เมื่อผมและแม่ ตัดสินใจ ขี่มอเตอร์ไซด์ไปเที่ยว จากกรุงเทพฯ ไป บึงกาฬ [ แม่ - ลูก ตะลอนทัวร์ ]

อมยิ้ม01  มาแร้วววววววครับ กับ ทริปวันหยุดยาว  คุณแม่ & ลูกชาย กับ มอเตอร์ไซด์อีก 1 คัน  จะ โหด – มัน – ฮา แค่ไหน   ตามพวกเรามากันเลยครับผม



          จริง ๆ แล้วเรามีแพลนว่า  จะมีทริปขี่รถไปเที่ยวเหนือกับแก๊งค์  kasang lambretta - hall Ayutthaya  วันที่ 5 – 11 ธันวาคม  
แต่เนื่องจากเป็นการขี่รถทางไกล  ทำให้มีรถหลายคันยังทำไม่เสร็จ   ทริปเที่ยวเหนือของเราจึงมีอันต้องเลื่อนออกไป    แต่ไหน ๆ
ก็ไหน ๆ แล้ว  คุณลูกชายลางานแล้วนี่เนอะ    เราก็เลยไปเที่ยวกันสองคน 1 คัน  มันซะเลย

          ทริปนี้  ก็เลยเป็นทริปที่ไม่ได้แพลนอะไรมาก  แต่จะไปไหนดีล่ะ ????    แล้วที่สำคัญ  ในความรู้สึกของคนเป็นแม่  
ยังไงมันก็มีความกังวลอยู่เป็นธรรมดา   เพราะไปกันเองแค่สองคน  คันเดียวโดด ๆ  ระยะทางไกล ๆ  หลาย ๆ วัน  จะอันตรายไม๊    
อืม.....  แต่ถ้าคิดมากไป  ก็ นอนดู ซีรี่ส์ อยู่บ้าน แล้วกันนะ  (ใครจะไปยอมเนอะ)  หลังจากสลัดความวิตกกังวลออกไปจากหัว  
ก็เริ่มแพ็คกระเป๋า   ก็ไม่มีอะไรมากแค่กระเป๋าใบเดียว  คุณลูกบอกว่า  วิถีไบค์เกอร์  ต้องไม่เรื่องมาก  ชุดนอน ชุดเที่ยว ชุดเดียวกัน  


  
        พร้อมแล้วครับ   เริ่มเดินทางกันเลยยยยย    เราออกจากบ้าน ประมาณตี 1  ก็คุณลูกชายเค้าบอกว่า ดึก ๆ รถไม่เยอะ ขี่สบาย  
แม่เป็นคนซ้อนจะทำไงได้ล่ะครับ  ก็ต้องตามใจคนขับ   เราก็ขี่ไปเรื่อย ๆ ชิลล์ ๆ  ผ่านรังสิต  อยุธยา  สระบุรี  นครราชสีมา  เราจึงได้แวะ
พักรถและเติมน้ำมัน


พักร่าง  พักสายตา  สักนิด  สักหน่อยครับ  เราไม่รีบอยู่แร้วววววว


          เมื่อฟ้าสาง  เราก็เดินทางต่อครับ  เช้านี้อากาศเย็นมากครับ  ขนาดแม่อยู่ด้านหลังยังสั่นเลยครับ    ตอนแรกเราคิดกันว่า  จะแวะเข้าไปกราบไหว้ขอพรท้าวสุรนารี  แต่พอขับมาถึงทางแยก  ปรากฏว่าทางไปขอนแก่นกับทางไปตัวเมืองมันคนละทางกัน  เราก็เลยไม่ได้ตรงไป  แต่เลี้ยวซ้ายไปจังหวัดขอนแก่น   เมื่อขี่มาได้สักพักก็เห็นทางไปวัดบ้านไร่  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เรามาเที่ยว  ก็เลยขี่แวะเข้าไปเที่ยวที่วัดบ้านไร่ครับ   เราสองคนไม่เคยมาเลยนะครับ   พอไปถึง  วัดเงียบมากครับ  ไม่มีคนเลย  




