จบกันไปแล้วสำหรับเกมแห่งศักดิ์ศรีของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งเกาะอังกฤษ
ต้องบอกว่าสกอร์ที่ออกมา กับรูปเกมที่ทุกท่านเห็น มันคือคำตอบทุกอย่างว่าศึกหนนี้มันไม่เดือดอย่างที่ควรจะเป็น
แมนยูจัดตัวในชุดที่ไม่ได้ดีที่สุดสำหรับเกมบุกซักเท่าไร ซึ่งถือว่าน่าจะถูกต้องกับการมาเยือนทีมที่เกมรุกกลับมาโหดสัสรัสเซียอย่างลิเวอร์พูล... มันต่างจากที่มูรินโญ่บอกไว้ก่อนเกมว่า การมาแอนฟิลด์รอบนี้ เค้ามาเพื่อหวังชัยชนะ!
ส่วนในฟากลิเวอร์ผูล รู้สึกผิดคาดกับแผนการเล่นที่เยอร์เก้น คลอป ตัดสินใจจัดทีมแบบเน้นรุกเต็มสูบ ซึ่งจากการสังเกตวิธีจัดทีมของคลอปในฤดูกาลนี้ เค้าจะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อเกมนั้นเป็นเกมที่เจอกับทีมที่ขนาดเล็ก หรือกับเกมที่ต้องชนะอย่างเดียว เพราะในเกมที่คลอปมองว่าใหญ่และยาก เค้าจะไม่เสี่ยงเปิดเกมรุกเต็มสูบเกินไปตั้งแต่ต้น ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับว่าในมุมมองของคลอป ณ ตอนนี้อาจจะมองได้สองแบบ คือ
แมนยูไม่ใช่คู่แข่งในเวลานี้ เพราะแต้มที่ทิ้งห่าง บวกกับวิธีการเล่น และฟอร์มการเล่นที่ว่า ถ้าไม่มองชื่อทีม ก็ไม่มีทางรู้ว่านี่คือแมนยู แชมป์ลีคสูงสุด 20 สมัย
หรือไม่ก็ต้องการชัยชนะเพื่อสร้างพลังใจให้ตัวเองและลูกทีมในการโค่นล้มคู่อริที่หงส์แดงไม่สามารถพบกับคำว่าชนะในลีคได้มานาน 8 เกมติดต่อกัน
ซึ่งคาดว่าคลอปน่าจะมองอย่างหลังมากกว่า (อาจจะมีมีอย่างแรกด้วยนิดหน่อย เพราะต้องการทำให้มูรินโญ่รู้ว่า สิ่งที่มูรินโญ่พูดออกมาต่างๆนานา ก่อนวันที่เกมจะเริ่มแข่ง มันไม่สามารถทำให้เค้ารู้สึกยำเกรงอะไรได้เลย)
ก็นั่นล่ะฮะ เกมก็ออกมาอย่างที่เห็นก็คือ แมนยูพยายามเพรสเร็วในช่วงแรก ก่อนที่จะรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้นักเตะลิเวอร์พูลลนลานหรือผิดพลาดอะไรเลย มิหนำซ้ำการไล่เพรสแบบไม่จน ยังเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลโจมตีได้บ่อยๆ แต่ว่าต้นเกมก็เกือบมีดราม่า จากจังหวะฟรีคิกที่หลุดเข้าประตู แต่โชคดีที่อคินเฟนวา....อ้าว!! นั่นมันลูกากู 😂😂 ไปยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าและดันเข้ามามีส่วนกับการได้ประตู ทำให้แมนยูต้องชวดการได้ประตูขึ้นนำไป ซึ่งจังหวะนั้นก็เป็นการเสียวครั้งแรกที่แมนยูทำใส่ลิเวอร์พูลได้
