ช่วงนี้คือฤดูออกตรวจนักเรียนฝึกงานเลย ช่วงไฮซีซั่น ห้างร้านค้าโรงแรมต้องการกำลังคนสูง นอกจากพนง.ประจำ ก็คือเด็กฝึกงานนี่แหละ
ที่ไหนได้เด็กดี หัวหน้าฝึกงานชม ก็น่าชื่นใจ ครูไปตรวจออกนิเทศก็หน้าบาน
แต่ถ้าเจอแบบสถานประกอบการเฉ่งมา ครูนิเทศหน้าชาทั้งแถบ
ในสมัยเราเป็นเด็กฝึกงาน display ของห้างดัง ระบบการทำงานเขาเป็นระเบียบมาก พี่ๆสอนเราอย่างรัดกุม ทำอะไรต้องระวัง แต่เวลารีแลกซ์ก็ผ่อนคลาย
หลังการฝึกงาน ทำให้เราเป็นคนมีระเบียบมากขึ้น และรู้จักการวางตัวต่อหน้าคนภายนอก
เราก็คาดหวังว่าเด็กรุ่นนี้ก็น่าจะตั้งใจฝึกงานดี เพราะมันไม่เหมือนการเรียนกับครู เด็กจะงอแงได้ แต่กับคนอื่น คงไม่กล้างอแง เด็กน่าจะอยู่ในระเบียบกว่า
แต่เรากลับตกใจกับเรื่องราวที่ได้รับรู้มา จากการที่เด็กฝึกงาน 'ถูกส่งตัวกลับ'
การโดนข้อหานี้ถือว่าร้ายแรงมาก...แต่น่าตกใจกว่าคือ เด็กสมัยนี้กลับ 'หาแคร์ไม่'
เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนครูปวดหัวในการต้องรีบหาที่ฝึกงานใหม่ให้เด็ก 5 คนยกกลุ่ม ที่ถูกร้านอาหารดังส่งตัวกลับ
ด้วยคอมเม้นท์จากสถานประกอบการว่า ขี้เกียจ เล่นโทรศัพท์ในเวลางาน ทำจานแตก ไม่มีหางเสียงกับลูกค้า เวลาหัวหน้าสั่งงานทำหน้างอไม่พอใจ มาสาย แต่พักกินข้าวยาว ขอกลับก่อนอ้างว่าบ้านไกล รถติด (ทั้งที่เป็นร้านที่เด็กๆขอเข้าไปฝึกงานเอง)
อยากหยุดไม่มาก็หยุด ไม่แจ้งบอก แถมมีการย้อนอีกว่า ต้องบอกด้วยเหรอ
พอสถานประกอบการให้เอาใบรับรองแพทย์มาด้วย ก็แย้งว่าแค่ปวดหัวปวดประจำเดือนวันเดียว ทำไมต้องหาหมอขอใบให้ยุ่ง
ครั้นเมื่อส่งตัวกลับ สอบถามนักเรียน ฝ่ายเด็กบอกว่า ที่ทำงานใช้งานหนักเกินเหตุ นิดหน่อยๆเองก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ บ้านไกลหนูกลับดึก รับผิดชอบชีวิตหนูไหวไหม
และประโยคที่หน้าชาคือ
...เขาจะเอาอะไรกับพวกหนูนักหนา พวกหนูก็แค่เด็กฝึกงานนะ ไม่ใช่พนักงานประจำ ทำไมจะต้องทำเท่ากันล่ะ ในเมื่อตังค์ก็ไม่ได้...
