หลังจากที่ลงจากตำแหน่งแม่ทัพคุมช่อง GMM 25 และปรับไปเป็นรองประธานกรรมการ บริษัท จี เอ็ม เอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด “พี่ฉอด” สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ก็ขอเปลี่ยนบทบาทอีกครั้ง กับการเป็นหัวเรือ “เช้นจ์ 2561” บริษัทคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ที่เธอบอกว่า “รู้สึกมีความสุขและสนุกกว่างานเดิมที่เคยทำเสียอีก”
จึงเป็นที่มาของ เช้นจ์ 2561 ที่เกิดจาก เอ็มเอ็ม แกรมมี่ถือหุ้นผ่าน จี เอ็ม เอ็ม โฮลดิ้ง 50% และอีก 50% เป็นของ “อเดลฟอส” ธุรกิจส่วนตัวของ 2 เจ้าสัวน้อยกลุ่มไทยเบฟ “ฐาปน และ ปณต สิริวัฒนภักดี” ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท แรกเริ่มเดิมทีมีพนักงาน 5 คน ตอนนี้เพิ่มเข้ามาเป็น 60 คนแล้ว
“พี่ฉอด” บอกว่า คอนเทนต์ที่เกิดจาก “เช้นจ์ 2561” จะเน้นทำ “Made to order” ตามโจทย์ที่มีผู้ว่าจ้างเป็นหลัก ทั้งจากช่องทีวีดิจิทัลที่กำลังต้องการคอนเทนต์ไปเสริมช่อง หรือแบรนด์ต่างๆ ที่อยากได้คอนเทนต์รูปแบบใหม่ๆ แต่จะยังคงเอกลักษณ์ที่เป็น DNA ของพี่ฉอดเองนั้นคือเน้นเปลี่ยนวิธีคิดและทัศนคติของคนดูให้ดียิ่งขึ้น
โดยเช้นจ์ 2561 แบ่งธุรกิจออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ละครและซีรีส์, รายการโทรทัศน์, โชว์บิซ, กิจกรรมออนกราวด์ และออนไลน์คอนเทนต์ สำหรับปี 2019 วางแผนไว้ดังนี้
“ละครและซีรีส์” นอกเหนือจากคลับฟรายเดย์ เดอะซีรีส์ 11 จำนวน 10 เรื่องที่จะออกอากาศทางช่อง GMM 25 ตลอดทั้งปีแล้ว ยังรับจ้างผลิตละครจำนวน 10 เรื่องให้กับทีวีดิจิทัล 4 ช่อง ได้แก่ GMM 25 จำนวน 5 เรื่อง, ONE 31 จำนวน 1 เรื่อง ถือเป็นครั้งแรกที่ป้อนให้ช่องนี้แม้จะอยู่ในเครือเดียวกันก็ตาม โดยละครจะเน้นสะท้อนสังคมเป็นหลัก, อมรินทร์ทีวี 2 เรื่อง และ PPTV อีก 3 เรื่อง ขณะนี้ยังมีทีวีดิจิทัลช่องอื่นๆ ที่สนใจกำลังเจรจากันอีกหลายช่อง
ต่อด้วย “รายการโทรทัศน์” ตามแผนที่วางไว้จะมีรายการ Variety Talk Show ชื่อ “Club Friday Show” นำเสนอเรื่องราวชีวิตศิลปินดารา ทั้งเรื่องความรักและการใช้ชีวิต ออกอากาศช่อง GMM 25
“โชว์บิซ” จะจัดทั้งหมด 4 คอนเสิร์ตใหญ่ตลอดทั้งปี ไล่มาตั้งแต่ สีแยกปากหวานคอนเสิร์ต ตอน 2562 ในเดือนมีนาคม, เดอะ เรียล ณเดชน์ คอนเสิร์ต เดือนพฤษภาคม, เจอะดรีนาลีนคอนเสิร์ต เดือนสิงหาคม และ ดิเอ็มไพร์ออฟปองศักดิ์ เดือนตุลาคม
