เดิมผมใช้ SS note 2 มา 5-6ปี แต่เนื่องจากมันสิ้นสุดที่ android 4.4.2 ซึ่งแอพหลายๆแอพที่สำคัญ มันลงไม่ได้ เพราะไม่รองรับ อีกทั้ง note2 ก็เชื่องช้าซะเหลือเกิน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือ แต่ติดที่ว่าเราก็อยากได้ stylus ที่มากับเครื่องด้วย ตอนนี้ตลาด SS ก็เหลือแต่ note 8,9 ซึ่งก็แพงเหลือหลาย ส่วน SS fan edition ก็ไม่มั่นใจว่าเป็น re-furbish รึเปล่า หันไปหันมา ก็มาเจอ infinix note 5 stylus ราคาไม่โหด มี stylus ให้ แถม android 8.1 oreo ล่าสุดเลย ดูสเปคก็ไม่ขี้เหร่ เลยลองซื้อมาใช้ดู ผมซื้อช่วง 11-11 ร่วมกับลดโปรบัตรเครดิต จึงได้ในราคา 7760 บ. จากราคาเต็ม 8990บ.
หลังจากใช้มาอย่างเต็มที่ 2 สัปดาห์ ลองทุก modality ก็ทำให้เห็นข้อดี และข้อเสีย ของมัน ซึ่งเป็น คหสต.ของผมนะครับ บางคนอาจจะไม่รู้สึกแบบนั้นก็ได้ จึงจะเอามาแชร์ให้ผู้สนใจได้ทราบครับ
ผมจะแยกเป็นแต่ละประเด็นนะครับ แล้ววิจารณ์ว่า ดี ไม่ดี อย่างไร
1. บรรจุภัณฑ์ และของแถม
กล่องที่ใส่มานี่ เป็นกระดาษแข็งหนาอย่างดี ผมว่าคุณภาพไม่ด้อยกว่าแบรนด์ชั้นนำนะครับ แกะยากพอควร เพราะไม่เว้าขอบให้จับเลย ของแถมก็จะมี เคสใส (แต่สีเข้มมาก) มีฝาปิดรูชาร์จและรูหูฟัง ฟิล์มกันรอย (ซึ่งปิดไม่ครอบคลุมส่วนที่เป็นกระจกทั้งหมด) ส่วนสายชาร์จ แยก adaptor กับสาย ตัวสายแบนดูแปลกตา หัวเป็น microUSB - USB เสียบแล้วฟิตดีครับ adaptor เป็นแบบ quick charge เสียตรงที่ปลั๊กตัวผู้แบบหัวกลม ซึ่งผมเกลียดมาก เพราะเสียบไม่ได้กับทุกปลั๊ก และถึงจะเสียบได้ก็มักจะหลวม หูฟังแบบหุ้มซิลิโคนเหมือนทั่วไปครับ ลองเสียบฟังดู คุณภาพกลางๆ ไม่ค่อยใสสะอาดนัก ส่วนคู่มือรายละเอียดน้อยเกิ๊น ผมลูบๆคลำๆเองก็ได้
2. รูปลักษณ์ภายนอก ตัวเครื่องเป็น full metallic body ก็ต้องบอกว่าดูเนี้ยบ งานประกอบดูเรียบร้อย แน่นหนาดี สีด้านหลังมีให้เลือก 3สี คือ สีแดง (Bordeaux red) สีชมพู (Champaign gold) สีน้ำเงินเข้ม (charcoal blue) แต่สีด้านหน้ามีสีเดียวคือ สีดำ ผมเลือกสีแดงมา กะว่า เอาเถอะ อย่างน้อยเวลาคว่ำโทรศัพท์ ก็เห็นสีแดงล่ะวะ แต่พอใส่เคสที่แถมมา แม้จะใส แต่ก็สีเข้ม จึงทำให้ไม่แดงอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนผมซื้อโทรศัพท์สีดำๆ ปนเลือดหมูมางั้นแหละครับ
การจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ส่วนที่ผมชอบก็คือ ลำโพง วางไว้ขอบล่าง ทำให้เสียงดังดี วางกับพื้นไม่มีผลกระทบใดๆ ส่วนที่ผมไม่ชอบ กล่าวคือ
2.1 ปุ่มเปิดปิด มันอยู่ชิดกับ ปุ่มเสียง ทำให้บางทีเรากดโดยไม่มอง มันกลายเป็นปิดหน้าจอ
2.2 finger sensor ถ้ากำลังถือโทรศัพท์อยู่ มันก็ตรงกับนิ้วชี้พอดี แต่เวลาเราวางบนพื้น sensor จะอยู่ด้านหลัง ทำให้เวลาต้องการปลดหน้าจอ ต้องยกขึ้นมาลูบ หรือไม่งั้นก็ต้องมาลากจุดหน้าจอ ใจจริงผมชอบแบบที่อยู่ด้านหน้ามากกว่า แต่ก็เข้าใจว่าเค้าต้องการให้หน้าจอกว้างๆ