อคินเฟนวา ไอดอลของลูกากู 😍
หลังจบจังหวะนั้นก็เป็นหงส์แดงที่กระหน่ำบุก นวดจากทุกทิศทุกทาง จนมาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะชิพบอลสุดสวยของฟาบินโญ่ ให้กับมาเน่พักบอลและยิงอย่างงามหยด ซึ่งพอถึงเวลานี้แฟนหงส์รวมถึงแฟนผีอาจจะคิดว่า คงได้เห็นประตูของฝั่งเจ้าบ้านไหลมาเป็นเทน้ำเทท่า แต่ทว่าอลิสซอนก็ใจดีรับลูกเปิดจากลูกากูพลาด จนแมนยูตามตีเสมอได้สำเร็จ
นาทีนั้นแฟนหงส์หลายๆคน รวมทั้งผมคงอดคิดไม่ได้ว่า นี่ไงล่ะมนต์เสน่ห์แห่งแดงเดือดมันกลับมาอีกแล้ว T.T และหลังจากนั้นมาถึงแม้หงส์แดงจะพยายามบุกอยู่ตลอดเวลาก็ยังไม่สามารถทำอะไรแมนยูได้ ในทางกลับกันเมื่อแมนยูได้มีโอกาสครองบอล ถึงจะไม่ได้อยู่ในจุดอันตราย แต่แฟนหงส์แดงก็คงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และเป็นกังวลอยู่ตลอดเพราะด้วยสถิติการเจอกันในอดีตที่ผ่านมา มันมีผลต่อจิตใจแฟนบอลหงส์แดงทำให้ต้องหวั่นเกรงในเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่เมือคลอปจัดการเปลี่ยน Shaq ลงมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป 2 ประตู (แฉลบ) ใน 10 นาที จากการสัมผัสบอลเพียงแค่ครั้งที่ 12 ก็ทำให้ลิเวอร์พูลจบศึกแดงเดือดในรอบนี้ด้วย 3 คะแนน โดยเป็น 3 คะแนนที่จะบอกว่าโชคช่วยก็บอกได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดพลพรรคหงส์แดงแสดงให้เห็นถึงพลังและแนวทางอันมุ่งมั่นในการเล่น และสภาพจิตใจอันแข็งแกร่งที่สามารถคงสไตล์การเล่นได้คงเดิม แม้จะเสียประตูจากความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็ตาม ซึ่งความมุมานะอันนี้เองทำให้ลิเวอร์พูลได้ชัยชนะที่สำคัญที่สุดในฤดูกาล
สำหรับแมนยู ทุกสิ่งที่แฟนบอลได้เห็นมันคือคำตอบที่ชัดเจนว่า ศึกหนนี้มันไม่เดือดอย่างที่เป็น เพราะความห่างชั้นที่เกิดจากวิธีการเล่น และสภาพจิตใจของทั้งสองทีมที่แตกต่างกันมาก ทั้งๆที่นักเตะผีแดงชุดนี้เกือบทั้งหมด ก็เป็นชุดเดียวกับที่เคยสอนบอลหงส์แดงในโอลด์แทรฟฟอร์ดไป 2 ประตูต่อ 1
