NAMASTE INDIA
บอกก่อนว่า ไปมันติดๆกันแล้ว อินเดีย ในรอบ 2 ปีนี้ ก็อย่างที่เขาว่ากันนะแหระ ว่า ถ้าไปแล้วรักก็รักเลย สำหรับรอบนี้ไปเมือง จัยปูร์ / จอร์ดปูร์ อ่านได้ที่ กระทู้นี้ >>
https://ppantip.com/topic/38354198 ต่อจากจอร์ดปูร์ นี้เราก็ไป ชิมลา หรือ สิมล่า เป็นเมืองในรัฐหิมาจัล
บางคนอาจจะไม่คุ้นชื่อนี้ ที่นี้อินเดียนะจ๊ะนายจ๋า เป็นเมืองที่ถูกขนานนามว่า ราชินีแห่งขุนเขา ป๊าดดดดดดด ตอนที่ได้ยินชื่อนี้ก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะไปมากๆแล้ว แล้ว เธอยังมี เส้นทางรถไฟสายมรดกโลก อีกต่างหาก โอ้วโหววววว เช่นนั้นแล้ว เราก็เลยตัดสินใจปักมุด แพลนแผนไปที่นี้ละจ้า มันก็น่ารับมรดกโลกแหระ ก็มันเป็นเส้นทางรถไฟตัดหุบเขา ขึ้นเขาขึ้นไป วิวสวยมากจะนายจ๋า
รถไฟอินเดียไม่ได้น่ากลัว แล้วก็ล้ำนำไทยไปแล้วจ๊ะ เราอธิบายไว้ละเอียดยิ๊บแล้วในนี้ ลองไปอ่านดู
https://ppantip.com/topic/38354198 เราเป็นคนที่เดินทางด้วยรถไฟอินเดียมาตลอด ไปมันทุกคลาสแล้ว ตั้งแต่นั่งชั้น 3 ไป จนถึง AC 2 ขอละนะ บางเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คนไทยคิด อย่าเพิ่งตัดสินเขา ขอเถอะ จากใจคนที่นั่งมาแล้วทุกคลาส (ยกเว้นเฟิร์สคลาส ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอินเดียเลยไม่คิดถึงเฟิร์สคลาสเลย)
หลังจากเที่ยวใน จอร์ดปูร์ หรือที่คนอินเดียออกเสียงว่า โจร๊ดปูร์ เสร็จแล้ว เราก็ย้ายร่าง ขึ้นรถไฟ ไปชิมลา แต่ชิมลาจะไม่มีรถไฟตรงขึ้นไปเลยนะ จะต้องไปลง สถานี kalka (เกลากา) ก่อน เพื่อ เปลี่ยนไปนั่ง รถไฟ Toy Train รถไฟสายมรดกโลกนี้ ขึ้นไปที่ชิมลา
มารู้จักชิมลา ก่อน ..............
ชิมลา เป็นเมืองหลวงในรัฐหิมาจัล
ชิมลา เป็นเมือง หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนหุบเขา ทั่วทั้งเขา .............