วิธีทำคอนเสิร์ตสไตล์พี่ฉอด จะเลือกศิลปินที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วที่สามารถเอาคนดูได้ “อยู่หมัด” ทั้งช่วงพูดคุยและร้องเพลง โดยคอนเสิร์ตจะมี 2 รูปแบบ คือ จัดที่พารากอนฮอลล์ รอบละ 5,000 คน และ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี รอบละ 10,000 คน ส่วนใหญ่จะจัด 2 รอบ
“จะเห็นได้ว่า ศิลปินที่แปลกหน้ามีเพียงณเดชน์คนเดียว ซึ่งเคยมีโอกาสได้ร่วมงานตอนทำ Give Me Five Concert เมื่อ 5 ปีก่อน และได้พูดคุยกันมาตลอดและพบว่า ณเดชน์ มีความฝันอยากเป็นนักร้องสักครั้ง ในที่สุดจึงออกมาเป็นคอนเสิร์ตนี้”
“กิจกรรมออนกราวด์” เป็นการจัดต่อเนื่องของ “พี่อ้อย พี่ฉอด ออนทัวร์” โดยเป็นการเดินสายเข้าไปพูดยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชน ในปี 2018 เดินสายทั้งหมด 10 แห่ง โดยจะนำทั้งหมดมาทำเป็นรายการ เพื่อออกอากาศด้วย
สุดท้าย “ออนไลน์คอนเทนต์” ซึ่งเป็นหน่วยที่ “เช้นจ์ 2561” ให้ความสนใจมากที่สุด เพราะเป็นช่องทางหลักที่คนดูรุ่นใหม่เลือกเป็นพื้นที่หลักในการเสพสื่อ โดยเตรียมทำรายการไว้กว่า 10 รายการ เช่น พี่อ้อย พี่ฉอด ตัวต่อตัว, คุยสตอรี่ - อั๋นจ๋าเดอะเรียลลิตี้ และ Boy Jeab The Journey เป็นต้น
พี่ฉอดบอกว่าก่อนจะทำสักรายการหนึ่งทีมงานมีการพูดคุยกันหลายรอบมาก เพื่อให้ออกมาโดนใจคนดูมากที่สุดถึงขนาดที่ว่า คอนเทนต์ต้องฉูดฉาดและทำให้ “ปัง” ภายใน 1-2 นาทีให้ได้ เพื่อดึงให้คนดูอยู่ต่อจนจบตอน รายการออนไลน์จะมีความยาว 8-12 นาที กำลังดีแล้ว ขณะนี้เริ่มมีรายได้จากสปอนเซอร์เข้ามาบ้างแล้ว
“แม้ภาพรวมของธุรกิจสื่อยังอยู่ในภาวะซบเซา แต่ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีโอกาสซ่อนอยู่อีกมาก คำว่า Content is King เป็นเรื่องจริง ถ้าทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ยังไงก็มีโอกาสเติบโตได้สูง ไปพร้อมๆ กับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในมือทุกช่องทาง”
บทบาทใหม่ของพี่ฉอดมีทั้งความยากและง่าย ความง่ายคือสิ่งที่กำลังทำอยู่ เป็นสิ่งที่พี่ฉอดทำมาตลอดอยู่แล้ว นอกจากนั้นเป็นความสุขและสนุกเพราะได้ทำในสิ่งที่รัก ส่วนความยากอยู่ที่การต้องอยู่ให้ได้ในภาวะที่ภูมิทัศน์สื่อกำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก การทำคอนเทนต์ไม่ได้มีสูตรที่ตายตัว ยังต้องอาศัยการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมหน้าที่หลักในการเป็นอีกขาหนึ่งที่หารายได้เข้า “แกรมมี่” ซึ่งพี่ฉอดบอกว่าจะพยายามรักษากำไรให้อยู่ในระดับ 10-15%ในทุกธุรกิจที่ทำ ไม่ให้น้อยกว่านี้.
