[CR] รีวิว Xiaomi Redmi Note 6 Pro แบบละเอียด (รึเปล่า?) คนไม่เคยใช้ Redmi Note 5 มาก่อนมันคุ้มมั้ย?

สวัสดีครับ ผมเพิ่งเข้ามาตั้งกระทู้ในพันทิพครั้งแรก มีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะครับ ผม เต้ ครับ ครั้งนี้ผมจะมารีวิวเจ้า Xiaomi Redmi Note 6 Pro หรือสำหรับคนที่ใช้ Redmi Note 5 มาก็อาจจะบอกว่าเหมือนแค่เปลี่ยนชื่อรุ่นแล้วขายต่อ แต่วันนี้ผมจะมาเสนอในมุมสำหรับคนที่ไม่เคยใช้หรือคนที่เคยเล่น Redmi Note 5 มาก่อนนะครับ มันอาจจะดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่สำหรับบางคน แต่สำหรับคนที่กำลังมองหามือถือสเปกกาลางๆ คุ้มค่า กล้องดี ราคาไม่แพง พร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยครับ

สำหรับคนที่อยากดูเป็นวีดีโอครับ ติดตามกันได้นะครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

กล่องก็อย่างที่เราเห็นๆ กัน ในสไตล์ Xiaomi ก็จะเป็นสีส้มแบบนี้ ในเกือบทุกรุ่น ยกเว้นตัวท็อปที่จะเป็นสีที่ต่างกันออกไปในแต่ละรุ่น
ด้านหลังก็จะบอกรายละเอียดของสเปกคร่าวๆ ให้เราได้ทราบ เบื้องต้น
เปิดกล่องมา เราก็จะเจอกับตัวเครื่อง ต่อมาก็จะเป็นเคสยางนิ่มสีดำ เข็มจิ้มถามซิม หัวชาร์จ แบบ 5โวลต์ 2แอมป์ และแน่นอนว่าไม่มีหูฟังติดมานะครับ 555+
แล้วก็สิ่งที่ผมแปลกใจว่า เค้าน่าจะให้มาซักหน่อยก็คือ หัวชาร์จไฟ แบบ Quick Charge 2.0 ก็ยังดีครับ เพราะตัวเครื่องนั้นรองรับการชาร์จด่วนอยู่แล้วครับ ถ้าให้มาก็คงเป็นอะไรที่ดีมากเลยครับ
ก่อนที่เราจะมาดูรอบๆ ตัวเครื่องผมขอพูดถึงเรื่องสเปกคร่าวๆ ก่อนแล้วกันนะครับ ตัวนี้ใช้ซีพียูของ Qualcomm Snapdragon 636 Octa Core 1.8GHz หน่วยความจำตัวเครื่อง 64GB และ แรม 4GB ใส่เมมโมรี่การ์ดได้สูงสุด 256GB
หน้าจอ เป็นแบบ IPS LCD ขนาด 6.26นิ้ว ที่ความละเอียด 2160*1080พิกเซล และมีติ่งด้านบน (ขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว 555+)
ตัวเครื่องด้านขวาประกอบไปด้วย ปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง และปุ่มปิดเปิดเครื่องที่อยู่ล่างสุด
ตัวเครื่องด้านซ้าย มีแค่ช่องใส่ซิม ที่สามารถใส่ได้ 2 ซิม แต่เป็นแบบไฮบริดสลอต ก็คือต้องเลือกเอาว่าซิมช่องที่ 2 จะใส่เมมโมรี่การ์ดหรือจะใส่ซิมการ์ด
ด้านล่าง ด้านซ้ายก็จะเป็นไมโครโฟนสำหรับสนทนา ช่อง USB แบบ Micro USB สำหรับใครที่ถามว่าทำไมไม่ใส่ Type C มา ผมมองว่าคงอีกไม่นานที่มือถือทุกรุ่นจะได้ใช้ Type C เป็นมาตรฐานครับ แต่ตอนนี้เค้าก็คงเริ่มจากตัวแพงก่อน แล้วค่อยๆ ขยับลงมาเรื่อยๆ ถัดมาก็จะเป็นลำโพงตัวเครื่องที่เสียงค่อนข้างจะดังดีเลยทีเดียว
ด้านบนก็จะประกอบไปด้วย ช่อง อินฟาเรต ที่ไว้เป็นรีโมทเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ถัดมารูเล็กๆ เป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา และสุดท้ายก็จะเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 นั่นเองครับ มือถือในราคานี้ ยังไม่ค่อยเห็นค่ายไหนตัดช่อง 3.5 ออก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ
ของดีเราเก็บไว้ด้านหลังครับด้านหลังก็จะเป็นกล้อง 2 ตัวและแฟลช LED 2 ดวง และที่สแกนลายนิ้วมือซึ่งปลดล็อคได้รวดเร็วมากบอกเลย และอยู่ในตำแหน่งที่ดี บอดี้ของตัวเครื่องด้านข้างจนถึงด้านบนและด้านล่าง เป็นพลาสติก แต่ก็มีวัสดุที่เป็นโลหะ ผมตีไว้ 80 เปอร์เซ็นต์ของฝาหลังแล้วกันนะครับที่เป็นโลหะ ซึ่งการจับถือดีครับ เมื่อเทียบกับมือถือในราคาเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน ดูไม่รู้สึกเท่าไหร่ว่านี่คือมือถือราคา ไม่เกิน 7 พัน
กล้องตัวล่างจะเป็นกล้องตัวหลักขนาด 12ล้านพิกเซล และๆๆๆๆๆๆๆๆ ระบบโฟกัสเป็นแบบ Dual Pixel ที่โฟกัสได้รวดเร็วมาก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ในมือถือในราคาขนาดนี้
กล้องตัวบนคือกล้องที่ใช้วัดระยะความลึกของวัตถุ ซึ่งตัวนี้จะมีขนาด 5 ล้านพิกเซล

ก่อนจะพูดถึงฟีเจอร์ต่างๆ ของรุ่นนี้ ผมจะขอบอกก่อนว่า ในมือถือราคาแค่ 7 พันบาท คุณจะได้กล้องที่มี Ai ซึ่งจะช่วยให้คุณถ่ายรูปได้โดยที่แทบไม่ต้องปรับแต่งสีของภาพในภายหลังเลย เพราะ มี Ai ที่จะคอยปรับสีและแสงไปตามสถานการณ์ที่คุณถ่ายได้ โดยอัตโนมัติ
แต่การถ่ายโหมดบุคคลนั้น จะไม่เหมือนกล้องตัวท็อป อย่าง Mi 8 ที่เลนส์กล้องตัวที่ 2 เป็นเลนส์ระยะเทเล ซึ่งจะทำให้เวลาถ่ายออกมาจะดูเหมือนถ่ายจากกล้องใหญ่ที่ใช้เลนส์ฟิกส์ แต่สำหรับ Redmi Note 6 Pro เลนส์ตัวที่ 2 จะไม่ใช่เลนส์ระยะเทเล แต่ก็ถ่ายออกมาให้ส่วนได้เช่นกัน

ต่อมาจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือกล้องหน้าแบบคู่ ซึ่งหลักการทำงานเหมือนกล้องหลังคือ เลนส์ตัวหลัก 20 ล้านพิกเซลทำงานเป็นกล้องหลัก และอีกตัว 2 ล้านพิกเซล เป็นเลนส์ที่ใช้วัดความลึกของวัตถุเท่านั้น ซึ่งจะทำงานได้ดีเมื่อใช้งานกล้องหน้า
โหมดบิวตี้ก็ทำได้ดี ปรับจนสุดแล้ว ก็ยังดูไม่หลอกตาเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถเลือกปรับได้หลายแบบตามที่เห็นในรูปเลยครับ ส่วนโหมดบุคคลกลัองหน้าและหลังที่มีการเบลอหลัง ทำได้ได้มาก และที่น่าแปลกใจคือ กล้องหน้า Ai สามารถทำได้ ซึ่งตัวท็อปอย่าง Mi 8 ยังใช้งานไม่ได้เลย และโหมด Portrait Ai 2.0 ซึ่งถ้าใครซื้อมาแล้วเวอร์ชั่นของเครื่องยังเป็น MIUI 9 ก็จะยังไม่มีฟีเจอร์นี้ แต่ตอนนี้ ได้อัพเดตเป็น MIUI 10 แล้ว ก็จะสามารถปรับรูปแบบการเบลอฉากหลังได้หลายรูปแบบเหมือนใน Mi 8 นั่นเอง แต่ใช้ได้กับกล้องหลังเท่านั้นนะครับ แอบเซ็ง ที่กล้องหน้าทำไม่ได้ด้วย อุตส่ารอ 555+
ในรูปก่อนหน้า ก็จะเห็นรูปแฟลช ซึ่ง... เมื่อเรากดเปิดแฟลชแล้ว เวลาเรากดถ่าย หน้าจอก็จะปรากฏรูปอย่างในด้านบน บนหน้าจอ Redmi Note 6 Pro ซึ่งมันทำคล้ายกับการใช้แสงหน้าจอเป็นแฟลช แต่เอาจริงๆ นะ สำหรับ Redmi Note 6 Pro แทบไม่มีความหมายเลย คือถ้าตอนนั้นจอมือถือเรามืดอยู่ มันก็ไม่ได้ปรับให้สว่างสูงสุดเพื่อให้แสงหน้าจอมีแสงมาช่วยส่องหน้าเราได้เลย หรือแม้แต่เราเปิดแสงหน้าจอสูงสุดด้วยตัวเอง มันก็ยังไม่สว่างพอที่จะทำให้หน้าเราโดนแสงได้... ผมพูดตามตรงเลยว่า ไม่น่าทำออกมาเลยครับ 555+

โหมดโปร หรือ โหมด Manual ในกล้องนั้น สามารถปรับตั้งค่าได้หลายอย่างเช่น White Balance Focus Speed Shutter ISO แต่ไหนๆ ก็ใส่การปรับ Speed Shutter ได้แล้ว แต่ทำไมดันถ่ายได้แค่ 1/8วินาทีแค่นั้นหละครับ 555+ จะให้มาซัก 1-2 วิก็ไม่ว่ากันนะครับ อุตส่าทำมาให้ปรับได้แล้ว 555+
ผมขอพูดถึงจุดเด่นบ้างแล้วกันนะครับ คือเป็นลำโพงตัวเดียวที่เสียงดี เสียงกลางออกดี และดัง มีช่องหูฟัง 3.5 อินฟาเรตที่ใช้เป็นรีโมทได้ บอดี้ วัสดุฝาหลังค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกัน กล้อง Ai ระบบโฟกัสแบบ Dual Pixel มีระบบชาร์จด่วน และที่สำคัญ มันรองรับ WiFi แบบ Dual Band ด้วย ก็คือรองรับทั้งคลื่น 2.4G และ 5G ด้วยนั่นเอง น้อยนะ ที่มือถือราคาแค่นี้จะใส่มาให้ แต่ประสิทธิภาพในการรับสัญญาณก็จะไม่ดีเท่า Mi 8 แค่นั้นเองครับ แต่ถือว่าไม่มีปัญหา
อีกเรื่องเลยที่ผมไม่พูดคงไม่ได้ คือตั้งแต่แต่รุ่นถูกที่สุดของ Xiaomi มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า พื้นที่ทับซ้อน Second Space หรือ แอฟโคลน Dual Apps ผมขอพูดถึง Dual Apps ก่อนแล้วกันครับ ถือเราสามารถมาแอพที่เหมือนกันได้ 2 แอพ เช่น ถ้าเรามีไลน์ 2 ไอดี อยากใช้ในเครื่องเดียวกัน เราก็สามารถทำได้โดยการเปิดในเมนูนี้ครับ เราก็จะได้แอพที่เหมือนกัน 2 แอพ แต่ใช้งานคนละไอดีกันได้ ซึ่งของ Xiaomi เอง สามารถทำได้กับทุกแอพเลย ต่อมา Second Space นั้น มันจะเป็นการทำให้มือถือของเรา เหมือน 2 เครื่องในเครื่องเดียวกัน คือถ้าเราเปิดโหมดนี้ขึ้นมาเราก็จะสามารถแยกได้ว่า เป็นส่วนของที่ทำงาน หรือส่วนตัว จะแยกกันทุกอย่าง เหมือนเป็นมือถือคนละเครื่อง แต่อยู่ในเครื่องเดียวกัน เหมาะสำหรับคนที่ขายของออนไลน์หรือใช้งานหลายไอดีหลายแอคเคาท์ มากๆ เลยครับ
และนี่คือผลการเทส Antutu ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งชี้วัดว่ายิ่งตัวเลขเยอะยิ่งดี ผมแค่เพียงทดสอบมาให้ดูเท่านั้นว่าคะแนนได้ประมาณเท่าไหร่ และเอาไว้เป็นข้อมูลไปเทียบกับรุ่นอื่นๆ ได้ครับ
เรื่องเกมสำหรับรุ่นนี้ผมจะไม่เน้นมากเพราะเป็นรุ่นที่เล่นเกมได้แค่ระดับกลางๆ เท่านั้น ROV สามารถปรับได้แค่ ภาพ HD เท่านั้น ไม่สามารถปรับเฟรมเรทสูงได้ เพราะฉะนั้น ROV จะสุดที่ 30เฟรมเท่านั้น
แต่สำหรับ PUBG ปรับกราฟฟิคระดับปานกลางหรือสมดุล จากที่ลองมา ยังลื่นกว่า Exynos 7885 ใน A7 2018 ในการเล่นเกม ซีพียูถือว่า อุ่น ไม่ร้อนเหมือน A7 2018
ด้วยอัตราส่วนจอ 19:9 ของ Redmi Note 6 Pro จึ่งทำให้เวลาเล่น PUBG แล้วติ่งยังบังปุ่มควบคุมบางส่วนของเกมส์อยู่ แต่ Mi 8 อัพเดตแล้ว ตัวเกมจึงทำปุ่มหลบติ่งออกมา จึงไม่มีปัญหาหาติ่งบังปุ่ม แต่ตอนนี้ใน Redmi Note 6 Pro ยังไม่ได้อัพเดต อาจจะต้องรออีกซักพัก เพื่อแก้ไขปัญหานี้
แบตเตอรี่ที่ให้มา 4000 มิลแอมถือว่าใช้งานได้ทั้งวันเลย และยังมีระบบชาร์จด่วนอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็น 2.0 หรือ 3.0 ซึ่งชาร์จกลับได้ไว ในราคาแค่นี้ให้ชาร์จด่วนมาด้วยก็คงมีแต่ Mi มั้งคับ
ชาร์จกลับ จาก 0 ถึง 100 1ชั่วโมงได้ 70เปอร์เซ็นต์ และสามารถชาร์จเสร็จได้ด้วยเวลาเพียง 1ชม. 45นาที เท่านั้น สำหรับแบต 4000 ถือว่าทำได้ดีมาก แต่เสียดายที่ไม่แถมอแดปเตอร์ชาร์จด่วนมาให้ในกล่อง แต่ซื้อเพิ่มได้ ราคาไม่แพงครับ
จุดสังเกต
ในกล่องไม่มีอแดปเตอร์ชาร์จด่วนมาให้
วัสดุฝาหลังส่วนใหญ่เป็นโลหะ ไม่ค่อยเป็นรอยนิ้วมือ แต่บอดี้ด้านข้างเป็นพลาสติก
ราคาขนาดนี้ ไม่ต้องถามหา Type C
ถ่ายภาพกลางคืนที่มีแสงจ้ามากบางจุด จะเก็บรายละเอียดส่วนที่สว่างเกินไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สรุป
ด้วยราคา 6990 ถือว่าได้สเปกที่ดีและราคาถูก และความสามารถเรื่องกล้องที่จัดเต็มมากๆ เล่นเกมได้พอใช้ แต่ไม่ดีเท่าที่ควร สำหรับคนที่อยากเล่นเกมส์ดีๆ ด้วยก็ควรต้องหาซีพียูที่ดีกว่านี้เช่น Snapdragon 660 ขึ้นไป เช่น Mi 8 Lite จะเล่นเกมได้ดีกว่า ที่ราคาเริ่มต้นที่ 7990 จะเหมาะกว่า
ชื่อสินค้า:   xiaomi redmi note 6 pro
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่