ชิมลา ได้รับขนานนามว่า เป็นราชินีแห่งขุนเขามานานแล้ว.......... หลายคนอาจจะรู้สึกว่า เห้ย เลห์ ลาดัก เขาสวยกว่า ทำไมไม่ได้รับขนานนาม ต้องบอกก่อนว่าความ อเมชิ่ง ของชิมลามันมีมานานแล้ว ที่อเมชิ่ง สุดๆสำหรับเราก็ตัวอาคาร บ้านเรือนของเขา แล้วมันก็ตั้งอยู่บนหุบเขา ท่ามกลางป่าสน เทือกเขา สวยและธรรมชาติมากๆ ดังนั้นมันก็เหมาะแล้วที่เขาจะได้รับสมยานามนี้
ชิมลามีอากาศเย็นสบายตลอดปี ในหน้าหนาว หนาวจิง แต่สวยมาก อุณหภูมิในหน้าหนาวอยู่ที่ -3 ถึง 6 ในช่วงที่เราไป คือธันวาคม กลางวัน 3-6องศา กลางคืน 1 องศา ถึง ติดลบจ้า
ชิมลาถูกก่อตั้งในช่วงที่ อังกฤษ เข้ามาครอบครองอินเดีย ดังนั้น ถ้าอยากไปยุโรปแต่บัทเจ้ทไม่ถึง มาที่นี้แทนได้เหมือนกัน สาวๆหนุ่มๆ ที่นี้ แต่งตัวกันแบบ สายฝอมากๆ เลย มีความรู้สึกว่าคล้ายๆยุโรปเลยละคะ อังกฤษเริ่มสร้างชิมลาช่วงทศวรรษที่ 1820 และนับจากนั้นที่นี่ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือน “ราชินีแห่งขุนเขา” เพื่อรับอากาศเย็นและความงดงามของธรรมชาติ ใครที่คิดจะมาที่นี้ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ คือมันอยู่บนเขา และมันไม่มีตุ๊กๆ มันมีแต่แท็กซี่ ถ้าเงินหนา ก็ไปแท็กซี่ได้เลย แต่ถ้าไปแบบ ประหยัดเน้นกินแบบเรา ก็เดิน ......
จะเดิน ไปฟิตร่างกายมาด้วย มันเดินไต่เขาอ่ะนะ ขึ้นที่สูง พกขวดน้ำไว้จิบด้วยนะคะ เดินขึ้นก็เหนื่อยแล้ว แล้วขึ้นที่สูงออกซิเจนต่ำ เหนื่อยง่ายมากๆ ก็ฟิตๆมาหน่อย จะได้เที่ยวสนุก เราก็เน้นเดินเอานะ ที่นี้ส่วนใหญ่ เดินไปเดินมา โผล่ซอยนั้นซอยนี้สุดท้ายทะลุถึงกันหมด เที่ยวง่ายมากๆ เดินง่ายมากๆ ขอแค่แรงมี สนุกชัวร์
เราออกจากจอร์ดปูร์ วันที่ 6 ธันวาคม นั่งรถไฟ รอบ 10.25 น. จองคลาส A3 จริงๆ A3 นี้ก็ดีแล้วนะ เพียงแต่ส่วนตัวน้อยกว่า A2 แค่นั้นเองวันเวลานาน ละจ๊ะนายจ๋า หลายชั่วโมงเลยละ ตั้งแต่ 10โมงของวันที่ 6 ธันวาคม ถึง เกลากา ใน7โมงของวันที่ 7ธันวาคม
นี้เสบียงของเรา (จริงๆก็มีเยอะกว่านี้นะ แต่ลืมถ่าย)
อันนี้ออเดอร์อาหารผ่านแอฟติดตามรถไฟ รายละเอียดอยู่ในกระทู้เที่ยวจอร์ดปูร์ ถ้าไม่อยากอ่านกระทู้นั้นทั้งหมดก็อ่านเฉพาะที่เกี่ยวกับรถไฟก็ได้ มันอยู่ในรายละเอียดต้นๆอยู่แล้ว เราบอกไว้ทั้งแอฟติดตามรถไฟ การจอง เว็ปจอง เกี่ยวกับระบบ รถไฟ ถ้าคิดจะเที่ยวด้วยรถไฟแล้วยังงงๆ กลัวๆ ไปอ่านได้เลยจ้า
