8-9-10 ธ.ค. 2561 การเดินทางไปยัง เมืองลับแล
อาลันรัดจะนา ด้วยรถโดยสารนครชัยแอร์ (ถนนกำแพงเพชร 2) สาย กรุงเทพ-นครพนม ระยะทาง 700 กิโลเมตร เป็นรถชั้น Gold Class ราคาตั๋ว 580 บาท (ทั้งไปและกลับ) ออกจาก กทม. (หมอชิต) 20.00 น. โดยประมาณ ถึงนครพนมช่วงเช้าตรู่พอดี นั่งสามล้อแบบสกายแล็บ คนละ 40 บาท จาก บขส.นครพนม มาลงที่ จุดทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวนครพนม เดินสูดอากาศยามเช้าใน "แลนด์มาร์ค ลานพญาศรีสัตตนาคราช" (ลู่วิ่ง-ลู่จักรยาน) เพื่อรอเวลา ทำหนังสือผ่านแดนในเวลา 08.00 น. (ค่าทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว 48 บาท) ก่อนจะพากันนั่งเรือข้ามฟากไปยังแขวงคำม่วน มีค่าธรรมเนียม 100 บาท และค่าผ่านแดน 50 บาท (รวม 150 บาท)
ปล ; ขาเข้าฝั่งไทย ต้องจ่ายค่าผ่านแดนของลาวอีกคนละ 60 บาท
การเดินทางไปยังเมืองลับแล (ອາລັນຮັດຈະນາ) ต้องไปนั่งเรือข้ามฟากที่บ้านนาโคก ซึ่งมีลำน้ำหินบุนไหลผ่าน คนต่างแดนต้องรายงานตัวต่อนายบ้านด้วยพาสต์ปอร์ต และชำระค่าเข้าหมู่บ้านคนละ 100 บาท ส่วนคนที่ใช้หนังสือผ่านแดนชั่วคราวนายบ้านจะเก็บไว้ เพื่อนำไปแสต้มป์สลักหลังไว้ใช้เป็นหลักฐานในการเข้าพื้นที่ หากไม่มีตรานายบ้านประทับหลังเอกสาร อาจจะต้องเสียค่าปรับฐานเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ประมาณ 300 บาท ขากลับนายบ้านจะคืนเอกสารผ่านแดนให้ ยกเว้นพาสต์ปอร์ตนายบ้านจะคืนให้ผู้ถือเดี๋ยวนั้นเลย นั่งเรือแค่ 3-5 นาที เพื่อข้ามฟาก (น้ำไหลเชี่ยวพอประมาณ) ถ้าตกลงไปโดนกระแสน้ำพัดไปได้เหมือนกัน
หมายเหตุ : ระยะทางจากด่าน ตม.ท่าแขก/แขวงคำม่วน มายังบ้านนาครก ประมาณ 104 กิโลเมตร/ทางลาดยาง 70 กม. ที่เหลือเป็นถนนดินแดงทั้งหมด) มาด้วยรถปิคอัพจ้างเหมา ขากลับนัดให้มารับตามเวลา ที่ตกลงกัน
ถึงถ้ำแล้ว
จากท่าข้ามเรือ ใช้เวลาเดินอีกประมาณ 1 ชม. เพื่อไปยังทางเข้าถ้ำ ทางไปเมืองลับแล มีเส้นทางเดินที่จะต้องผ่านถ้ำไป ถ้ำนี้มีชื่อว่า "ถ้ำเฮิบ" อยู่ใต้ภูเขาชื่อผาถ้ำเฮิบ หน้าน้ำต้องใช้เรือ ตอนที่ไปนี้ต้องเดินลุยน้ำเข้าไปตามเส้นทางที่มีคนนำ ความลึกของระดับน้ำ ประมาณ เข่า-เอว หากหลุดเส้นทางก็จะตกร่องน้ำลึก อาจท่วมเลยหัว และไม่อาจสามารถคาดเดาได้ เนื่องจากเป็นโพรงที่มองไม่เห็น อุปสรรคด้านในถ้ำมีลักษณะเป็น "หุบซ้อนหุบ" คือ มีหุบเป็นหลุมลึกซ้อนกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน ตามทางเดินจะมีทรายน้ำจืดปะปนเข้าไปในรองเท้าตลอดเวลา มี 3 ช่วง ที่จะต้องเดินข้ามไปด้วยไม้กระดาน สะพานลิง และบันได ที่ชาวบ้านทำขึ้น ไม้กระดานใช้เดินข้ามร่องน้ำตอน 300 เมตรแรก เดินต่อไปอีกหน่อยจะต้องเดินเลียบกำแพงถ้ำมีลักษณะเป็นหินลื่น (ไม่ใช่หินปูน) ต้องคอยใช้นิ้วหาแหย่รูซอกหินข้างกำแพงเพื่อยึดเกาะ กันการร่วงลงหุบในถ้ำ ไต่ตามขอบกำแพง 5-7 เมตร ก็จะมีสะพานลิง (มีราวให้จับ) เดินข้ามหุบหินลึกอีกเช่นกัน (สะพานลิงยาว 2 เมตร) พอข้ามมาได้ ก็จะพบกับบันไดทางลงอีกที สูง 2-3 เมตร ระดับความสูงขนาดนี้อาจทำให้ขาหักได้ ไม่ควรโดดเด็ดขาด เดินในถ้ำประมาณ 1 ชั่วโมง นิด ๆ ก็จะทะลุถึงทางออกอีกทาง เพื่อเข้าหมู่บ้าน อุปสรรคที่พบ ได้แก่ ความมืด ความลึกของน้ำ + ความเย็น ความลื่น การไต่ข้ามสิ่งกีดขวาง หลุม บ่อ เหว และการหลงเส้นทางใยแมงมุม เป็นต้น เมื่อออกจากถ้ำได้แล้ว ก็เตรียมมุ่งหน้าต่อไป อีก 3-4 กิโลเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านลับแล
ออกจากถ้ำเฮิบอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องโทรเรียกหมอภาคย์ ฯ พวกเรา 18 หมูป่า เคลื่อนย้ายขบวนด้วยการเดินเท้าในทางราบต่อไปอีก 3 กม. เพื่อเข้าไปในเมืองลับแล ก็จะผ่านวัด ๆ หนึ่ง ชื่อว่า "วัดกระตึ๊บ" ก็จอดพักเหนื่อย โดยมีเด็ก ๆ ในหมู่บ้านลับแลมาคอยต้อนรับ
#อาลันรัดจะนา #ลับแลเมืองลาว #ถ้ำเฮิบ #วัดกระตึ๊บ #บ้านนาเมืองอรัญญา #แขวงคำม่วน
#ແຂວງຄຳມ່ວນ
ที่เมืองลับแล อรัญญาประเทศ หรือ #อาลันรัดจะนา จะมีวัด 2 แห่ง ระหว่างทางก่อนเข้าหมู่บ้านสุดท้าย จะมีวัด ๆ หนึ่ง ชื่อว่า วัดกระตึ๊บ มีครูบาอุ่น เป็นเจ้าอาวาส เป็นลูกศิษย์ของ ญาทาน สีธนนไชย ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดนี้แต่แรกเริ่ม (ญาทาน หมายถึง หลวงปู่) วัดนี้จะมีทั้งพระ และชี ด้วยเป็นวัดที่ห่างไกล จึงมีความเงียบสงบ เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก ก็จะมีผู้สาวชาวลาว แว่ะเวียนมาปฏิบัติธรรมด้วยการถือศีล โดยจะ นุ่งขาว ห่มข่าว ยามว่างก็ช่วยแบ่งเบางานการของแม่ชี เช่น ตำข้าวบ้าง ฟัดข้าวบ้าง ต้มน้ำสมุนไพรบ้าง ด้วยเครื่องมือจักสานในท้องถิ่นเรียกว่ากระด้ง และครกมอญ (ครกกระเดื่อง) เป็นต้น ส่วนวัดที่พวกเราไปตั้งแค้มป์ชื่อว่าวัดดอนแก้ว ปัจจุบัน มีเพียงเจดีย์โบราณหลงเหลืออยู่ ไม่มีพระแล้ว มีก็แต่เพียงที่พักสงฆ์ กรณีเมื่อคนในหมู่บ้านลับแลมีกิจนิมนต์มา หรือ มีงานสำคัญ ๆ พระสงฆ์ก็จะใช้เป็นที่พำนัก ...