https://positioningmag.com/1203908
“พี่ฉอด” ขอเชนจ์ จากผู้บริหารสถานีทีวี สู่ คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ “Change 2561”
จึงเป็นที่มาของ เช้นจ์ 2561 ที่เกิดจาก เอ็มเอ็ม แกรมมี่ถือหุ้นผ่าน จี เอ็ม เอ็ม โฮลดิ้ง 50% และอีก 50% เป็นของ “อเดลฟอส” ธุรกิจส่วนตัวของ 2 เจ้าสัวน้อยกลุ่มไทยเบฟ “ฐาปน และ ปณต สิริวัฒนภักดี” ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท แรกเริ่มเดิมทีมีพนักงาน 5 คน ตอนนี้เพิ่มเข้ามาเป็น 60 คนแล้ว
“พี่ฉอด” บอกว่า คอนเทนต์ที่เกิดจาก “เช้นจ์ 2561” จะเน้นทำ “Made to order” ตามโจทย์ที่มีผู้ว่าจ้างเป็นหลัก ทั้งจากช่องทีวีดิจิทัลที่กำลังต้องการคอนเทนต์ไปเสริมช่อง หรือแบรนด์ต่างๆ ที่อยากได้คอนเทนต์รูปแบบใหม่ๆ แต่จะยังคงเอกลักษณ์ที่เป็น DNA ของพี่ฉอดเองนั้นคือเน้นเปลี่ยนวิธีคิดและทัศนคติของคนดูให้ดียิ่งขึ้น
โดยเช้นจ์ 2561 แบ่งธุรกิจออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ละครและซีรีส์, รายการโทรทัศน์, โชว์บิซ, กิจกรรมออนกราวด์ และออนไลน์คอนเทนต์ สำหรับปี 2019 วางแผนไว้ดังนี้
“ละครและซีรีส์” นอกเหนือจากคลับฟรายเดย์ เดอะซีรีส์ 11 จำนวน 10 เรื่องที่จะออกอากาศทางช่อง GMM 25 ตลอดทั้งปีแล้ว ยังรับจ้างผลิตละครจำนวน 10 เรื่องให้กับทีวีดิจิทัล 4 ช่อง ได้แก่ GMM 25 จำนวน 5 เรื่อง, ONE 31 จำนวน 1 เรื่อง ถือเป็นครั้งแรกที่ป้อนให้ช่องนี้แม้จะอยู่ในเครือเดียวกันก็ตาม โดยละครจะเน้นสะท้อนสังคมเป็นหลัก, อมรินทร์ทีวี 2 เรื่อง และ PPTV อีก 3 เรื่อง ขณะนี้ยังมีทีวีดิจิทัลช่องอื่นๆ ที่สนใจกำลังเจรจากันอีกหลายช่อง
ต่อด้วย “รายการโทรทัศน์” ตามแผนที่วางไว้จะมีรายการ Variety Talk Show ชื่อ “Club Friday Show” นำเสนอเรื่องราวชีวิตศิลปินดารา ทั้งเรื่องความรักและการใช้ชีวิต ออกอากาศช่อง GMM 25
“โชว์บิซ” จะจัดทั้งหมด 4 คอนเสิร์ตใหญ่ตลอดทั้งปี ไล่มาตั้งแต่ สีแยกปากหวานคอนเสิร์ต ตอน 2562 ในเดือนมีนาคม, เดอะ เรียล ณเดชน์ คอนเสิร์ต เดือนพฤษภาคม, เจอะดรีนาลีนคอนเสิร์ต เดือนสิงหาคม และ ดิเอ็มไพร์ออฟปองศักดิ์ เดือนตุลาคม
วิธีทำคอนเสิร์ตสไตล์พี่ฉอด จะเลือกศิลปินที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วที่สามารถเอาคนดูได้ “อยู่หมัด” ทั้งช่วงพูดคุยและร้องเพลง โดยคอนเสิร์ตจะมี 2 รูปแบบ คือ จัดที่พารากอนฮอลล์ รอบละ 5,000 คน และ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี รอบละ 10,000 คน ส่วนใหญ่จะจัด 2 รอบ