อิ่มแล้วก็นอน ฝั่งตรงข้ามไม่มีคน เพื่อนเราเลยไปนอนฝั่งนั้นก่อน ส่วนอีกคนที่ตอนแรกนั่งข้างล่างด้วย เขาถามว่าจะนอนมั้ยเดี๋ยวเขาปีนขึ้นข้างบนให้ ยังไม่ทันตอบว่าจะนอนหรือไม่ เขาก็ปีนขึ้นที่ของเขาแล้ว แอบคิดนะว่า ถ้าเป็นรถไฟไทยแล้วเราบอกเราจะปูเตียงตั้งแต่กลางวัน เธอขึ้นไปนอนที่ของเธอเลย ฉันจะนอนคงจิมีตาขวาง หรือไม่ก็ตัดพ้อ ใส่กันบ้างแหง่ๆ แต่นี้อินเดียไง เขาเฟรนลี่ เขาใจดี เขาน่ารัก
เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ.........ก็ทั้งคืนทั้งวันนะจ้า แล้วเราก็มาถึง Kalka แล้ววววววววว ความหนาวสุดๆ ต้องคว้าเสื้อมาใส่อีกชั้นเลยละ จ้า เสื้อคอเต่า 3 ชั้น เสื้อคลุม ผ้าคลุม โอ้ยยยยยย ยังหนาวอยู่เลยจ้า เราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟ นั่งชั้น 3 ธรรมดาไปอ่ะนะ 2ที่ 100รูปี ตกที่ละ 50รูปี หรือประมาณ 25บาท
รถไฟออกเที่ยง ก็ช้า กว่ากำหนด 30 นาที (ไปรถไฟรอบเที่ยง) ถึง ประมาณ ห้าโมงเย็น ดีเลย์แค่ 30 นาทีเอง อู้ยยยยย ดีงามมมม ระหว่างทาง ก็ดีนะ วิวสวยมากๆ แต่ไปชั้น 3 ต้องทำใจไว้เรื่องหนึ่ง อ๊ะๆๆ ไม่ใช่กลิ่นนะ กลิ่นในชั้นนี้บอกตรงๆ เวียนหัว ก็แหม พรมน้ำหอมกันซะ ฉุนเชียว ไอ่หนุ่มคนนั้นกลิ่นหนึ่ง แม่สาวคนนี้อีกกลิ่นหนึ่งแล้วฉีดกันซะแบบ นึกว่าราดใส่ตัวมา โอ้โห้วววว ที่ให้ทำใจเลยก็คือ โหวกเหวกมากๆ ขาไปยังไมาเท่าไรนะ ขากลับนี้ นางเล่นเกมส์กัน นึกจะเฮก็เฮ นึกจะฮิ้วก็ฮิ้ว อุ๊ยยยไม่ต้องนอน นี้ละทำใจเรื่องความอึกทึกครึกโครมของเด็กวัยรุ่นนี้ละจ้า ก็เหมือนวัยรุ่นเกรียนๆในบ้านเรานี้ละจ้า อย่าไปคิดมาก
และแล้วเราก็มาถึงชิมลา........ และแท็กซี่ก็รุมเราหนักมาก จนเราฟิวขาด จริงๆ ทริปนี้เราฉุนเฉียวหนักมาก คือเรามีแฟนเป็นคนอินเดียก็จะซึบซับนิสัยมันมา (โทษมันอีก) แฟนเราเคยบอกว่า ไม่ไปก็ปฏิเสธให้ขาด อย่าทำเสียงนุ่มนิ่มแบบนี้ ไม่เอาไม่ซื้อไม่ไปไม่รับบริการเขาปฏิเสธให้ขาด อย่ามาทำเสียงนุ่มๆ ทำท่าเกรงใจ เราก็เลยจะเสียงแข็งๆหน่อยๆ เหมือนคนพร้อมไฝว้ตลอดเว ฮ่าๆ
อย่างที่ชิมลาคือ " ไอเซด ไอ ด็อนท์ วอน แท็กซี่!!!!" เสียงสูงเลยละ
แท็กซี่ คนดังกล่าว : โอ้วววววววว วาวววว (แล้วถอยกรูออกไปเลย)
หรือบางทีจะ ก็ โน!!! หนักๆคำเดียว จบ หรือ ไอเซด โน ย้ำๆ หนักๆกะเขาหน่อย คนมาขอทาน สภาพเขาก็น่าสงสารแหระ แต่เราก็สงสารตัวเรามากกว่าไงคือเงินมีจำกัดอ่ะ แล้วถ้าให้คนนี้ คนนู้นมองอยู่ไกลๆนู้นล่ะ เราก็จะ โน ไอเซโน แล้วผายมือเชิญเขาไปเลย (ใจร้ายมั้ย TT.TT )