เมื่อถึงเวลานี้ ก็เลยบอกได้อีกเต็มคำว่า หงส์แดงได้ก้าวข้าม Mile Stone สำคัญในการทดสอบสภาพจิตใจ ด้วยการชนะคู่อริคนสำคัญ และแน่นอนว่าจะทำให้การขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กับแมนซิตี้ จะทวีความสนุกเป็นเท่าตัว
การเจอกับเรือ หงส์ต้องมีแต้มให้ได้ถ้าจะก้าวไปลุ้นแชมป์
ส่วน Mile Stone ถัดไปที่ลิเวอร์พูลต้องข้ามไปให้ได้ก็คือการไปเยือดอิติฮัดสเตเดี้ยม ในแมตช์แรกของศักราชใหม่ ซึ่งลิเวอร์พูลต้องการแต้มเพื่อแสดงให้เห็นว่าจะเป็นผู้ท้าชิงที่เหมาะสม และสามารถก้าวไปเป็นแชมป์ในบั้นปลายได้ โดยเกมนี้หงส์แดงห้ามแพ้โดยเด็ดขาดเพราะมีผลกับทั้งตารางคะแนนและสภาพจิตใจยิ่งนัก
ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า โจทย์ที่ยากมากกว่าการล้มแมนยู ลิเวอร์พูลจะผ่านไปได้หรือไม่ เพราะสกอร์ 0-5 ในปีที่แล้วมันยังติดตากองเชียร์อยู่ไม่หาย ถึงแม้ว่า 4 เกมล่าสุดที่ผ่านมาหงส์แดงจะชนะไปถึง 3 จาก 4 เกมก็ตาม
และนอกจากการต้องเผชิญกับเรือใบแล้ว... ล่าสุดหงส์ยังต้องฉะกับเสือใต้ใน UCL ซึ่งจะเป็นเกมที่ยากมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากว่าในบุนเดสลีกาฟอร์มของเสือใต้ยังไม่ค่อยลงตัว ดังนั้นเวที UCL คงเป็นอะไรที่เสือใต้คงทุ่มสุดตัว
เกมเจอเสือใต้ในเกมทางการล่าสุดน่าจะเป็น Super cup 2001 ที่หงส์เฉือนไป 3:2
ยังไงก็ตามเรื่องพวกนี้มันไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องกังวลมากมายนัก เพราะการที่จะก้าวไปเป็นสุดยอดทีม ลิเวอร์พูลก็ต้องเจอเกมหนักๆและยากๆอย่างแน่นอน ไม่ว่าช้าหรือเร็ว กาลเวลาจะพิสูจน์เองว่าลิเวอร์พูลเหมาะสมกับคำว่าสุดยอดทีมหรือไม่ ซึ่งเราไม่ต้องรอนาน เพราะฤดูกาลนี้ เรากำลังจะได้เห็นแล้วว่าลิเวอร์พูลจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อกลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม หรือจะเป็นแค่เพียงทีมที่ดีต่อไป
ควันหลง แดง (ไม่) เดือด และการก้าวข้ามขีดจำกัดของหงส์แดง!!
ต้องบอกว่าสกอร์ที่ออกมา กับรูปเกมที่ทุกท่านเห็น มันคือคำตอบทุกอย่างว่าศึกหนนี้มันไม่เดือดอย่างที่ควรจะเป็น
แมนยูจัดตัวในชุดที่ไม่ได้ดีที่สุดสำหรับเกมบุกซักเท่าไร ซึ่งถือว่าน่าจะถูกต้องกับการมาเยือนทีมที่เกมรุกกลับมาโหดสัสรัสเซียอย่างลิเวอร์พูล... มันต่างจากที่มูรินโญ่บอกไว้ก่อนเกมว่า การมาแอนฟิลด์รอบนี้ เค้ามาเพื่อหวังชัยชนะ!