3. หน้าจอ เป็นจอ LTPS IPS LCD capacitive touchscreen, 16M colors ขนาด 6นิ้ว full HD+ อัตราส่วน 18:9 ~402 ppi density ความคมชัดมองด้วยตา ผมว่าอยู่ในเกณฑ์ทีดีนะครับ ใช้งานจริง ผมว่าสู้แสงได้ดีนะครับ เทียบกับ note 2 ของเก่า เวลาออกแดด ผมต้องเพิ่มแสงราว 60-70% แต่ตัวนี้ ผมปรับแค่ 30% ก็เหลือกินครับ การทัชหน้าจอก็รับสัมผัส ตอบสนองได้ดี
4. เครื่องยนต์ และซอฟท์แวร์ Chipset ใช้ของ Mediatek MT6763T Helio P23 (16 nm) , CPU แบบ Octa-core 2.0 GHz Cortex-A53 , GPU Mali-G71 MP2 , RAM 4GB , ROM 64GB ถ้าดูความลื่นไหล และความเร็วในการโหลดแอพ ผมก็ถือว่ารวดเร็วดี และไม่สะดุด ไม่หน่วง ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะ RAM 4GB ด้วย ทำให้แม้เปิดหลายแอพค้างไว้ ก็ไม่มีทำให้ช้าลงแต่อย่างใด
ส่วนOS ใช้เป็น Android 8.1 (Oreo); Android One ซึ่งก็คือ เป็น android เพียวๆ ไม่มี UI ของ infinix มาครอบ หลายๆรีวิว อวยว่าแบบเพียวๆดีกว่า จะได้ไม่หน่วงเครื่อง แต่เอาเข้าจริง ผมว่ามันทำให้ใช้งานยากขึ้นเยอะเลย เพราะหลายๆ setting ไม่ได้รวมอยู่ด้วยกัน ต้องควานหาพอควร แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยอยู่แล้ว ก็คงไม่ซีเรียสอะไร
ส่วน GPU ผมไม่ใช่สายเล่นเกม จึงไม่ได้ลองว่าเป็นไง แต่ตามรีวิวต่างๆก็ระบุชัดเจนว่า หากจะเล่นเกม แนะนำให้ปรับภาพให้เป็นระดับปานกลาง ก็จะไม่กระตุกครับ ส่วน ROM 64GB แม้ไม่ใส่การ์ดเสริม ก็คงพอได้ แต่ถ้าถ่ายรูปเยอะๆ ลงแอพสารพัด ลงวิดีโอ ลงเพลง อาจจะไม่พอได้นะครับ อันนี้อยู่ที่การบริหารจัดการละครับ
รองรับ microSD ได้ถึง 128GB ซึ่งสำหรับผม แค่ 64 ก็เหลือเฟือละครับ
5. กล้อง มีกล้องหน้าและหลังอย่างละตัว
กล้องหลัง 16 MP , f/1.8, AF , Dual-LED dual-tone flash (คือ แฟลชยิงได้ 2 ระดับ) , มี panorama, ถ่ายแบบ HDR ส่วน Video 2160p@30fps, 1080p@30fps (gyro-EIS), 720p@120fp (สามารถถ่ายแบบ slow motion ได้)
กล้องหน้า 16 MP, f/2.0 ส่วน Video 1080p@30fps (ถ่าย slow motion ไม่ได้)
ด้วยความที่รูรับแสงค่อนข้างกว้างทั้งกล้องหน้าและหลัง จึงทำให้เวลาถ่ายภาพในที่แสงค่อนข้างน้อย จึงถ่ายออกมาได้ดี คือ ไม่สั่นไหว และน้อยส์ไม่ค่อยมี แต่ถ้าแสงน้อยจริงๆ ก็มีน้อยส์ให้เห็นชัดเจนครับ (แต่ภาพไม่สั่นไหว)
ภาพนี้ถ่ายในห้องก็จริง แต่แสงสว่างค่อนข้างมาก ก็จะเห็นว่าภาพคมชัดดีทีเดียว
ภาพนี้ถ่ายในห้องอาหาร แสงพอประมาณ ภาพชัดดีครับ ซูมแล้วมีน้อยส์นวลๆเล็กน้อย
ภาพเหล่านี้ถ่ายกลางแจ้งตอนกลางคืน (ไม่ใส่แฟลช แสงจากสปอตไลท์เพียวๆ) ไม่เบลอ
ภาพนี้ถ่ายหลังวิ่งเสร็จตอนตี 5 ครับ ไม่เบลอ แต่ น้อยส์กระจาย 555
ส่วนดีที่ให้มาคือ google lens ซึ่งจะช่วยให้เราแค่ถ่ายภาพ หรือ ตัวหนังสือ ก็สามารถเอามาให้ google assistant ช่วยหาคำตอบให้เราได้ อันนี้ต้องชม google จริงๆ
ข้อเสียของแอพกล้องที่มากับเครื่อง คือ
5.1 ไม่มีให้เลือกว่าจะเซฟภาพลงเครื่อง หรือลงการ์ด ทำให้ผมต้องเอาแอพกล้องอื่นมาเสริมเพื่อให้เซฟลงการ์ดโดยตรงได้