          เราสองคนเมื่อจอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปด้านใน    เดินดูด้านนอกรอบ ๆ ไปเรื่อย แล้วก็เข้ามาด้านใน  อืม...  ใหญ่มาก ๆ เลยนะครับ  ส่วนคุณลูกชายพอโดนแอร์เย็น ๆ เข้าหน่อยก็ของีบพักสายตาสักแป๊ป   ส่วนคุณแม่ก็เดินดู  อ่านโน้น  นี่นั่นไป   พอเดินทั่วหมดแล้ว  เราก็ออกเดินทางกันต่อไป




          เราก็ไม่รู้เส้นทางหรอกครับ   ก็อาศัยคุณ GPS  นำทางไป  ก็ขี่ผ่านจังหวัดชัยภูมิ  ได้พักกินน้ำ  ยืดแข้ง ยืดขา ที่ปั๊มน้ำมัน   
แล้ววันนี้ที่ คาเฟ่ อเมซอน เมื่อซื้อเครื่องดื่มก็จะได้ จานรองแก้วฟรี แถมไปด้วย  แม่ก็เลยจัดซะหน่อย   ความจริงไม่ค่อยชอบหรอก
นะครับ  มันไม่ค่อยชื่นใจ  สู้น้ำเปล่าเย็น ๆ หรือ แป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งซ่า ๆ ไม่ได้


          
          แล้วเราก็มาถึงขอนแก่นครับ   (ตอนนี้ประมาณ 4 โมงเย็นครับ)  สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ เข้าไปกราบสักการะศาลหลักเมือง
ขอนแก่น   ก็อาศัยคุณ GPS นำทางอีกเช่นเคย   เมื่อมาถึงก็กราบสักการะ  นั่งพัก  เตรียมหาที่พัก  และที่เที่ยวสำหรับค่ำคืนนี้ครับผม

          บอกแล้วว่าทริปนี้  เราจะไม่มีการวางแผนใด ๆ จะเป็นการลุยอย่างเดียว  เพื่อความดิบ  เราจึงลองใช้บริหารของ Agoda ดู  ก็หา ๆ เลือก ๆ สุดท้ายก็มาคิดว่า  ก็แค่นอนไม่ใช่เหรอ  ก็เอาที่สะดวก  สะอาด ไม่เน้นเลิศหรู อลังการใด ๆ แค่ดูดี  ไม่ขี้เหล่จนเกินไป  พอได้ก็กดจอง  กดจ่ายเงิน  แล้วก็ขี่รถตามแผนที่ไปทันที    พอไปถึง โรงแรมก็ OK. นะ  แต่ก็ไม่ใช่โรงแรมใหม่ซะทีเดียว  แต่ก็พอได้อยู่ครับ  

          เมื่อ Check-in ได้กุญแจ  เราก็ขึ้นห้องพัก  นอนเล่นสักพักแล้วก็ออกไปหาข้าวกินครับ     แต่เดินมาได้แค่หน้าโรงแรมเอง  ก็มาเจอร้านส้มตำ  แค่เห็นไก่ย่างก็ตรงเข้าด้านในเลย  ไม่ไปต่อแระ 5555  มื้อนี้เรากินอาหารอีสานง่าย ๆ  ตำข้าวโพด  ไก่ย่าง  ต้มแซ่บ  
ตำซั่ว  แล้วก็ข้าวเหนียว  พออิ่มพวกเราก็เริ่มออกสำรวจขอนแก่นกันล่ะครับ  


เราไปเดินเล่นที่ ตลาดต้นตาลครับผม  เค้ามีของขาย  มีดนตรีสดมาเล่นให้ฟังด้วยนะครับ


แล้วก็ขี่รถแล่นชมวิว  ไปกราบสักการะ พระธาตุแก่นนคร   เมื่อเริ่มดึก  เราก็กลับที่พักเพื่อมาพักผ่อน  เตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ครับ



          วันนี้เรา Check-out  ออกจากที่พัก ก็ 9 โมงกว่า   จุดหมายปลายทางต่อไป ก็คือ อุดรธานี ครับผม  เดินทางกันต่อเลย




          ขี่ไปเห็นป้าย “ทะเลบัวแดง” มันก็น่าสนใจดีนะ  ก็เลยว่าจะลองเข้าไปดู  แต่พอถามคุณ GPS  โอ้โห....  ไปอีกตั้งไกล  ระยะทางขี่เข้า – ขี่ออก เท่ากับเราขี่ไปถึง หนองคายเลยนะ  เราเลยขอ บาย  ไม่เข้าไป  ขอขี่ยิงไปหนองคายเลยดีกว่า  

