[หนังโรงเรื่องที่ 250] Ralph Breaks the Internet: ส่งลูกไปโรงเรียนวันแรก
คะแนนความชอบ : A+++ (จากสเกล D-A)
(Phil Johnston, Rich Moore, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: หกปีหลังเหตุการณ์ในภาคแรก สองเพื่อนซี้อย่าง "ราล์ฟ" และ "วาเนโลปี้" ก็ได้ใช้ชีวิตอันแสนสงบสุขในอาเขตเล็กๆ ของพวกมาตลอด จนกระทั่ง "ระบบอินเทอร์เน็ต" ได้เข้ามามีบทบาท และมีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องเข้าไปผจญโลกเวิลด์ไวด์เว็บอันกว้างใหญ่ พวกเขาจะไปเจออะไรในนั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไป
👍 จุดที่ชอบ 👍
1.หนังถ่ายทอดข้อความของตัวเองได้ลึกซึ้งและกินใจมากๆ เหมือนว่าหนังมันทำให้ตัวเองเติบโตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ในภาคแรกธีมอาจจะเป็น "การสร้างมิตรภาพ" ที่กินใจใครหลายๆ คนไปแล้ว แต่พอมาในภาคนี้มันก็กลายเป็น "การรักษามิตรภาพ" ที่มันกระแทกใจผู้ใหญ่อย่างเราเหลือเกิน
... ข้อความสำคัญหนึ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือ "Friendship Changes / มิตรภาพเปลี่ยนแปลงเสมอ" เราไม่สามาถยึดเหนี่ยวใครสักคนที่มีความสำคัญกับเราไว้กับที่ตลอดไปได้ เพราะทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตและความปรารถนาเป็นของตัวเอง สิ่งสำคัญคือเราควร appreciate ที่เพื่อนหรือคนสำคัญของเราได้ค้นพบ "ทางของเขา" ถึงแม้ความห่างเหินจะคืบคลานเข้ามาหา แต่ถ้าตกลงปลงใจเป็นเพื่อนกันแล้ว ห่างยังไงก็เป็นเพื่อนอยู่ดี
2.อารมณ์ขันในภาคนี้ก็น่าสนใจ ยังคงมีลูกเล่นกับ Easter Eggs ต่างๆ เหมือนภาคที่แล้ว แต่จุดที่แตกต่างคือมันเปลี่ยนเป็นโลกอินเทอร์เน็ตแทน ซึ่งหนังก็ดีไซน์ออกมาได้น่ารักน่าหยิกมากๆ มีการเอาบุคลิกของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ มา characterize ให้กลายเป็นตัวละครที่มีอุปนิสัยอันโดดเด่นไป ถือว่าเป็นกิมมิกที่ดีมากๆ เลยล่ะ
3.หนังแอบแซะสไตล์ของค่ายตัวเองพอสมควร อะไรที่มันเป็นดิสนีย์จ๋าๆ ทั้งหลายก็โดนจับมายำเละในหนังเรื่องนี้หมด ไม่ว่าจะเป็นธรรมเนียมฉากร้องเพลงของบรรดาเจ้าหญิงดิสนีย์ หรือการวางปูมและปมของตัวละครต่างๆ เป็นต้น (ขำหนักมาก) ตรงส่วนนี้ผมถือว่าเป็นมุก universal ที่ใครเห็นก็ต้องขำแน่นอน
4.แน่นอนว่าหนึ่งในไฮไลท์สำคัญอย่าง "รวมก๊วนเจ้าหญิงดิสนีย์" หนังก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ตัวละครที่เราคุ้นหน้าต่างมาวาดลวดลายสุดแซ่บให้เราดูจนอิ่มหนำ ที่สำคัญคือตัวละครพวกนี้ไม่ได้โผล่มาแค่แป๊บๆ เดียวด้วย แต่มีบทสำคัญในช่วงไคลแม็กซ์อีก! โอ้โห แค่นี้ก็คุ้มแล้วคุณเอ๊ย
5.เพลงประกอบ (Soundtracks) ของหนังเรื่องนี้ถือว่าโดนใจผมมากๆ มันซนเหลือเกินนน มันเที่ยวหยอกชาวบ้านเขาไปทั่ว บางทีจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นธีมของหนังเรื่องอื่นในเครือดิสนีย์ซะงั้น (อย่างที่ชัดๆ ก็ The Imperial March - Star Wars) ซึ่งความลื่นไหลในการเปลี่ยนถ่ายเพลงและฉากตรงนี้มันเจ๋งมากๆ ครับ
