[CR] ความสวยนอกกรอบของความสูง ดอยหลวงเชียงดาว

สำหรับคนที่รักการเดินป่า ผมเชื่อว่าภูเขาหลายแห่งในเมืองไทยก็สวยไม่แพ้ประเทศอื่น และถ้าพูดถึงยอดเขาที่สูงอันดับต้นๆ ในเมืองไทย ดอยหลวงเชียงดาว คงเป็นชื่อนึงที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลายๆ คน ผมเองเริ่มเดินป่ามาได้ไม่กี่ปี เลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อเสียงของดอยหลวงเชียงดาว แต่พอมีคนมาชวนไป ผมก็ตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย เพราะหลังจากเพิ่งกลับมาจากเนปาลเมื่อเดือนก่อน ผมรู้สึกเบื่อชีวิตในเมืองอย่างหนัก เลยหาทุกโอกาสที่จะกลับเข้าไปอยู่ท่ามกลางขุนเขาอีกครั้ง ไปนอนกลางป่า สัมผัสอากาศหนาว ท่ามกลางวิวสวย ไปกันเลยดีกว่า

ข้อมูลทริป
วันเดินทาง: 02.12.2018 – 04.12.2018
การเดินทาง: กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ - เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว - หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด)
นักเดินทาง: 5 คน
จุดมุ่งหมาย: ดอยหลวงเชียงดาว

ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่:
Youtube:  http://www.youtube.com/c/KnowWhereLand
Facebook:  https://facebook.com/KnowWhereLand
ขอบคุณครับ =)




เสียงของเครื่องยนต์ดีเซลในรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่ร้องคำรามตลอดช่วงที่รถเร่งเครื่องขึ้นถนนลูกรังที่ดูจะชันขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางที่คดเคี้ยวไม่ได้ทำให้เจ้าหน้าที่ขับรถดูกังวลแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะความเคยชิน แต่อีกแปดชีวิตที่เหลือต้องหาที่ยึดตัวให้อยู่กับที่ ขณะที่ตัวรถเหวี่ยงไปมาบนถนนที่ขรุขระ ผมหันกลับไปมองคนที่นั่งกระบะหลังอยู่เป็นครั้งคราว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กระเด็นกระดอนหล่นไปข้างทาง นี่ดีนะที่เรายังไม่ได้กินข้าวเช้ามา ไม่งั้นคงมีพุ่ง พอมานั่งนึกดู จะว่าไปแล้วการนั่งรถแบบนี้ก็เป็นส่วนนึงของการเดินป่าหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่มันคงเป็นส่วนที่ไม่ค่อยอยากจะจดจำ เลยมักจะลืมเตรียมตัวเตรียมใจมาทุกครั้ง

เรานั่งรถอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะถึงที่ตั้งหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) ซึ่งเป็นจุดที่เราจะเริ่มออกเดินทางด้วยเท้า พวกเราขนสัมภาระมาชั่งน้ำหนักเพื่อที่จะให้ลูกหาบแบ่งของเพื่อขนขึ้นไป ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นน้ำดื่ม เพราะนอกจากจะใช้สำหรับดื่มแล้วยังต้องเผื่อสำหรับทำอาหารช่วงที่เราอยู่บนภูเขา ทางเจ้าหน้าที่จัดลูกหาบมาให้ทีมเรา 2 คนและไกด์ 1 คน โดยลูกหาบสามารถหาบได้ไม่เกินคนละ 20 กิโล หากน้ำหนักเกินก็ต้องต่อรองราคาค่าขนส่งเพิ่มเติมกันไป