ข้อมูลจาก พ่อใหญ่กูด นายบ้านบ้านนาเมืองอรัญญา
(รายละเอียดเพิ่มเติมรอเพื่อน ๆ มาเติมให้ต่อไป...)
#ແຂວງຄຳມ່ວນ
9-12-61 เส้นทางสู่ #ถ้ำน้ำเที่ยง
หลังจากผ่านเส้นทางทรหด เพื่อมาสู่ยังจุดหมายที่หมู่บ้านลับแล รุ่งเช้า... พวกเราออกเดินทางเพื่อไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ด้วยสัมภาระติดตัวน้อยที่สุด (ไม่แบกเป้) มีแต่กล้อง ไฟฉาย เสบียงมื้อเที่ยง กับน้ำดื่ม ที่ติดตัวไป เส้นทางเดินระยะแรก จะต้องเดินผ่านลำธารเล็ก ๆ ซึ่งมีน้ำไม่มาก สามารถเดินข้ามได้ ประมาณ 2 ลำธาร ชาวบ้านเรียกว่า "ห้วยกระถางแห้ง" ในยามหน้าน้ำ น้ำจะนองเต็มพื้นที่ และมีความเชี่ยว ต้องเดินเลาะไปตามขอบห้วยไป แต่ช่วงนี้น้ำแห้ง จึงใช้ลำห้วยกระถางแห้งเป็นทางเดิน เส้นทางระยะที่สอง ต้องเริ่มออกแรงต้นขา ด้วยเพราะเส้นทางมีความชัน ต้องมีการปีนป่าย เว้นระยะห่างระหว่างคนหน้า-คนหลัง เป็นการเซฟตี้ซึ่งกันและกัน (การปีนเขาที่ลาดชันนักเดินป่าจะไม่เดินชิดติด ๆ กัน เพราะหากเกิดการผิดพลาดก็จะกลิ้งไหลไปตามกันเหมือนการล้มของโดมิโน่ ทำให้บาดเจ็บทั้งคู่ และป้องกันอุบัติเหตุจากหินร่วงหล่นได้) เส้นทางระยะที่สาม เรียกว่า #เส้นทางนรก เพราะต้องไต่ขึ้น-ไต่ลง ผ่านไปตามซอกเขาหินปูน ซึ่งบางช่วงมีร่องเหวที่น่าหวาดเสียวสุด ๆ บางจุดต้องใช้เชือกโรยตัวลงไป บางจุดต้องทำบันไดไม้เพื่อไต่ขึ้นไป เส้นทางบางช่วงต้องเอียงตัวเบียดไปในซอกเขา เพื่อไปต่อ (ข้อควรระมัดระวัง พึงระลึกเสมอว่า กิ่งไม้ และเถาวัลย์ ที่จะยึดเกาะ ในระหว่างปีนเขานั้น มีความผุพัง ไม่มั่นคงแข็งแรง จึงไม่ควรฝากความหวังไว้กับกิ่งไม้เหล่านั้น) หากคว้ากิ่งไม้หักอาจพลัดตกเหวได้
อาลันรัดจะนา ลับแลเมืองลาว แขวงคำม่วน (ແຂວງຄຳມ່ວນ) ประเทศลาว
8-9-10 ธ.ค. 2561 การเดินทางไปยัง เมืองลับแล อาลันรัดจะนา ด้วยรถโดยสารนครชัยแอร์ (ถนนกำแพงเพชร 2) สาย กรุงเทพ-นครพนม ระยะทาง 700 กิโลเมตร เป็นรถชั้น Gold Class ราคาตั๋ว 580 บาท (ทั้งไปและกลับ) ออกจาก กทม. (หมอชิต) 20.00 น. โดยประมาณ ถึงนครพนมช่วงเช้าตรู่พอดี นั่งสามล้อแบบสกายแล็บ คนละ 40 บาท จาก บขส.