ก็เนี่ยแหระ ก็ใจร้ายแหระ แต่ไม่อยากยื้ดยื้อไง สั้นๆ แต่จบค่ะ ไปต่อ ...........ก็ ไม่ต้องไปไฝว้กับเขาทุกคนหรอกนะ นั้นมันถิ่นเขา แต่ถ้าไม่ไหว จัดไปสักดอกก็ดี จะได้จบๆไป แฟนเราเคยบอกว่า มันไม่ผิด ถ้าเราจะทำปฏิกิริยาแบบนี้ และไดร์เวอร์ควรเข้าใจว่า ถ้าคนต้องการ คนเราก็จะไปหาเขาเอง ไม่จำเป็นต้องมาตอแย เซ้าซี้แบบนี้ ถ้าเป็นแฟนเราเขาจะ เสียงดังใส่ทุกเคสเลยละ นิ่งสุดก็แค่ ไม่พูดแต่มองหน้าคนขับตุ๊กๆพวกนั้นนิ่งๆ นางเคยรั่วสาดภาษาฮินดียาวๆ ใส่เหล่าไดร์เวอร์ด้วยนะ นี้ก็ซึมซับมาไง ฮ่าๆ
ที่มันหงุดหงิดก็เพราะว่าหิว หนาว แล้วก็อยากจะรีบเดินไป แต่ก็มาดักหน้าดักหลังทำให้เราเดินช้าไปอีกงี้ไง หลังจากเดินๆๆๆ เดินไปเรื่อยๆ เราก็ถึงที่พัก และเช็คอิน และออกไปหาอะไรกิน หลักๆก็จะเป็นบิยานีแหระ ยังไงเราก็คนไทย ต่อให้ชอบอาหารอินเดียแค่ไหน แต่จาปาตี นานโรตีมันไม่อิ่มอ่ะ เลยต้องพึ่งข้าวไว้ก่อน ก็เริ่มจากการหาโมโม่ก่อนเลย เพราะอยากมาก แล้วก็ต่อด้วย Veg บิยานี เผ็ดๆ อร่อยมากๆ
ขอชาไชสักแก้ว แล้วก็กุมแก้วชาไว้แบบนั้น ก็ร่างกายมันต้องการอะไรร้อนๆนิหน่า
วันที่ 8 ธันวาคม เริ่มเที่ยวจริงจังแหระนะ
เริ่มจากการเดินชมเมือง แถวๆที่พักในตอนเช้าตรู่ก่อน ก็ไม่มีอะไรเปิด ร้านค้า ร้านอาหารอินเดียจะเริ่มเปิด 11 โมงเช้านะจ๊ะ ข้าวเช้านี้หายากหน่อย เพราะข้าวเช้าของเขาคือ 11 โมง จะกินเร็วกว่านี้ต้องตะเวนถามแล้วละว่ายูเปิดหรือยัง อินเดียกินข้าวเช้าตอน 11โมง เที่ยงกินบ่าย ข้าวเย็นกินดึก ไม่ได้เกี่ยวกับเวลาไทยเร็วกว่านะ เขากินเวลานี้ของอินเดียจริงๆ บางครั้งแฟนเราส่งข้อความมาถาม ยูกินข้าวยัง ตอน11โมงของเขา เที่ยงของเรางี้ เราก็บอกนี้ lunch แล้วเดียร์ ก็ออกเช้าไปก็เท่านั้น ร้านไม่พร้อมบริการจ้า
เราก็เลยกลับที่พัก ไปซุกผ้าห่ม รอแดดออก รอเพื่อนตื่น เมื่อทุกอย่างพร้อมแดดมา เพื่อนพร้อม ป๊ะ เดี๋ยวจะพาไปชม ราชินีแห่งขุนเขาจริงๆละนะ
เราก็ตั้งเป้าหมาย แรก ไว้ที่ The Ridge เลย สันเขานั้นเอง ต้องไป นะ ต้องขึ้นนะ พยายามเดินไปหน่อย ถ้างบหน้าจะแท็กซี่ก็ได้ นี้ก็เดินเอา บอกตัวเองตลอดทาง ว่า มาแล้วนังชม ยังไงก็ต้องไหว ต้องไป เออก็ไปได้นะ
ต่อ ๆ
v
v
NAMASTE SHIMLA (ชิมลา) ราชินีแห่งขุนเขา ของหิมาจัล (อินเดีย)
บอกก่อนว่า ไปมันติดๆกันแล้ว อินเดีย ในรอบ 2 ปีนี้ ก็อย่างที่เขาว่ากันนะแหระ ว่า ถ้าไปแล้วรักก็รักเลย สำหรับรอบนี้ไปเมือง จัยปูร์ / จอร์ดปูร์ อ่านได้ที่ กระทู้นี้ >> https://ppantip.com/topic/38354198 ต่อจากจอร์ดปูร์ นี้เราก็ไป ชิมลา หรือ สิมล่า เป็นเมืองในรัฐหิมาจัล