6.งานภาพก็พีคไปอีกขั้น มันมีทั้งลายเส้นน่ารักๆ แบบที่เราคุ้นเคยจากภาคแรก และกราฟิกโหดดิบเถื่อนที่โดดออกมาเลยในเกม Slaugther Race ซึ่งคุณภาพก็เนี้ยบไม่แพ้กันเลย
7.หนังมีพลังทำลายด้านอารมณ์สูงมาก ถ้าคุณไม่ตั้งการ์ดให้ดี คุณจะเสียน้ำตาให้กับสองฉากสำคัญของเรื่องแน่นอน (ซับน้ำตาแป๊บ)
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
1.จริงๆ หาข้อติได้ยากมาก แต่ส่วนตัวไม่ค่อยอินกับ "วิธีรั้งเพื่อน" ของราล์ฟเท่าไรเลย ผมรู้สึกว่ามันดูล้นๆ ไปหน่อยถ้าเทียบกับโทนเรื่องที่ดำเนินมาก่อนหน้า แต่ต้องยอมรับว่าด้วยการหยิบ Insecurities ของคนมาเล่นถือว่าน่าสนใจและเข้าถึงอารมณ์ของคนดูมาก ดังนั้นก็อาจจะถัวๆ กันไปได้อยู่
2.ช่วง Buzztube ก็ถือว่าเล่นง่ายพอสมควรเพื่อให้รวบรัดเข้าประเด็นสำคัญมากที่สุด ผมก็อยากเห็นตัวละครไปใช้กลเม็ดอื่นเพื่อช่วยทำภารกิจให้สำเร็จมากกว่าจะมาจมกับอยู่กับยอดไลค์ยอดวิวอยู่ตลอดเรื่องนะ
💡 จิปาถะ 💡
1.Easter Eggs เยอะมาก เยอะอยู่ในระดับที่เลิกตั้งใจสังเกตแล้ว (เจอก็ดี ไม่เจอก็ช่างมัน) ให้อารมณ์เหมือนตอนไปดู Ready Player One เลย
2.ไม่รู้ว่าจะชมคนพากย์หรือคนทำซับให้เพเนโลปี้ดี มันช่างน่ารักน่าชังเหลือเกินน เป็นหนังน้อยเรื่องที่ผมไม่หงุดหงิดกับคำวัยรุ่นจ๋าๆ ในงานภาษาเขียนเลย
3.มี End Credit 2 ตัว ซึ่งแสบสันต์ทั้งคู่ ร้ายมากๆ น่าจะจดจำไปได้อีกพักใหญ่
หากคิดว่ารีวิวนี้เป็นประโยชน์หรือถูกใจก็เชิญมาแวะเวียนได้ที่แฟนเพจ "ตั๋วหนังมันแพง"
https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ !
[หนังโรงเรื่องที่ 250] Ralph Breaks the Internet: ส่งลูกไปโรงเรียนวันแรก by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++ (จากสเกล D-A)
(Phil Johnston, Rich Moore, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: หกปีหลังเหตุการณ์ในภาคแรก สองเพื่อนซี้อย่าง "ราล์ฟ" และ "วาเนโลปี้" ก็ได้ใช้ชีวิตอันแสนสงบสุขในอาเขตเล็กๆ ของพวกมาตลอด จนกระทั่ง "ระบบอินเทอร์เน็ต" ได้เข้ามามีบทบาท และมีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องเข้าไปผจญโลกเวิลด์ไวด์เว็บอันกว้างใหญ่ พวกเขาจะไปเจออะไรในนั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไป
1.หนังถ่ายทอดข้อความของตัวเองได้ลึกซึ้งและกินใจมากๆ เหมือนว่าหนังมันทำให้ตัวเองเติบโตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ในภาคแรกธีมอาจจะเป็น "การสร้างมิตรภาพ" ที่กินใจใครหลายๆ คนไปแล้ว แต่พอมาในภาคนี้มันก็กลายเป็น "การรักษามิตรภาพ" ที่มันกระแทกใจผู้ใหญ่อย่างเราเหลือเกิน
... ข้อความสำคัญหนึ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือ "Friendship Changes / มิตรภาพเปลี่ยนแปลงเสมอ" เราไม่สามาถยึดเหนี่ยวใครสักคนที่มีความสำคัญกับเราไว้กับที่ตลอดไปได้ เพราะทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตและความปรารถนาเป็นของตัวเอง สิ่งสำคัญคือเราควร appreciate ที่เพื่อนหรือคนสำคัญของเราได้ค้นพบ "ทางของเขา" ถึงแม้ความห่างเหินจะคืบคลานเข้ามาหา แต่ถ้าตกลงปลงใจเป็นเพื่อนกันแล้ว ห่างยังไงก็เป็นเพื่อนอยู่ดี