ส่วนในฟากลิเวอร์ผูล รู้สึกผิดคาดกับแผนการเล่นที่เยอร์เก้น คลอป ตัดสินใจจัดทีมแบบเน้นรุกเต็มสูบ ซึ่งจากการสังเกตวิธีจัดทีมของคลอปในฤดูกาลนี้ เค้าจะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อเกมนั้นเป็นเกมที่เจอกับทีมที่ขนาดเล็ก หรือกับเกมที่ต้องชนะอย่างเดียว เพราะในเกมที่คลอปมองว่าใหญ่และยาก เค้าจะไม่เสี่ยงเปิดเกมรุกเต็มสูบเกินไปตั้งแต่ต้น ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับว่าในมุมมองของคลอป ณ ตอนนี้อาจจะมองได้สองแบบ คือ
แมนยูไม่ใช่คู่แข่งในเวลานี้ เพราะแต้มที่ทิ้งห่าง บวกกับวิธีการเล่น และฟอร์มการเล่นที่ว่า ถ้าไม่มองชื่อทีม ก็ไม่มีทางรู้ว่านี่คือแมนยู แชมป์ลีคสูงสุด 20 สมัย
หรือไม่ก็ต้องการชัยชนะเพื่อสร้างพลังใจให้ตัวเองและลูกทีมในการโค่นล้มคู่อริที่หงส์แดงไม่สามารถพบกับคำว่าชนะในลีคได้มานาน 8 เกมติดต่อกัน
ซึ่งคาดว่าคลอปน่าจะมองอย่างหลังมากกว่า (อาจจะมีมีอย่างแรกด้วยนิดหน่อย เพราะต้องการทำให้มูรินโญ่รู้ว่า สิ่งที่มูรินโญ่พูดออกมาต่างๆนานา ก่อนวันที่เกมจะเริ่มแข่ง มันไม่สามารถทำให้เค้ารู้สึกยำเกรงอะไรได้เลย)
ก็นั่นล่ะฮะ เกมก็ออกมาอย่างที่เห็นก็คือ แมนยูพยายามเพรสเร็วในช่วงแรก ก่อนที่จะรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้นักเตะลิเวอร์พูลลนลานหรือผิดพลาดอะไรเลย มิหนำซ้ำการไล่เพรสแบบไม่จน ยังเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลโจมตีได้บ่อยๆ แต่ว่าต้นเกมก็เกือบมีดราม่า จากจังหวะฟรีคิกที่หลุดเข้าประตู แต่โชคดีที่อคินเฟนวา....อ้าว!! นั่นมันลูกากู 😂😂 ไปยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าและดันเข้ามามีส่วนกับการได้ประตู ทำให้แมนยูต้องชวดการได้ประตูขึ้นนำไป ซึ่งจังหวะนั้นก็เป็นการเสียวครั้งแรกที่แมนยูทำใส่ลิเวอร์พูลได้
อคินเฟนวา ไอดอลของลูกากู 😍
หลังจบจังหวะนั้นก็เป็นหงส์แดงที่กระหน่ำบุก นวดจากทุกทิศทุกทาง จนมาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะชิพบอลสุดสวยของฟาบินโญ่ ให้กับมาเน่พักบอลและยิงอย่างงามหยด ซึ่งพอถึงเวลานี้แฟนหงส์รวมถึงแฟนผีอาจจะคิดว่า คงได้เห็นประตูของฝั่งเจ้าบ้านไหลมาเป็นเทน้ำเทท่า แต่ทว่าอลิสซอนก็ใจดีรับลูกเปิดจากลูกากูพลาด จนแมนยูตามตีเสมอได้สำเร็จ
นาทีนั้นแฟนหงส์หลายๆคน รวมทั้งผมคงอดคิดไม่ได้ว่า นี่ไงล่ะมนต์เสน่ห์แห่งแดงเดือดมันกลับมาอีกแล้ว T.T และหลังจากนั้นมาถึงแม้หงส์แดงจะพยายามบุกอยู่ตลอดเวลาก็ยังไม่สามารถทำอะไรแมนยูได้ ในทางกลับกันเมื่อแมนยูได้มีโอกาสครองบอล ถึงจะไม่ได้อยู่ในจุดอันตราย แต่แฟนหงส์แดงก็คงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และเป็นกังวลอยู่ตลอดเพราะด้วยสถิติการเจอกันในอดีตที่ผ่านมา มันมีผลต่อจิตใจแฟนบอลหงส์แดงทำให้ต้องหวั่นเกรงในเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่เมือคลอปจัดการเปลี่ยน Shaq ลงมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป 2 ประตู (แฉลบ) ใน 10 นาที จากการสัมผัสบอลเพียงแค่ครั้งที่ 12 ก็ทำให้ลิเวอร์พูลจบศึกแดงเดือดในรอบนี้ด้วย 3 คะแนน โดยเป็น 3 คะแนนที่จะบอกว่าโชคช่วยก็บอกได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดพลพรรคหงส์แดงแสดงให้เห็นถึงพลังและแนวทางอันมุ่งมั่นในการเล่น และสภาพจิตใจอันแข็งแกร่งที่สามารถคงสไตล์การเล่นได้คงเดิม แม้จะเสียประตูจากความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็ตาม ซึ่งความมุมานะอันนี้เองทำให้ลิเวอร์พูลได้ชัยชนะที่สำคัญที่สุดในฤดูกาล
สำหรับแมนยู ทุกสิ่งที่แฟนบอลได้เห็นมันคือคำตอบที่ชัดเจนว่า ศึกหนนี้มันไม่เดือดอย่างที่เป็น เพราะความห่างชั้นที่เกิดจากวิธีการเล่น และสภาพจิตใจของทั้งสองทีมที่แตกต่างกันมาก ทั้งๆที่นักเตะผีแดงชุดนี้เกือบทั้งหมด ก็เป็นชุดเดียวกับที่เคยสอนบอลหงส์แดงในโอลด์แทรฟฟอร์ดไป 2 ประตูต่อ 1
เมื่อถึงเวลานี้ ก็เลยบอกได้อีกเต็มคำว่า หงส์แดงได้ก้าวข้าม Mile Stone สำคัญในการทดสอบสภาพจิตใจ ด้วยการชนะคู่อริคนสำคัญ และแน่นอนว่าจะทำให้การขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กับแมนซิตี้ จะทวีความสนุกเป็นเท่าตัว
การเจอกับเรือ หงส์ต้องมีแต้มให้ได้ถ้าจะก้าวไปลุ้นแชมป์
ส่วน Mile Stone ถัดไปที่ลิเวอร์พูลต้องข้ามไปให้ได้ก็คือการไปเยือดอิติฮัดสเตเดี้ยม ในแมตช์แรกของศักราชใหม่ ซึ่งลิเวอร์พูลต้องการแต้มเพื่อแสดงให้เห็นว่าจะเป็นผู้ท้าชิงที่เหมาะสม และสามารถก้าวไปเป็นแชมป์ในบั้นปลายได้ โดยเกมนี้หงส์แดงห้ามแพ้โดยเด็ดขาดเพราะมีผลกับทั้งตารางคะแนนและสภาพจิตใจยิ่งนัก
ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า โจทย์ที่ยากมากกว่าการล้มแมนยู ลิเวอร์พูลจะผ่านไปได้หรือไม่ เพราะสกอร์ 0-5 ในปีที่แล้วมันยังติดตากองเชียร์อยู่ไม่หาย ถึงแม้ว่า 4 เกมล่าสุดที่ผ่านมาหงส์แดงจะชนะไปถึง 3 จาก 4 เกมก็ตาม
และนอกจากการต้องเผชิญกับเรือใบแล้ว... ล่าสุดหงส์ยังต้องฉะกับเสือใต้ใน UCL ซึ่งจะเป็นเกมที่ยากมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากว่าในบุนเดสลีกาฟอร์มของเสือใต้ยังไม่ค่อยลงตัว ดังนั้นเวที UCL คงเป็นอะไรที่เสือใต้คงทุ่มสุดตัว
เกมเจอเสือใต้ในเกมทางการล่าสุดน่าจะเป็น Super cup 2001 ที่หงส์เฉือนไป 3:2
ยังไงก็ตามเรื่องพวกนี้มันไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องกังวลมากมายนัก เพราะการที่จะก้าวไปเป็นสุดยอดทีม ลิเวอร์พูลก็ต้องเจอเกมหนักๆและยากๆอย่างแน่นอน ไม่ว่าช้าหรือเร็ว กาลเวลาจะพิสูจน์เองว่าลิเวอร์พูลเหมาะสมกับคำว่าสุดยอดทีมหรือไม่ ซึ่งเราไม่ต้องรอนาน เพราะฤดูกาลนี้ เรากำลังจะได้เห็นแล้วว่าลิเวอร์พูลจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อกลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม หรือจะเป็นแค่เพียงทีมที่ดีต่อไป