ครูบางท่านใช้มาตรการเข้มงวด ถ้าไม่ผ่าน ก็ไปหาที่อื่นรอซ้อมปีหน้าเอา
ครูบางท่านสงสารเด็ก พยายามวิ่งหาที่ฝึกงานให้ใหม่ เพื่อให้เด็กจบทัน เพราะถ้าเด็กจบไม่ทันในจำนวนเยอะมากๆ มีผลต่อการประเมิน ว่าทำไมไม่หาวิธีการแก้ปัญหา ปล่อยปละละเลยได้ยังไง มีครูบางท่านใช้มาตรการแรก แต่ผลคือผู้ปกครองร้องเรียน ว่าทำยังไงให้ลูกเค้าไม่ผ่านฝึกงาน
ที่แย่กว่านั้นคือ เด็กไม่คิดจะขวนขวายทำอะไรเลย นั่งกระดิกเท้ารอให้ครูหาที่ฝึกใหม่ให้
ครูเสียอีกที่ต้องลำบากในการอธิบายต่อผู้บริหารและสถานประกอบการอย่างไรให้รับเด็กเข้าทำงานกลางเทอมได้
ยิ่งข้อหาถูกส่งตัวกลับเพราะขี้เกียจ ใครที่ไหนจะกล้ารับ
ในหลายครั้งครูต้องมุสาว่า เด็กมีโรคประจำตัวป่วย ทำงานหนักมากไม่ได้ ขอให้ช่วยรับแต่ให้ทำงานเบาๆหน่อย
แค่คนสองคนไม่เท่าไหร่ แต่มากันทั้งกลุ่ม ใครจะเชื่อไหวว่าป่วยยกกลุ่มได้
การมีอาการป่วยมาก หลายสถานประกอบการไม่อยากรับ เกิดมาเป็นอะไรตายขึ้นมา จะซวยเอา
เมื่อลองมองในมุมสถานประกอบการบ้าง บางที่ก็ใช้งานเด็กเกินไปหน่อย
ให้เข้างาน 10 โมง แต่เลิกเกินเที่ยงคืนเกือบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ต้องมาด้วย
เด็กไม่ใช่มีเงินจ่ายแท็กซี่ได้ทุกคืน บางคนบ้านอยู่ปริมณฑล นั่งแกร็บไม่ใช่จะปลอดภัยทุกคัน
แต่ครูทำอะไรได้ยาก เพราะเด็กเลือกที่ฝึกงานเอง (แต่เด็กคงไม่ได้คิดว่าเวลางานจะขนาดนี้)
ถ้าเข้าไปขัดเขา เกิดไม่ให้ผ่านฝึกงานขึ้นมา ยุ่งยากอีก
ได้แต่เตือนเด็กว่า ถ้าไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย อะไรทนได้ก็ทนไว้ โชคดีว่ากลุ่มนี้เป็นเด็กดีอดทน เลยไม่เกิดปัญหา
เวลาเกิดปัญหานี่ขึ้น สถานประกอบถึงกับบอกลาเลยว่า รุ่นหน้าไม่ต้องมาอีก!
ทำให้เราเสียสถานประกอบการไปอีกที่
เพื่อนครูหลายท่านบอกว่า จะไปสนทำไม ร้านค้าในเมื่องใหญ่มีอีกตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องง้อแค่ร้านนี้
แต่เราบอกว่า แต่มันทำให้ชื่อเสียงสถาบันเสียนะ ถ้าเขามีคอนเนคชั่น ไปบอกหลายที่ว่าอย่ารับเด็กจากโรงเรียนนี้ มันส่งผลร้ายแรงนะ
เพื่อนครูบอกว่า...เราคิดมากเกินเหตุ เขาคงไม่ทำขนาดนั้นหรอก...เขาไม่ควรคาดหวังความสามารถเด็กมากเท่าพนง.ประจำ
หลายครั้งได้ถามสถานประกอบการว่า บางงานมันละเอียดอ่อนและเด็กไม่เคยเรียนมาก่อน ทำไมถึงให้เด็กทำ
เจ้าของสถานประกอบการบอกว่า 'ก็เพราะเขาไม่เคยทำ ถึงต้องหัดทำไง เพราะถ้าไม่เคยทำเลย จบไปเขาจะทำอะไรไม่เป็น
ถ้าไม่สอนให้เขาทำงานยากๆ เขาจะชินกับการทำงานง่ายๆ แล้วจะไม่พัฒนาตนเอง