2.อารมณ์ขันในภาคนี้ก็น่าสนใจ ยังคงมีลูกเล่นกับ Easter Eggs ต่างๆ เหมือนภาคที่แล้ว แต่จุดที่แตกต่างคือมันเปลี่ยนเป็นโลกอินเทอร์เน็ตแทน ซึ่งหนังก็ดีไซน์ออกมาได้น่ารักน่าหยิกมากๆ มีการเอาบุคลิกของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ มา characterize ให้กลายเป็นตัวละครที่มีอุปนิสัยอันโดดเด่นไป ถือว่าเป็นกิมมิกที่ดีมากๆ เลยล่ะ
3.หนังแอบแซะสไตล์ของค่ายตัวเองพอสมควร อะไรที่มันเป็นดิสนีย์จ๋าๆ ทั้งหลายก็โดนจับมายำเละในหนังเรื่องนี้หมด ไม่ว่าจะเป็นธรรมเนียมฉากร้องเพลงของบรรดาเจ้าหญิงดิสนีย์ หรือการวางปูมและปมของตัวละครต่างๆ เป็นต้น (ขำหนักมาก) ตรงส่วนนี้ผมถือว่าเป็นมุก universal ที่ใครเห็นก็ต้องขำแน่นอน
4.แน่นอนว่าหนึ่งในไฮไลท์สำคัญอย่าง "รวมก๊วนเจ้าหญิงดิสนีย์" หนังก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ตัวละครที่เราคุ้นหน้าต่างมาวาดลวดลายสุดแซ่บให้เราดูจนอิ่มหนำ ที่สำคัญคือตัวละครพวกนี้ไม่ได้โผล่มาแค่แป๊บๆ เดียวด้วย แต่มีบทสำคัญในช่วงไคลแม็กซ์อีก! โอ้โห แค่นี้ก็คุ้มแล้วคุณเอ๊ย
5.เพลงประกอบ (Soundtracks) ของหนังเรื่องนี้ถือว่าโดนใจผมมากๆ มันซนเหลือเกินนน มันเที่ยวหยอกชาวบ้านเขาไปทั่ว บางทีจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นธีมของหนังเรื่องอื่นในเครือดิสนีย์ซะงั้น (อย่างที่ชัดๆ ก็ The Imperial March - Star Wars) ซึ่งความลื่นไหลในการเปลี่ยนถ่ายเพลงและฉากตรงนี้มันเจ๋งมากๆ ครับ
6.งานภาพก็พีคไปอีกขั้น มันมีทั้งลายเส้นน่ารักๆ แบบที่เราคุ้นเคยจากภาคแรก และกราฟิกโหดดิบเถื่อนที่โดดออกมาเลยในเกม Slaugther Race ซึ่งคุณภาพก็เนี้ยบไม่แพ้กันเลย
7.หนังมีพลังทำลายด้านอารมณ์สูงมาก ถ้าคุณไม่ตั้งการ์ดให้ดี คุณจะเสียน้ำตาให้กับสองฉากสำคัญของเรื่องแน่นอน (ซับน้ำตาแป๊บ)
1.จริงๆ หาข้อติได้ยากมาก แต่ส่วนตัวไม่ค่อยอินกับ "วิธีรั้งเพื่อน" ของราล์ฟเท่าไรเลย ผมรู้สึกว่ามันดูล้นๆ ไปหน่อยถ้าเทียบกับโทนเรื่องที่ดำเนินมาก่อนหน้า แต่ต้องยอมรับว่าด้วยการหยิบ Insecurities ของคนมาเล่นถือว่าน่าสนใจและเข้าถึงอารมณ์ของคนดูมาก ดังนั้นก็อาจจะถัวๆ กันไปได้อยู่
2.ช่วง Buzztube ก็ถือว่าเล่นง่ายพอสมควรเพื่อให้รวบรัดเข้าประเด็นสำคัญมากที่สุด ผมก็อยากเห็นตัวละครไปใช้กลเม็ดอื่นเพื่อช่วยทำภารกิจให้สำเร็จมากกว่าจะมาจมกับอยู่กับยอดไลค์ยอดวิวอยู่ตลอดเรื่องนะ
1.Easter Eggs เยอะมาก เยอะอยู่ในระดับที่เลิกตั้งใจสังเกตแล้ว (เจอก็ดี ไม่เจอก็ช่างมัน) ให้อารมณ์เหมือนตอนไปดู Ready Player One เลย
2.ไม่รู้ว่าจะชมคนพากย์หรือคนทำซับให้เพเนโลปี้ดี มันช่างน่ารักน่าชังเหลือเกินน เป็นหนังน้อยเรื่องที่ผมไม่หงุดหงิดกับคำวัยรุ่นจ๋าๆ ในงานภาษาเขียนเลย
3.มี End Credit 2 ตัว ซึ่งแสบสันต์ทั้งคู่ ร้ายมากๆ น่าจะจดจำไปได้อีกพักใหญ่
หากคิดว่ารีวิวนี้เป็นประโยชน์หรือถูกใจก็เชิญมาแวะเวียนได้ที่แฟนเพจ "ตั๋วหนังมันแพง" https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ !