันอย่างสุดความสามารถ แม้ข้อสัญญาจะระบุไว้ว่าเป็นการทำงานแค่ขัดตาทัพถึงสิ้นฤดูกาลก็ตาม
กระนั้น หากคุณหวังให้เขาทำทุกอย่างเป๊ะๆ เหมือนที่ "เฟอร์กี้" ทำ ก็คงไม่ใช่ หากตีความจากถ้อยคำที่เขาเคยเอ่ยไว้หลายปีก่อน
"ผมพยายามทำในแบบของผม ผมไม่สามารถลอกเลียนแบบใครได้หรอก สมัยเป็นนักเตะ ผมไม่เคยเป็น ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, เอริก คันโตน่า หรือ รอย คีน แต่ผมอาจเอาเลือดนักสู้แบบ เดวิด มาใช้ หรือชั้นเชิงแบบ เอริก มาช่วยพัฒนาตัวเองบ้าง เหมือนกับเจ้านาย เขามีวิธีการที่เหมาะกับผม แต่อาจไม่เวิร์กกับคนอื่นก็ได้ ส่วนผมเอง ก็พยายามทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีมในแบบตัวเอง ผมไม่ได้นึกถึงเงิน ชื่อเสียง ความสำเร็จ แต่ผมอยากสนุกกับงานนี้จริงๆ"
นาทีนี้ ผลงานทีมจะเป็นอย่างไร อาจไม่สลักสำคัญสำหรับแฟนผี เท่ากับการเอาตัวตนที่แท้ทรูของ ยูไนเต็ด กลับคืนมาให้ได้ก่อน หลังจากสูญเสียอัตลักษณ์ไปนับตั้งแต่ "ป๋า" ล้างมือ
ทำ ยูไนเต็ด ให้เป็น ยูไนเต็ด ด้วยวิถีแบบ ยูไนเต็ด
ขอให้ โซลชา สนุกกับงานนี้นะครับ
เครดิต - เว็บสยามสปอร์ต
ผู้เขียน - เปาผี
** ส่วนตัวมองว่า เปาผี -เขียนบทความนี้ จากหัวใจผู้ขายวิญญาณให้ปีศาจแดง
ได้ดีทีเดียว