บางคนอาจจะไม่คุ้นชื่อนี้ ที่นี้อินเดียนะจ๊ะนายจ๋า เป็นเมืองที่ถูกขนานนามว่า ราชินีแห่งขุนเขา ป๊าดดดดดดด ตอนที่ได้ยินชื่อนี้ก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะไปมากๆแล้ว แล้ว เธอยังมี เส้นทางรถไฟสายมรดกโลก อีกต่างหาก โอ้วโหววววว เช่นนั้นแล้ว เราก็เลยตัดสินใจปักมุด แพลนแผนไปที่นี้ละจ้า มันก็น่ารับมรดกโลกแหระ ก็มันเป็นเส้นทางรถไฟตัดหุบเขา ขึ้นเขาขึ้นไป วิวสวยมากจะนายจ๋า
หลังจากเที่ยวใน จอร์ดปูร์ หรือที่คนอินเดียออกเสียงว่า โจร๊ดปูร์ เสร็จแล้ว เราก็ย้ายร่าง ขึ้นรถไฟ ไปชิมลา แต่ชิมลาจะไม่มีรถไฟตรงขึ้นไปเลยนะ จะต้องไปลง สถานี kalka (เกลากา) ก่อน เพื่อ เปลี่ยนไปนั่ง รถไฟ Toy Train รถไฟสายมรดกโลกนี้ ขึ้นไปที่ชิมลา
มารู้จักชิมลา ก่อน ..............
ชิมลา เป็นเมืองหลวงในรัฐหิมาจัล
ชิมลา เป็นเมือง หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนหุบเขา ทั่วทั้งเขา .............
ชิมลา ได้รับขนานนามว่า เป็นราชินีแห่งขุนเขามานานแล้ว.......... หลายคนอาจจะรู้สึกว่า เห้ย เลห์ ลาดัก เขาสวยกว่า ทำไมไม่ได้รับขนานนาม ต้องบอกก่อนว่าความ อเมชิ่ง ของชิมลามันมีมานานแล้ว ที่อเมชิ่ง สุดๆสำหรับเราก็ตัวอาคาร บ้านเรือนของเขา แล้วมันก็ตั้งอยู่บนหุบเขา ท่ามกลางป่าสน เทือกเขา สวยและธรรมชาติมากๆ ดังนั้นมันก็เหมาะแล้วที่เขาจะได้รับสมยานามนี้
ชิมลามีอากาศเย็นสบายตลอดปี ในหน้าหนาว หนาวจิง แต่สวยมาก อุณหภูมิในหน้าหนาวอยู่ที่ -3 ถึง 6 ในช่วงที่เราไป คือธันวาคม กลางวัน 3-6องศา กลางคืน 1 องศา ถึง ติดลบจ้า
ชิมลาถูกก่อตั้งในช่วงที่ อังกฤษ เข้ามาครอบครองอินเดีย ดังนั้น ถ้าอยากไปยุโรปแต่บัทเจ้ทไม่ถึง มาที่นี้แทนได้เหมือนกัน สาวๆหนุ่มๆ ที่นี้ แต่งตัวกันแบบ สายฝอมากๆ เลย มีความรู้สึกว่าคล้ายๆยุโรปเลยละคะ อังกฤษเริ่มสร้างชิมลาช่วงทศวรรษที่ 1820 และนับจากนั้นที่นี่ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือน “ราชินีแห่งขุนเขา” เพื่อรับอากาศเย็นและความงดงามของธรรมชาติ ใครที่คิดจะมาที่นี้ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ คือมันอยู่บนเขา และมันไม่มีตุ๊กๆ มันมีแต่แท็กซี่ ถ้าเงินหนา ก็ไปแท็กซี่ได้เลย แต่ถ้าไปแบบ ประหยัดเน้นกินแบบเรา ก็เดิน ......