ดอกบัวตอง
เมื่อทุกคนจัดของกันเรียบร้อย เราก็มานั่งรวมตัวกันที่โต๊ะไม้เพื่อที่จะทานอาหารกลางวันที่แวะซื้อมาจากตลาด นั่นก็คือหมูปิ้งคนละสี่ไม้กับข้าวเหนียวห่อมโหฬาร ผมทานหมูปิ้งหมดอย่างรวดเร็ว เหลือข้าวเหนียวเก็บไว้อีกครึ่งหนึ่งใส่กระเป๋าสำหรับมื้อต่อไป จัดระเบียบตัวเองพร้อมออกเดิน ระยะทางจากจุดนี้ถึงจุดตั้งแคมป์ อยู่ที่ 8.5 กิโลเมตร โดยทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเราน่าจะใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งเราก็ตีไปประมาณ 5 ชั่วโมงเพราะกะว่าจะเดินหยุดพัก และถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เรา 5 คนออกตัวเดิน ณ เวลาประมาณ 11:30 น. ซึ่งน่าจะมีเวลาพักผ่อนเพียงพอเมื่อถึงจุดตั้งแคมป์ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปที่ยอดดอยเพื่อดูพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็น

ไม้ล้มที่เจ้าหน้าที่ตัดเพื่อเคลียเส้นทาง
ความเขียวชุ่มชื่นของป่าเชียงดาว
อากาศตอนเช้าวันนี้เย็นสบาย แต่ยิ่งใกล้เที่ยงเข้าไปเท่าไหร่ความแรงของแดดก็ยิ่งร้อนเป็นทวีคูณ เส้นทางในช่วงแรกเดินค่อนข้างง่าย ผ่านป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีวิวภูเขาให้ถ่ายรูปไปตลอดทาง เราหยุดตรงจุดที่มีดอกเทียนนกแก้ว เป็นดอกไม้ที่รูปร่างเหมือนนกตัวเล็ก มันช่างดูสวยงามและบอบบางเหลือเกิน ซึ่งตอนที่เราเดินผ่านนั้นมีเพียง 6 ดอกให้เราได้เก็บภาพ พืชพรรณดอกไม้ที่สวยงามเหล่านี้ ที่เป็นไฮไลท์ของป่าเชียงดาว จากที่ได้นั่งฟังบรรยายเบื้องต้นที่สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ธรรมชาติของป่าเชียงดาวนั้นเป็นสังคมพืชป่ากึ่งอัลไพน์ เป็นพืชพรรณที่ใช้ชีวิตอยู่ในอากาศหนาวบนภูเขาสูง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนที่ใดในเมืองไทย เพราะฉะนั้นการรักษาสมดุลของธรรมชาติในบริเวณนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง การจะมาซึมซับความสวยงามของดอยหลวงเชียงดาวจึงไม่ใช่แค่การมาถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ที่ยอดเขา แต่ต้องคอยสังเกตพืชพรรณต่างๆ ระหว่างทางเดินของเราด้วย

ดอกเทียนนกแก้ว
ขนุนดิน
เมื่อเราเริ่มเดินลึกเข้าไปในหุบเขา ความดิบของธรรมชาติก็เริ่มบีบให้ทางเดินนั้นแคบลง ต้นหญ้าที่สูงระดับหัวทำให้ระหว่างเดินต้องยกมือกันไม่ให้ใบหญ้ามาตีหน้าเรา ความชื้นของป่าทำให้พื้นดินมีความแฉะและลื่น เราจึงต้องเดินอย่างระวังมากขึ้น ยิ่งเดินลึกเข้าไป เส้นทางก็ยิ่งคดเคี้ยวและเริ่มชันมากขึ้น ขาของผมเริ่มรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของสัมภาระที่สะพายอยู่บนหลัง ผมนั่งพักและเงยหน้ามองวิวหุบเขาสีเขียวขจี เพื่อที่จะให้สติหยุดโฟกัสกับความเหนื่อย แล้วไปโฟกัสกับโมเม้นและสิ่งที่อยู่รอบตัว หลายครั้งเวลาเดินทางไกล เรามักจะรีบเดินให้ถึงจุดหมายจนเราลืมจะซึมซับกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เวลาผมอยู่ในที่ที่ผมชอบ ผมจะหยุดและมองสิ่งที่อยู่รอบตัว พูดออกมาให้ตัวเองได้ยินว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ในโมเม้นนั้นเหมือนทุกอย่างและเวลาหยุดอยู่นิ่ง แล้วปล่อยให้ทุกประสาทซึมซับบรรยากาศนั้นไว้ในความทรงจำ จากนี้ไปไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ผมเพียงแค่หลับตาแล้วนึกถึงความทรงจำนี้ ผมก็จะกลับมาอยู่ที่จุดนี้ได้อีกครั้ง

เดินฝ่าใบหญ้าสูง
ดอยพีรามิด
เราเดินมาถึงอีกจุดที่เป็นไฮไลท์ของเส้นทาง นั่นก็คือซากฟอสซิลหอยบนหินปูน ที่มีอายุถึง 230 ล้านปี โดยเชื่อว่าสมัยดึกดำบรรพ์ พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นท้องทะเลมาก่อน แต่ด้วยการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้พื้นดินถูกดันสูงขึ้นมาเป็นแนวเขาในปัจจุบัน ไกด์คนหนึ่งเล่าว่า มีซากฟอสซิลอีกหลายจุดอยู่บนแนวหินที่อยู่รอบบริเวณนั้น แต่ไม่มีทางเดินให้เข้าไปดูได้ ผมนึกในใจว่าซากหอยตัวนี้จะอยู่ให้เห็นอีกนานแค่ไหนถ้ามันใกล้มือนักท่องเที่ยวขนาดนี้ มันคงดีแล้วที่ส่วนอื่นๆ นั้นไม่สามารถเดินเข้าไปดูได้

ซากฟอสซิลหอย อายุ 230 ล้านปี
เราเดินสูงขึ้นไปสักพักก็ถึงจุดตั้งแคมป์ของเราตอนประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง เพื่อนๆ คนอื่นเดินไปเบิกแผ่นรองนอนและเลือกเต็นท์ที่เจ้าหน้าที่กางรอไว้ ส่วนผมก็เลือกพื้นที่เรียบเพื่อที่จะกางเต็นท์ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมแบกเต็นท์ขึ้นมากางเอง มันกางง่ายและรวดเร็วกว่าที่คิด หลังจากนั้นเราก็จัดของในเต็นท์ของแต่ละคน แล้วก็เอนหลังพักผ่อนกันเล็กน้อย

เมื่อถึงเวลา 5 โมง ไกด์ของเราเดินมาเรียกให้ทุกคนเตรียมพร้อมเพื่อจะเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณ 45 นาที เส้นทางขึ้นยอดเริ่มจากทางราบผ่านพงหญ้าสูง แล้วจึงเป็นทางชันที่ต้องเกาะหินดึงตัวขึ้นไปเป็นระยะๆ ไม่ได้ยากเกินไปถ้าเดินอย่างระมัดระวัง ผมเดินถ่ายรูปดอกไม้ตามเนินเขาที่กำลังอาบแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่กำลังจรดตัวลงมาที่ขอบฟ้า ลำแสงที่ดูอบอุ่นดูขัดกับอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ

พงหญ้าสูงก่อนปีนขึ้นดอย
ดอกไม้ใกล้ยอดเขาในแสงอาทิตย์สีทอง
ทางปีนขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาว
จุดถ่ายรูปหน้าป้าย
ผมเดินขึ้นมาหยุดอยู่ที่ป้ายจุดสูงสุดของยอดดอย “2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเล” ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เขตฯ ที่นี่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศที่ต้องเดินเท้าเข้ามา คงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนอยากมาพิชิตกัน บรรยากาศตอนนี้มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่บางๆ บวกกับลมที่เย็นจนหลายคนต้องเอาเสื้อออกมาใส่เพิ่ม ทุกคนนั่งจับจองพื้นที่เพื่อรอถ่ายพระอาทิตย์ตก ต้องบอกว่าวันที่เราขึ้นไปนั้นคนเยอะมากพอสมควร เลยอาจจะไม่ได้สงบเงียบอย่างที่ผมหวัง แต่พอพระอาทิตย์เริ่มลับฟ้า เสียงพูดคุยก็เริ่มเงียบลง ผมกดถ่ายรูปเสร็จก็นั่งนิ่งๆ มองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง การดูพระอาทิตย์ตกมักจะทำให้ผมคิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ผ่านมาในชีวิต เราให้ความสำคัญกับบางสิ่งในชีวิต ดีพอหรือยัง และเราคิดมากเกินไปไหม กับปัญหาในชีวิต เพราะไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้าย สักวันมันก็ต้องผ่านพ้นไปเหมือนกับอาทิตย์ที่ลับฟ้าในทุกวัน