นครพนม มาลงที่ จุดทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวนครพนม เดินสูดอากาศยามเช้าใน "แลนด์มาร์ค ลานพญาศรีสัตตนาคราช" (ลู่วิ่ง-ลู่จักรยาน) เพื่อรอเวลา ทำหนังสือผ่านแดนในเวลา 08.00 น. (ค่าทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว 48 บาท) ก่อนจะพากันนั่งเรือข้ามฟากไปยังแขวงคำม่วน มีค่าธรรมเนียม 100 บาท และค่าผ่านแดน 50 บาท (รวม 150 บาท)
ปล ; ขาเข้าฝั่งไทย ต้องจ่ายค่าผ่านแดนของลาวอีกคนละ 60 บาท
การเดินทางไปยังเมืองลับแล (ອາລັນຮັດຈະນາ) ต้องไปนั่งเรือข้ามฟากที่บ้านนาโคก ซึ่งมีลำน้ำหินบุนไหลผ่าน คนต่างแดนต้องรายงานตัวต่อนายบ้านด้วยพาสต์ปอร์ต และชำระค่าเข้าหมู่บ้านคนละ 100 บาท ส่วนคนที่ใช้หนังสือผ่านแดนชั่วคราวนายบ้านจะเก็บไว้ เพื่อนำไปแสต้มป์สลักหลังไว้ใช้เป็นหลักฐานในการเข้าพื้นที่ หากไม่มีตรานายบ้านประทับหลังเอกสาร อาจจะต้องเสียค่าปรับฐานเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ประมาณ 300 บาท ขากลับนายบ้านจะคืนเอกสารผ่านแดนให้ ยกเว้นพาสต์ปอร์ตนายบ้านจะคืนให้ผู้ถือเดี๋ยวนั้นเลย นั่งเรือแค่ 3-5 นาที เพื่อข้ามฟาก (น้ำไหลเชี่ยวพอประมาณ) ถ้าตกลงไปโดนกระแสน้ำพัดไปได้เหมือนกัน
หมายเหตุ : ระยะทางจากด่าน ตม.ท่าแขก/แขวงคำม่วน มายังบ้านนาครก ประมาณ 104 กิโลเมตร/ทางลาดยาง 70 กม. ที่เหลือเป็นถนนดินแดงทั้งหมด) มาด้วยรถปิคอัพจ้างเหมา ขากลับนัดให้มารับตามเวลา ที่ตกลงกัน
ถึงถ้ำแล้ว
จากท่าข้ามเรือ ใช้เวลาเดินอีกประมาณ 1 ชม. เพื่อไปยังทางเข้าถ้ำ ทางไปเมืองลับแล มีเส้นทางเดินที่จะต้องผ่านถ้ำไป ถ้ำนี้มีชื่อว่า "ถ้ำเฮิบ" อยู่ใต้ภูเขาชื่อผาถ้ำเฮิบ หน้าน้ำต้องใช้เรือ ตอนที่ไปนี้ต้องเดินลุยน้ำเข้าไปตามเส้นทางที่มีคนนำ ความลึกของระดับน้ำ ประมาณ เข่า-เอว หากหลุดเส้นทางก็จะตกร่องน้ำลึก อาจท่วมเลยหัว และไม่อาจสามารถคาดเดาได้ เนื่องจากเป็นโพรงที่มองไม่เห็น อุปสรรคด้านในถ้ำมีลักษณะเป็น "หุบซ้อนหุบ" คือ มีหุบเป็นหลุมลึกซ้อนกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน ตามทางเดินจะมีทรายน้ำจืดปะปนเข้าไปในรองเท้าตลอดเวลา มี 3 ช่วง ที่จะต้องเดินข้ามไปด้วยไม้กระดาน สะพานลิง และบันได ที่ชาวบ้านทำขึ้น ไม้กระดานใช้เดินข้ามร่องน้ำตอน 300 เมตรแรก เดินต่อไปอีกหน่อยจะต้องเดินเลียบกำแพงถ้ำมีลักษณะเป็นหินลื่น (ไม่ใช่หินปูน) ต้องคอยใช้นิ้วหาแหย่รูซอกหินข้างกำแพงเพื่อยึดเกาะ กันการร่วงลงหุบในถ้ำ ไต่ตามขอบกำแพง 5-7 เมตร ก็จะมีสะพานลิง (มีราวให้จับ) เดินข้ามหุบหินลึกอีกเช่นกัน (สะพานลิงยาว 2 เมตร) พอข้ามมาได้ ก็จะพบกับบันไดทางลงอีกที สูง 2-3 เมตร ระดับความสูงขนาดนี้อาจทำให้ขาหักได้ ไม่ควรโดดเด็ดขาด เดินในถ้ำประมาณ 1 ชั่วโมง นิด ๆ ก็จะทะลุถึงทางออกอีกทาง เพื่อเข้าหมู่บ้าน อุปสรรคที่พบ ได้แก่ ความมืด ความลึกของน้ำ + ความเย็น ความลื่น การไต่ข้ามสิ่งกีดขวาง หลุม บ่อ เหว และการหลงเส้นทางใยแมงมุม เป็นต้น เมื่อออกจากถ้ำได้แล้ว ก็เตรียมมุ่งหน้าต่อไป อีก 3-4 กิโลเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านลับแล
ออกจากถ้ำเฮิบอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องโทรเรียกหมอภาคย์ ฯ พวกเรา 18 หมูป่า เคลื่อนย้ายขบวนด้วยการเดินเท้าในทางราบต่อไปอีก 3 กม. เพื่อเข้าไปในเมืองลับแล ก็จะผ่านวัด ๆ หนึ่ง ชื่อว่า "วัดกระตึ๊บ" ก็จอดพักเหนื่อย โดยมีเด็ก ๆ ในหมู่บ้านลับแลมาคอยต้อนรับ
#อาลันรัดจะนา #ลับแลเมืองลาว #ถ้ำเฮิบ #วัดกระตึ๊บ #บ้านนาเมืองอรัญญา #แขวงคำม่วน
#ແຂວງຄຳມ່ວນ
ที่เมืองลับแล อรัญญาประเทศ หรือ #อาลันรัดจะนา จะมีวัด 2 แห่ง ระหว่างทางก่อนเข้าหมู่บ้านสุดท้าย จะมีวัด ๆ หนึ่ง ชื่อว่า วัดกระตึ๊บ มีครูบาอุ่น เป็นเจ้าอาวาส เป็นลูกศิษย์ของ ญาทาน สีธนนไชย ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดนี้แต่แรกเริ่ม (ญาทาน หมายถึง หลวงปู่) วัดนี้จะมีทั้งพระ และชี ด้วยเป็นวัดที่ห่างไกล จึงมีความเงียบสงบ เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก ก็จะมีผู้สาวชาวลาว แว่ะเวียนมาปฏิบัติธรรมด้วยการถือศีล โดยจะ นุ่งขาว ห่มข่าว ยามว่างก็ช่วยแบ่งเบางานการของแม่ชี เช่น ตำข้าวบ้าง ฟัดข้าวบ้าง ต้มน้ำสมุนไพรบ้าง ด้วยเครื่องมือจักสานในท้องถิ่นเรียกว่ากระด้ง และครกมอญ (ครกกระเดื่อง) เป็นต้น ส่วนวัดที่พวกเราไปตั้งแค้มป์ชื่อว่าวัดดอนแก้ว ปัจจุบัน มีเพียงเจดีย์โบราณหลงเหลืออยู่ ไม่มีพระแล้ว มีก็แต่เพียงที่พักสงฆ์ กรณีเมื่อคนในหมู่บ้านลับแลมีกิจนิมนต์มา หรือ มีงานสำคัญ ๆ พระสงฆ์ก็จะใช้เป็นที่พำนัก ...