หลายสถานประกอบการบอกไม่รับเด็กพิเศษหรือมีโรคประจำตัวร้ายแรง บางที่ถึงกับตำหนิว่าโรงเรียนทำไมไม่บอก ปล่อยเด็กแบบนี้มาฝึกได้ไง
ฟังแล้วเหมือนใจร้าย ทำไมไม่ให้โอกาสคนล่ะ
แต่สถานประกอบการก็บอกตรงๆว่า นี่เป็นร้านค้า ไม่ใช่ที่เลี้ยงเด็ก เขาต้องการคนช่วย ไม่ใช่ต้องมาช่วยดูแลประคบประหงมใคร
เรารู้จักกับผู้กำกับกองถ่ายภาพยนตร์ เขาบอกงานของเขาอยู่ภายใต้ความกดดันสูง จะมาให้ช่วยดูแลเด็กป่วยคงไม่ไหว ผมรับผิดชอบชีวิตใครไม่ได้
บางที่ก็ดี เขาบอกเคยรับเด็กเป็นโรคซึมเศร้า เลือกงานให้เหมาะกับเด็ก เวลารู้ว่าเด็กจะมาในสภาวะดาวน์ ก็รับมือได้
สุดท้ายนี่เคยกลับมาถามเด็กเจ้าปัญหาทั้งกลุ่มที่ไม่ผ่านฝึกงาน ว่าถ้าไม่ปรับปรุงตัว เรียนไม่จบ ชีวิตจะทำอะไรได้
ได้คำตอบที่ครูฟังแล้วส่ายหัวแทน
...ก็ให้พ่อแม่เลี้ยงไง เขาเคยเลี้ยงผมมายังไงก็ต้องเลี้ยงอย่างงั้น พ่อแม่ผมมีตังค์ รวยจ้าาาาา
...หนูก็รอแฟนเรียนจบ เดี๋ยวเขาก็ทำงานหาเลี้ยงหนูเอง พ่อหนูก็เลี้ยงแม่แบบนั้น
...สตีฟจอบส์ มาร์คซัคเกอร์เบิร์ค ยังเรียนไม่จบมหาลัย เขายังรวยเลย
...ไม่รู้ซิครู ครูจะคิดอะไรไกลมาก ผมคิดแค่วันพรุ่งนี้ก่อนพอแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดไรมาก
อยากเฮ้อหลายรอบ
*** ปิดโหวต วันที่ 07 มกราคม พ.ศ.2562 เวลา 10:53:40 น.
เด็กฝึกงานควรพยายามมากกว่านี้ VS สถานประกอบการไม่ควรคาดหวังมาก ก็แค่เด็กฝึกงาน
ที่ไหนได้เด็กดี หัวหน้าฝึกงานชม ก็น่าชื่นใจ ครูไปตรวจออกนิเทศก็หน้าบาน
แต่ถ้าเจอแบบสถานประกอบการเฉ่งมา ครูนิเทศหน้าชาทั้งแถบ
ในสมัยเราเป็นเด็กฝึกงาน display ของห้างดัง ระบบการทำงานเขาเป็นระเบียบมาก พี่ๆสอนเราอย่างรัดกุม ทำอะไรต้องระวัง แต่เวลารีแลกซ์ก็ผ่อนคลาย
หลังการฝึกงาน ทำให้เราเป็นคนมีระเบียบมากขึ้น และรู้จักการวางตัวต่อหน้าคนภายนอก
เราก็คาดหวังว่าเด็กรุ่นนี้ก็น่าจะตั้งใจฝึกงานดี เพราะมันไม่เหมือนการเรียนกับครู เด็กจะงอแงได้ แต่กับคนอื่น คงไม่กล้างอแง เด็กน่าจะอยู่ในระเบียบกว่า
แต่เรากลับตกใจกับเรื่องราวที่ได้รับรู้มา จากการที่เด็กฝึกงาน 'ถูกส่งตัวกลับ'
การโดนข้อหานี้ถือว่าร้ายแรงมาก...แต่น่าตกใจกว่าคือ เด็กสมัยนี้กลับ 'หาแคร์ไม่'
เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนครูปวดหัวในการต้องรีบหาที่ฝึกงานใหม่ให้เด็ก 5 คนยกกลุ่ม ที่ถูกร้านอาหารดังส่งตัวกลับ