จะเดิน ไปฟิตร่างกายมาด้วย มันเดินไต่เขาอ่ะนะ ขึ้นที่สูง พกขวดน้ำไว้จิบด้วยนะคะ เดินขึ้นก็เหนื่อยแล้ว แล้วขึ้นที่สูงออกซิเจนต่ำ เหนื่อยง่ายมากๆ ก็ฟิตๆมาหน่อย จะได้เที่ยวสนุก เราก็เน้นเดินเอานะ ที่นี้ส่วนใหญ่ เดินไปเดินมา โผล่ซอยนั้นซอยนี้สุดท้ายทะลุถึงกันหมด เที่ยวง่ายมากๆ เดินง่ายมากๆ ขอแค่แรงมี สนุกชัวร์
เราออกจากจอร์ดปูร์ วันที่ 6 ธันวาคม นั่งรถไฟ รอบ 10.25 น. จองคลาส A3 จริงๆ A3 นี้ก็ดีแล้วนะ เพียงแต่ส่วนตัวน้อยกว่า A2 แค่นั้นเองวันเวลานาน ละจ๊ะนายจ๋า หลายชั่วโมงเลยละ ตั้งแต่ 10โมงของวันที่ 6 ธันวาคม ถึง เกลากา ใน7โมงของวันที่ 7ธันวาคม
อันนี้ออเดอร์อาหารผ่านแอฟติดตามรถไฟ รายละเอียดอยู่ในกระทู้เที่ยวจอร์ดปูร์ ถ้าไม่อยากอ่านกระทู้นั้นทั้งหมดก็อ่านเฉพาะที่เกี่ยวกับรถไฟก็ได้ มันอยู่ในรายละเอียดต้นๆอยู่แล้ว เราบอกไว้ทั้งแอฟติดตามรถไฟ การจอง เว็ปจอง เกี่ยวกับระบบ รถไฟ ถ้าคิดจะเที่ยวด้วยรถไฟแล้วยังงงๆ กลัวๆ ไปอ่านได้เลยจ้า
อิ่มแล้วก็นอน ฝั่งตรงข้ามไม่มีคน เพื่อนเราเลยไปนอนฝั่งนั้นก่อน ส่วนอีกคนที่ตอนแรกนั่งข้างล่างด้วย เขาถามว่าจะนอนมั้ยเดี๋ยวเขาปีนขึ้นข้างบนให้ ยังไม่ทันตอบว่าจะนอนหรือไม่ เขาก็ปีนขึ้นที่ของเขาแล้ว แอบคิดนะว่า ถ้าเป็นรถไฟไทยแล้วเราบอกเราจะปูเตียงตั้งแต่กลางวัน เธอขึ้นไปนอนที่ของเธอเลย ฉันจะนอนคงจิมีตาขวาง หรือไม่ก็ตัดพ้อ ใส่กันบ้างแหง่ๆ แต่นี้อินเดียไง เขาเฟรนลี่ เขาใจดี เขาน่ารัก
เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ.........ก็ทั้งคืนทั้งวันนะจ้า แล้วเราก็มาถึง Kalka แล้ววววววววว ความหนาวสุดๆ ต้องคว้าเสื้อมาใส่อีกชั้นเลยละ จ้า เสื้อคอเต่า 3 ชั้น เสื้อคลุม ผ้าคลุม โอ้ยยยยยย ยังหนาวอยู่เลยจ้า เราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟ นั่งชั้น 3 ธรรมดาไปอ่ะนะ 2ที่ 100รูปี ตกที่ละ 50รูปี หรือประมาณ 25บาท
รถไฟออกเที่ยง ก็ช้า กว่ากำหนด 30 นาที (ไปรถไฟรอบเที่ยง) ถึง ประมาณ ห้าโมงเย็น ดีเลย์แค่ 30 นาทีเอง อู้ยยยยย ดีงามมมม ระหว่างทาง ก็ดีนะ วิวสวยมากๆ แต่ไปชั้น 3 ต้องทำใจไว้เรื่องหนึ่ง อ๊ะๆๆ ไม่ใช่กลิ่นนะ กลิ่นในชั้นนี้บอกตรงๆ เวียนหัว ก็แหม พรมน้ำหอมกันซะ ฉุนเชียว ไอ่หนุ่มคนนั้นกลิ่นหนึ่ง แม่สาวคนนี้อีกกลิ่นหนึ่งแล้วฉีดกันซะแบบ นึกว่าราดใส่ตัวมา โอ้โห้วววว ที่ให้ทำใจเลยก็คือ โหวกเหวกมากๆ ขาไปยังไมาเท่าไรนะ ขากลับนี้ นางเล่นเกมส์กัน นึกจะเฮก็เฮ นึกจะฮิ้วก็ฮิ้ว อุ๊ยยยไม่ต้องนอน นี้ละทำใจเรื่องความอึกทึกครึกโครมของเด็กวัยรุ่นนี้ละจ้า ก็เหมือนวัยรุ่นเกรียนๆในบ้านเรานี้ละจ้า อย่าไปคิดมาก
และแล้วเราก็มาถึงชิมลา........ และแท็กซี่ก็รุมเราหนักมาก จนเราฟิวขาด จริงๆ ทริปนี้เราฉุนเฉียวหนักมาก คือเรามีแฟนเป็นคนอินเดียก็จะซึบซับนิสัยมันมา (โทษมันอีก) แฟนเราเคยบอกว่า ไม่ไปก็ปฏิเสธให้ขาด อย่าทำเสียงนุ่มนิ่มแบบนี้ ไม่เอาไม่ซื้อไม่ไปไม่รับบริการเขาปฏิเสธให้ขาด อย่ามาทำเสียงนุ่มๆ ทำท่าเกรงใจ เราก็เลยจะเสียงแข็งๆหน่อยๆ เหมือนคนพร้อมไฝว้ตลอดเว ฮ่าๆ
อย่างที่ชิมลาคือ " ไอเซด ไอ ด็อนท์ วอน แท็กซี่!!!!" เสียงสูงเลยละ
แท็กซี่ คนดังกล่าว : โอ้วววววววว วาวววว (แล้วถอยกรูออกไปเลย)
หรือบางทีจะ ก็ โน!!! หนักๆคำเดียว จบ หรือ ไอเซด โน ย้ำๆ หนักๆกะเขาหน่อย คนมาขอทาน สภาพเขาก็น่าสงสารแหระ แต่เราก็สงสารตัวเรามากกว่าไงคือเงินมีจำกัดอ่ะ แล้วถ้าให้คนนี้ คนนู้นมองอยู่ไกลๆนู้นล่ะ เราก็จะ โน ไอเซโน แล้วผายมือเชิญเขาไปเลย (ใจร้ายมั้ย TT.TT )
ก็เนี่ยแหระ ก็ใจร้ายแหระ แต่ไม่อยากยื้ดยื้อไง สั้นๆ แต่จบค่ะ ไปต่อ ...........