ข้อมูลจาก พ่อใหญ่กูด นายบ้านบ้านนาเมืองอรัญญา
(รายละเอียดเพิ่มเติมรอเพื่อน ๆ มาเติมให้ต่อไป...)
#ແຂວງຄຳມ່ວນ
9-12-61 เส้นทางสู่ #ถ้ำน้ำเที่ยง
หลังจากผ่านเส้นทางทรหด เพื่อมาสู่ยังจุดหมายที่หมู่บ้านลับแล รุ่งเช้า... พวกเราออกเดินทางเพื่อไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ด้วยสัมภาระติดตัวน้อยที่สุด (ไม่แบกเป้) มีแต่กล้อง ไฟฉาย เสบียงมื้อเที่ยง กับน้ำดื่ม ที่ติดตัวไป เส้นทางเดินระยะแรก จะต้องเดินผ่านลำธารเล็ก ๆ ซึ่งมีน้ำไม่มาก สามารถเดินข้ามได้ ประมาณ 2 ลำธาร ชาวบ้านเรียกว่า "ห้วยกระถางแห้ง" ในยามหน้าน้ำ น้ำจะนองเต็มพื้นที่ และมีความเชี่ยว ต้องเดินเลาะไปตามขอบห้วยไป แต่ช่วงนี้น้ำแห้ง จึงใช้ลำห้วยกระถางแห้งเป็นทางเดิน เส้นทางระยะที่สอง ต้องเริ่มออกแรงต้นขา ด้วยเพราะเส้นทางมีความชัน ต้องมีการปีนป่าย เว้นระยะห่างระหว่างคนหน้า-คนหลัง เป็นการเซฟตี้ซึ่งกันและกัน (การปีนเขาที่ลาดชันนักเดินป่าจะไม่เดินชิดติด ๆ กัน เพราะหากเกิดการผิดพลาดก็จะกลิ้งไหลไปตามกันเหมือนการล้มของโดมิโน่ ทำให้บาดเจ็บทั้งคู่ และป้องกันอุบัติเหตุจากหินร่วงหล่นได้) เส้นทางระยะที่สาม เรียกว่า #เส้นทางนรก เพราะต้องไต่ขึ้น-ไต่ลง ผ่านไปตามซอกเขาหินปูน ซึ่งบางช่วงมีร่องเหวที่น่าหวาดเสียวสุด ๆ บางจุดต้องใช้เชือกโรยตัวลงไป บางจุดต้องทำบันไดไม้เพื่อไต่ขึ้นไป เส้นทางบางช่วงต้องเอียงตัวเบียดไปในซอกเขา เพื่อไปต่อ (ข้อควรระมัดระวัง พึงระลึกเสมอว่า กิ่งไม้ และเถาวัลย์ ที่จะยึดเกาะ ในระหว่างปีนเขานั้น มีความผุพัง ไม่มั่นคงแข็งแรง จึงไม่ควรฝากความหวังไว้กับกิ่งไม้เหล่านั้น) หากคว้ากิ่งไม้หักอาจพลัดตกเหวได้