ด้วยคอมเม้นท์จากสถานประกอบการว่า ขี้เกียจ เล่นโทรศัพท์ในเวลางาน ทำจานแตก ไม่มีหางเสียงกับลูกค้า เวลาหัวหน้าสั่งงานทำหน้างอไม่พอใจ มาสาย แต่พักกินข้าวยาว ขอกลับก่อนอ้างว่าบ้านไกล รถติด (ทั้งที่เป็นร้านที่เด็กๆขอเข้าไปฝึกงานเอง)
อยากหยุดไม่มาก็หยุด ไม่แจ้งบอก แถมมีการย้อนอีกว่า ต้องบอกด้วยเหรอ
พอสถานประกอบการให้เอาใบรับรองแพทย์มาด้วย ก็แย้งว่าแค่ปวดหัวปวดประจำเดือนวันเดียว ทำไมต้องหาหมอขอใบให้ยุ่ง
ครั้นเมื่อส่งตัวกลับ สอบถามนักเรียน ฝ่ายเด็กบอกว่า ที่ทำงานใช้งานหนักเกินเหตุ นิดหน่อยๆเองก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ บ้านไกลหนูกลับดึก รับผิดชอบชีวิตหนูไหวไหม
และประโยคที่หน้าชาคือ
...เขาจะเอาอะไรกับพวกหนูนักหนา พวกหนูก็แค่เด็กฝึกงานนะ ไม่ใช่พนักงานประจำ ทำไมจะต้องทำเท่ากันล่ะ ในเมื่อตังค์ก็ไม่ได้...
ครูบางท่านใช้มาตรการเข้มงวด ถ้าไม่ผ่าน ก็ไปหาที่อื่นรอซ้อมปีหน้าเอา
ครูบางท่านสงสารเด็ก พยายามวิ่งหาที่ฝึกงานให้ใหม่ เพื่อให้เด็กจบทัน เพราะถ้าเด็กจบไม่ทันในจำนวนเยอะมากๆ มีผลต่อการประเมิน ว่าทำไมไม่หาวิธีการแก้ปัญหา ปล่อยปละละเลยได้ยังไง มีครูบางท่านใช้มาตรการแรก แต่ผลคือผู้ปกครองร้องเรียน ว่าทำยังไงให้ลูกเค้าไม่ผ่านฝึกงาน
ที่แย่กว่านั้นคือ เด็กไม่คิดจะขวนขวายทำอะไรเลย นั่งกระดิกเท้ารอให้ครูหาที่ฝึกใหม่ให้
ครูเสียอีกที่ต้องลำบากในการอธิบายต่อผู้บริหารและสถานประกอบการอย่างไรให้รับเด็กเข้าทำงานกลางเทอมได้
ยิ่งข้อหาถูกส่งตัวกลับเพราะขี้เกียจ ใครที่ไหนจะกล้ารับ
ในหลายครั้งครูต้องมุสาว่า เด็กมีโรคประจำตัวป่วย ทำงานหนักมากไม่ได้ ขอให้ช่วยรับแต่ให้ทำงานเบาๆหน่อย
แค่คนสองคนไม่เท่าไหร่ แต่มากันทั้งกลุ่ม ใครจะเชื่อไหวว่าป่วยยกกลุ่มได้
การมีอาการป่วยมาก หลายสถานประกอบการไม่อยากรับ เกิดมาเป็นอะไรตายขึ้นมา จะซวยเอา
เมื่อลองมองในมุมสถานประกอบการบ้าง บางที่ก็ใช้งานเด็กเกินไปหน่อย
ให้เข้างาน 10 โมง แต่เลิกเกินเที่ยงคืนเกือบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ต้องมาด้วย
เด็กไม่ใช่มีเงินจ่ายแท็กซี่ได้ทุกคืน บางคนบ้านอยู่ปริมณฑล นั่งแกร็บไม่ใช่จะปลอดภัยทุกคัน
แต่ครูทำอะไรได้ยาก เพราะเด็กเลือกที่ฝึกงานเอง (แต่เด็กคงไม่ได้คิดว่าเวลางานจะขนาดนี้)
ถ้าเข้าไปขัดเขา เกิดไม่ให้ผ่านฝึกงานขึ้นมา ยุ่งยากอีก
ได้แต่เตือนเด็กว่า ถ้าไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย อะไรทนได้ก็ทนไว้ โชคดีว่ากลุ่มนี้เป็นเด็กดีอดทน เลยไม่เกิดปัญหา
เวลาเกิดปัญหานี่ขึ้น สถานประกอบถึงกับบอกลาเลยว่า รุ่นหน้าไม่ต้องมาอีก!