ก็ ไม่ต้องไปไฝว้กับเขาทุกคนหรอกนะ นั้นมันถิ่นเขา แต่ถ้าไม่ไหว จัดไปสักดอกก็ดี จะได้จบๆไป แฟนเราเคยบอกว่า มันไม่ผิด ถ้าเราจะทำปฏิกิริยาแบบนี้ และไดร์เวอร์ควรเข้าใจว่า ถ้าคนต้องการ คนเราก็จะไปหาเขาเอง ไม่จำเป็นต้องมาตอแย เซ้าซี้แบบนี้ ถ้าเป็นแฟนเราเขาจะ เสียงดังใส่ทุกเคสเลยละ นิ่งสุดก็แค่ ไม่พูดแต่มองหน้าคนขับตุ๊กๆพวกนั้นนิ่งๆ นางเคยรั่วสาดภาษาฮินดียาวๆ ใส่เหล่าไดร์เวอร์ด้วยนะ นี้ก็ซึมซับมาไง ฮ่าๆ
ที่มันหงุดหงิดก็เพราะว่าหิว หนาว แล้วก็อยากจะรีบเดินไป แต่ก็มาดักหน้าดักหลังทำให้เราเดินช้าไปอีกงี้ไง หลังจากเดินๆๆๆ เดินไปเรื่อยๆ เราก็ถึงที่พัก และเช็คอิน และออกไปหาอะไรกิน หลักๆก็จะเป็นบิยานีแหระ ยังไงเราก็คนไทย ต่อให้ชอบอาหารอินเดียแค่ไหน แต่จาปาตี นานโรตีมันไม่อิ่มอ่ะ เลยต้องพึ่งข้าวไว้ก่อน ก็เริ่มจากการหาโมโม่ก่อนเลย เพราะอยากมาก แล้วก็ต่อด้วย Veg บิยานี เผ็ดๆ อร่อยมากๆ
ขอชาไชสักแก้ว แล้วก็กุมแก้วชาไว้แบบนั้น ก็ร่างกายมันต้องการอะไรร้อนๆนิหน่า
วันที่ 8 ธันวาคม เริ่มเที่ยวจริงจังแหระนะ
เริ่มจากการเดินชมเมือง แถวๆที่พักในตอนเช้าตรู่ก่อน ก็ไม่มีอะไรเปิด ร้านค้า ร้านอาหารอินเดียจะเริ่มเปิด 11 โมงเช้านะจ๊ะ ข้าวเช้านี้หายากหน่อย เพราะข้าวเช้าของเขาคือ 11 โมง จะกินเร็วกว่านี้ต้องตะเวนถามแล้วละว่ายูเปิดหรือยัง อินเดียกินข้าวเช้าตอน 11โมง เที่ยงกินบ่าย ข้าวเย็นกินดึก ไม่ได้เกี่ยวกับเวลาไทยเร็วกว่านะ เขากินเวลานี้ของอินเดียจริงๆ บางครั้งแฟนเราส่งข้อความมาถาม ยูกินข้าวยัง ตอน11โมงของเขา เที่ยงของเรางี้ เราก็บอกนี้ lunch แล้วเดียร์ ก็ออกเช้าไปก็เท่านั้น ร้านไม่พร้อมบริการจ้า
เราก็เลยกลับที่พัก ไปซุกผ้าห่ม รอแดดออก รอเพื่อนตื่น เมื่อทุกอย่างพร้อมแดดมา เพื่อนพร้อม ป๊ะ เดี๋ยวจะพาไปชม ราชินีแห่งขุนเขาจริงๆละนะ
เราก็ตั้งเป้าหมาย แรก ไว้ที่ The Ridge เลย สันเขานั้นเอง ต้องไป นะ ต้องขึ้นนะ พยายามเดินไปหน่อย ถ้างบหน้าจะแท็กซี่ก็ได้ นี้ก็เดินเอา บอกตัวเองตลอดทาง ว่า มาแล้วนังชม ยังไงก็ต้องไหว ต้องไป เออก็ไปได้นะ
ต่อ ๆ
v
v