“จะเห็นได้ว่า ศิลปินที่แปลกหน้ามีเพียงณเดชน์คนเดียว ซึ่งเคยมีโอกาสได้ร่วมงานตอนทำ Give Me Five Concert เมื่อ 5 ปีก่อน และได้พูดคุยกันมาตลอดและพบว่า ณเดชน์ มีความฝันอยากเป็นนักร้องสักครั้ง ในที่สุดจึงออกมาเป็นคอนเสิร์ตนี้”
“กิจกรรมออนกราวด์” เป็นการจัดต่อเนื่องของ “พี่อ้อย พี่ฉอด ออนทัวร์” โดยเป็นการเดินสายเข้าไปพูดยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชน ในปี 2018 เดินสายทั้งหมด 10 แห่ง โดยจะนำทั้งหมดมาทำเป็นรายการ เพื่อออกอากาศด้วย
สุดท้าย “ออนไลน์คอนเทนต์” ซึ่งเป็นหน่วยที่ “เช้นจ์ 2561” ให้ความสนใจมากที่สุด เพราะเป็นช่องทางหลักที่คนดูรุ่นใหม่เลือกเป็นพื้นที่หลักในการเสพสื่อ โดยเตรียมทำรายการไว้กว่า 10 รายการ เช่น พี่อ้อย พี่ฉอด ตัวต่อตัว, คุยสตอรี่ - อั๋นจ๋าเดอะเรียลลิตี้ และ Boy Jeab The Journey เป็นต้น
พี่ฉอดบอกว่าก่อนจะทำสักรายการหนึ่งทีมงานมีการพูดคุยกันหลายรอบมาก เพื่อให้ออกมาโดนใจคนดูมากที่สุดถึงขนาดที่ว่า คอนเทนต์ต้องฉูดฉาดและทำให้ “ปัง” ภายใน 1-2 นาทีให้ได้ เพื่อดึงให้คนดูอยู่ต่อจนจบตอน รายการออนไลน์จะมีความยาว 8-12 นาที กำลังดีแล้ว ขณะนี้เริ่มมีรายได้จากสปอนเซอร์เข้ามาบ้างแล้ว
“แม้ภาพรวมของธุรกิจสื่อยังอยู่ในภาวะซบเซา แต่ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีโอกาสซ่อนอยู่อีกมาก คำว่า Content is King เป็นเรื่องจริง ถ้าทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ยังไงก็มีโอกาสเติบโตได้สูง ไปพร้อมๆ กับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในมือทุกช่องทาง”
บทบาทใหม่ของพี่ฉอดมีทั้งความยากและง่าย ความง่ายคือสิ่งที่กำลังทำอยู่ เป็นสิ่งที่พี่ฉอดทำมาตลอดอยู่แล้ว นอกจากนั้นเป็นความสุขและสนุกเพราะได้ทำในสิ่งที่รัก ส่วนความยากอยู่ที่การต้องอยู่ให้ได้ในภาวะที่ภูมิทัศน์สื่อกำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก การทำคอนเทนต์ไม่ได้มีสูตรที่ตายตัว ยังต้องอาศัยการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมหน้าที่หลักในการเป็นอีกขาหนึ่งที่หารายได้เข้า “แกรมมี่” ซึ่งพี่ฉอดบอกว่าจะพยายามรักษากำไรให้อยู่ในระดับ 10-15%ในทุกธุรกิจที่ทำ ไม่ให้น้อยกว่านี้.
https://positioningmag.com/1203908