ทำให้เราเสียสถานประกอบการไปอีกที่
เพื่อนครูหลายท่านบอกว่า จะไปสนทำไม ร้านค้าในเมื่องใหญ่มีอีกตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องง้อแค่ร้านนี้
แต่เราบอกว่า แต่มันทำให้ชื่อเสียงสถาบันเสียนะ ถ้าเขามีคอนเนคชั่น ไปบอกหลายที่ว่าอย่ารับเด็กจากโรงเรียนนี้ มันส่งผลร้ายแรงนะ
เพื่อนครูบอกว่า...เราคิดมากเกินเหตุ เขาคงไม่ทำขนาดนั้นหรอก...เขาไม่ควรคาดหวังความสามารถเด็กมากเท่าพนง.ประจำ
หลายครั้งได้ถามสถานประกอบการว่า บางงานมันละเอียดอ่อนและเด็กไม่เคยเรียนมาก่อน ทำไมถึงให้เด็กทำ
เจ้าของสถานประกอบการบอกว่า 'ก็เพราะเขาไม่เคยทำ ถึงต้องหัดทำไง เพราะถ้าไม่เคยทำเลย จบไปเขาจะทำอะไรไม่เป็น
ถ้าไม่สอนให้เขาทำงานยากๆ เขาจะชินกับการทำงานง่ายๆ แล้วจะไม่พัฒนาตนเอง
หลายสถานประกอบการบอกไม่รับเด็กพิเศษหรือมีโรคประจำตัวร้ายแรง บางที่ถึงกับตำหนิว่าโรงเรียนทำไมไม่บอก ปล่อยเด็กแบบนี้มาฝึกได้ไง
ฟังแล้วเหมือนใจร้าย ทำไมไม่ให้โอกาสคนล่ะ
แต่สถานประกอบการก็บอกตรงๆว่า นี่เป็นร้านค้า ไม่ใช่ที่เลี้ยงเด็ก เขาต้องการคนช่วย ไม่ใช่ต้องมาช่วยดูแลประคบประหงมใคร
เรารู้จักกับผู้กำกับกองถ่ายภาพยนตร์ เขาบอกงานของเขาอยู่ภายใต้ความกดดันสูง จะมาให้ช่วยดูแลเด็กป่วยคงไม่ไหว ผมรับผิดชอบชีวิตใครไม่ได้
บางที่ก็ดี เขาบอกเคยรับเด็กเป็นโรคซึมเศร้า เลือกงานให้เหมาะกับเด็ก เวลารู้ว่าเด็กจะมาในสภาวะดาวน์ ก็รับมือได้
สุดท้ายนี่เคยกลับมาถามเด็กเจ้าปัญหาทั้งกลุ่มที่ไม่ผ่านฝึกงาน ว่าถ้าไม่ปรับปรุงตัว เรียนไม่จบ ชีวิตจะทำอะไรได้
ได้คำตอบที่ครูฟังแล้วส่ายหัวแทน
...ก็ให้พ่อแม่เลี้ยงไง เขาเคยเลี้ยงผมมายังไงก็ต้องเลี้ยงอย่างงั้น พ่อแม่ผมมีตังค์ รวยจ้าาาาา
...หนูก็รอแฟนเรียนจบ เดี๋ยวเขาก็ทำงานหาเลี้ยงหนูเอง พ่อหนูก็เลี้ยงแม่แบบนั้น
...สตีฟจอบส์ มาร์คซัคเกอร์เบิร์ค ยังเรียนไม่จบมหาลัย เขายังรวยเลย
...ไม่รู้ซิครู ครูจะคิดอะไรไกลมาก ผมคิดแค่วันพรุ่งนี้ก่อนพอแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดไรมาก
อยากเฮ้อหลายรอบ