พระอาทิตย์ที่กำลังลดตัวลงมาที่ขอบฟ้า
นักเดินเขาทั้งหลายนั่งชมพระอาทิตย์ตก
แสงสุดท้ายก่อนอาทิตย์จะลับฟ้า
คนเริ่มทยอยเดินลงเพราะถ้ามืดกว่านี้จะเดินกันลำบาก ผมเองก็เก็บกล้องแล้วเอาไฟฉายมาคาดหัว ผมเดินลงอย่างช้าๆ จนถึงประมาณกลางเนิน มองไปที่แสงไฟฉายของคนกลุ่มหน้าที่เดินลงไปก่อน แล้วก็หันกลับขึ้นไปมองกลุ่มที่กำลังเดินตามลงมาอยู่ไกลๆ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมยืนอยู่คนเดียวระหว่างสองกลุ่ม ในบรรยากาศที่เงียบกริบ ผมมองท้องฟ้าที่มืดลง เหลือเพียงแสงสีส้มอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์ที่จากลาไป มีเพียงสายลมเบาๆ ที่อยู่ระหว่างผมกับธรรมชาติที่แสนสงบ ผมหายใจเข้าอย่างลึก แล้วหายใจออก ยืนนิ่งเพื่อซึมซับทุกสิ่งรอบตัว ผมจะเก็บโมเม้นนี้ไว้ในความทรงจำ..

ทางเดินกลับแคมป์ที่กำลังมืดลง
เมื่อทุกคนกลับถึงแคมป์ เราก็เตรียมทำอาหารเย็นกัน เราทำอาหารง่ายๆ ทานกับข้าวเหนียวห่อที่เหลือจากตอนกลางวัน อากาศยามค่ำเย็นมากจนทำให้เราต้องใส่เสื้อหนาวขณะที่นั่งทานข้าวเย็นกัน เมื่อทานเสร็จก็ต้องเก็บของมาเช็ดล้างด้วยทรัพยากรน้ำที่จำกัด เสียงของกลุ่มอื่นๆ ที่คุยกันอย่างเฮฮา ทำให้บรรยากาศในหุบเขาในค่ำคืนนี้คึกคักกว่าที่คาดไว้

พอเก็บของกันเรียบร้อย ผมก็หยิบกล้องออกมารอถ่ายดาวที่ตอนนี้ระยิบระยับอยู่เต็มฟ้า แต่เนื่องจากคนเยอะและมีแสงมากวนกล้องอยู่ตลอด เลยเก็บภาพได้แค่นิดหน่อย เห็นอีกกลุ่มเค้าถ่ายรูปส่องไฟฉายขึ้นฟ้ากัน เลยแอบถ่ายเค้าติดมาด้วย มันทำให้รูปดูน่าสนใจขึ้นมาอีกหน่อย คืนนี้ยังหาจุดดีๆ ถ่ายทางช้างเผือกไม่ได้ และด้วยความอ่อนเพลียจากการเดิน เลยตัดสินใจเข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ไว้ค่อยมาเก็บช้างเผือกคืนพรุ่งนี้ละกัน

เต็นท์ใต้ทะเลดาว
แสงส่องไปบนฟ้าที่มืดมิด
ชื่อสินค้า:   ดอยหลวงเชียงดาว
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่