ตอนนี้เราใช้ชีวิตบนรถมอไซด์ และก็ในปั๊มน้ำมันเป็นส่วนใหญ่  ไม่เร่งรีบ นั่งพัก กินข้าว กินน้ำ  ช่วงใช้ชีวิต Slow life แบบสั้น ๆ



          พอมาถึงหนองคาย  เราวางแผนกันไว้ว่า  เราจะไปเที่ยว วัดผาตากเสื้อ ก่อนแล้วก็ค่อยขี่ไปนอนที่บึงกาฬ    แต่หารู้ไม่ว่า  ระยะทางจากตัวเมืองหนองคายเข้าไปที่ วัดผาตากเสื้อนั้น  โคตรไกลอ่ะ  แถมขึ้นเขาอีกต่างหาก  แต่วิวก็สวยดีขี่เลียบแม่น้ำโขง สวยมากครับ

          และแล้วเราก็มาถึง  วัดผาตากเสื้อ ครับผม   เรามาถึงก็บ่าย 3 แล้วครับ  แดดอย่างเปรี้ยงเลยครับ  วันนี้ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยว  ไม่มีทัวร์จีน  โชคดีมาก ๆ เลยครับผม





วิวตรงหน้าก็สวยงาม  สมคำร่ำลือ  สวยมาก ๆ เลยครับ  ถ้ามาตอนเช้าได้เห็นหมอกคงฟินกว่านี้แน่นอนครับ





          ส่วน SkyWalk ตรงพื้นกระจกใสนั้น  ตอนแรกแม่ก็เสียว ๆ นะครับ  ไม่กล้าเดิน  มันเสียวนะครับ  พื้นที่มันเล็ก ๆ ไม่ได้กว้างใหญ่มาก  เหมือนที่เราเห็นในรูป  พื้นที่นิดเดียวเองทางเดินก็ไม่ได้ระยะทางไกลมาก  เมื่อทำใจได้ก็เดิน  โดยไม่มองพื้นด้านล่าง  แต่ก็นะ  ไหน ๆ มาแล้ว  ได้เดินแล้ว  ก็แอบมองซะหน่อย 555555+  




เมื่อเดินจนทั่วเราก็ต้องรีบกลับ  เพราะเราต้องขี่รถออกไปตั้งไกล  และต้องขี่ไป บึงกาฬ อีก



         เมื่อเราออกจาก วัดผาตากเสื้อ ไปได้เกือบๆ 1 กิโลเองครับ  โชคดีมาก ๆ ที่ยังไม่ได้ขี่ถึงทางลงเขาเลย  ยางรถก็เกิดแตก  รถก็สะบัด เสียหลัก  แต่รถไม่ได้ล้ม เพราะลูกชายประคองรถได้  เราก็ งง ว่ารถเป็นอะไร  ก็ไม่ได้ขี่ทับอะไรนี่หว่า แต่พอดูยางหลังเท่านั้น เรียบร้อย   ตอนนั้นบอกตรง ๆ แม่ก็ใจเสียนะครับ  เพราะระยะทางกว่าจะถึงทางแยก ก็ 7 กิโล แถมเป็นทางลงเขา และก็ไม่ได้เป็นทางหลัก ไม่มีคนผ่านมาแน่นอน ไม่ต้องถามถึงทางที่เข้ามา 50  กิโลครับ

         คุณลูกชายก็บอกว่า ไม่เป็นไรแม่ ค่อย ๆ บดลงไปก่อน  เราก็เลยขี่ประคองรถลงมา 3 กิโล ก็ถึงทางแยกที่จะแยกไป เชียงคาน  
แม่ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง  เพราะยังมีผู้คน  มีรถผ่านไปมา  ให้พอได้สอบถามขอความช่วยเหลือได้    เราก็ยังคงขี่บดต่อกันมาอีก 1 กิโล ก็เจอร้านขาย สตอเบอรี่ข้างทาง  เด็กหนุ่มคนขายก็จิตใจดีนะครับ  เห็นรถเราวิ่งช้าผิดปกติ   ก็ตะโกนถามมาแต่ไกล  ก่อนรถเราจะขี่ถึงร้านเค้าด้วยซ้ำว่า......

          มีอะไรให้ผมช่วยไม๊ครับ ???   ลูกชายแม่ก็เลยตอบไปว่า รถยางแตกครับ   ไม่ทราบว่าแถวนี้พอจะมีร้านปะยางไม๊ครับ   เด็กหนุ่มก็ตอบว่ามีครับ จากนี่ไปก็ประมาณ 1 กิโลพร้อมกับบอกทางให้    พร้อมกับบอกว่า ค่อย ๆ บดไปก็พอได้อยู่ครับ   เราสองคนก็ยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณกับน้ำใจที่เด็กหนุ่มแปลกหน้า  หยิบยื่นให้โดยที่เราไม่ได้ร้องขอเลย     ขี่บดมาได้สักพัก   ก็มีรถปิคอัพขับมาจอดหน้าเรา   แล้วผู้ชายคนนึงก็ลงจากรถมา  พร้อมกับถามถึงสถานที่ที่เราต้องการจะไป    แต่คำตอบที่ได้รับ คือ เอารถขึ้นรถผมเลยครับ   เดี๋ยวผมไปส่งข้างล่างเลยดีกว่า  ยางรถแบบนี้   คงต้องใช้ช่างที่ชำนาญ  ร้านปะยางแถวนี้คงทำไม่ได้แน่นอนครับ   แล้วเค้าก็ กุลี กุจอ เปิดท้าย ช่วยยกรถขึ้น แม่นี่จุกไปเลยนะครับ   จุกกับน้ำใจที่เค้าหยิบยื่นให้   เวลาในตอนนั้นก็ประมาณ 4 โมงเย็นกว่าแล้ว  เค้าก็รีบขับรถนะครับ   เพราะระยะทางจากข้างบนลงมาข้างล่างก็ไกล   เค้ากลัวจะมืด  กลัวจะไปไม่ทัน   กลัวร้านจะปิดซะก่อน  

          แล้วเค้าก็จอดแวะตามร้านยาง   ที่คาดว่าจะมียางอะไหล่ที่เบอร์เดียวกับรถของเรา   แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเราซะเลยหายากมากเลยครับ   แต่.... เค้าก็ไม่ลดละนะครับ  ช่วยขับหาร้านแถมลงไปช่วยลูกชายแม่สอบถามอีกด้วย    และแล้ว..... โชคก็เข้าข้างเราครับ   เราเจอร้านยางที่มียางขนาดเบอร์เดียวกันแร้ววว

          แต่....  ที่ร้านเค้ามีแค่ยางนะครับ   ส่วนเรื่องการเปลี่ยนนั้นเค้าบอกว่า  เค้ารู้จักร้านที่เปลี่ยนยางเดี๋ยวเค้าจะพาเราไป   ในใจแม่ตอนนั้น   คิดว่าโชคดีจัง  พี่เสือจะกลับมาวิ่งได้เหมือนเดิมแร้ววววว

          แต่.... เรื่องมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น   เมื่อเรามาถึงที่ร้านปะยาง  แต่มันเป็นร้านปะยางรถใหญ่  มันไม่ใช่ร้านปะยางรถมอเตอร์ไซด์โดยตรง   เรา 3 คน ก็รีบช่วยกันเพื่อจะยกพี่เสือลงจากรถ   ช่างซ่อมรถรีบมาเบรคพวกเราอย่างไว    บอกว่า.... เดี๋ยวก่อนครับ  อย่าพึ่งเอารถลงมาขอผมเช็คดูก่อนว่าที่ร้านผมจะมีบล็อคที่มันถอดได้หรือเปล่า   เอาล่ะซิ เรา 3 คนก็ยืนลุ้น   ขณะที่ช่างเข้าไปค้นหาบล็อค   สุดท้าย.... ไม่มีครับผม  

          โอ๊ย.... ทำไม เป็นอย่างนี้ ฟร่ะ  โชคร้าย มาเจอ โชคดี แล้วก็มาเจอ โชคร้ายอีกทีเหรอ อะไรจะขนาดนั้น !!!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่