5.2 ความสว่างของภาพที่เห็นก่อนถ่าย จะสว่างกว่า ภาพที่ถ่ายจริง ผมว่าถือว่าเป็นปัญหาของแอพกล้องนี้เลยทีเดียวครับ เพราะจะทำให้เรากะเรื่องการชดเชยแสงต่ำกว่าที่ควรครับ
5.3 การถ่ายแบบ HDR จำเป็นต้องถือกล้องนิ่งๆค้าง โดยไม่มีเสียงบอกชัดๆ ทำให้เราก็ไม่แน่ใจว่าจะขยับได้รึยัง ภาพที่ออกมาจึงมักจะคมน้อยกว่าที่ควร แต่ในแง่ความสว่างก็สว่างกว่าถ่าย single shot ที่ตำแหน่งภาพและความสว่างเดียวกัน
(ภาพบนไม่ใช้ HDR ภาพล่างใช้ HDR setting อื่นๆเหมือนกัน )
6. การเชื่อมต่อต่างๆ
ส่วนการเชื่อมต่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น 4G , wifi , bluetooth (4.2) , A-GPS ผมถือว่าเชื่อมต่อเร็วครับ เปิดปุ๊บติดปั๊บ อีกทั้ง wifi ยังสะดวกตรงที่หากต่อ wifi พวกโรงแรมที่ต้องใส่รหัสแยก ซึ่งปกติต้องมาเข้า browser เพื่อใส่รหัส android เวอร์ชั่นนี้ก็ให้เราใส่รหัสแยกนั้นได้เลย โดยไม่ต้องไปเข้า browser ให้เสียเวลา และสามารถเป็น wifi hotspot ได้เช่นกัน , ความแม่นยำของ GPS ผมลองเทียบกับ gear S ที่ผมมีอยู่ ก็ใกล้เคียงกันครับ (แต่เชื่อมต่อไวกว่า gear S เยอะมากครับ)
7. stylus (X pen) และโปรแกรมขีดเขียน (x note)
ปากกาที่ให้มาลักษณะคล้าย S pen ของ ซัมซุง ส่วนหัวเป็นสปริงไว้กดเด้งเพื่อดึงปากกาออก ไม่มีผลต่อการควบคุมใดๆ ตัวด้ามจะมีปุ่มไว้เรียก suspend menu ขึ้นมา (คล้ายกับของซัมซุง) ส่วนปลายด้ามจะมีส่วนโลหะเอาไว้ชาร์จไฟ นั่นก็คือ x pen ต้องอาศัยการชาร์จไฟ ซึ่งแค่เสียบกลับเข้าไปก็จะชาร์จได้ และใช้เวลาไม่นาน หากดึงออกมาข้างนอกสักพัก เครื่องก็จะแจ้งว่าให้ใส่กลับไปชาร์จ
X note มีให้เลือก คือ create note (จดบันทึกข้อมูล เต็มหน้ากระดาษ สี และปากกาดินสอน้อยกว่า) , write memo (บันทึกน้อยแบบ post-it) , view files (ดูไฟล์ที่เราเขียนเก็บไว้) , take screenshot (ถ่ายภาพหน้าจอแล้วเขียนทับได้) , painting (วาดภาพแบบเต็มจอ มีสีสันและดินสอพู่กันปากกาให้เลือกเยอะกว่า create note)
คุณภาพการเขียน ผมแบ่งเป็น 2 ส่วนนะครับ
7.1 ความเร็วในการตอบสนอง ถือว่าช้าเล็กน้อย นั่นคือ เวลาลากปากกา เส้นที่ปรากฏจะช้ากว่ากันเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมถือว่าไม่สะดุด และได้เส้นครบถ้วนตามที่เขียนจริง
7.2 การตอบสนองต่อน้ำหนักกด ถือว่าไม่ค่อยไว นั่นคือ ถ้าลงน้ำหนักแบบแผ่วเบา ไม่ปรากฏเส้นเลย ต้องด้วยแรงประมาณนึงจึงจะปรากฏเส้น (ซึ่งเป็นน้ำหนักเส้นปกติ) ต้องกดด้วยแรงเพิ่มจากปกติ จึงจะได้เส้นที่เข้มขึ้น ผมจึงถือว่าไม่ค่อยไว แม้จะระบุสเปคว่า รองรับแรงกด 4096 ระดับก็ตาม
สรุปคือ ถ้าเทียบกับตระกูล galaxy note ก็ต้องบอกว่า แพ้ราบคาบ แต่ถ้ามองราคาแล้ว ก็ต้องถือว่า โอเคในระดับนึง ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่เหมาะแก่การเอาไปวาดภาพแบบเน้นความหนักเบาของสี แต่ถ้าแค่จดบันทึก วาดรูปขำๆ ผมว่าก็โอนะครับ
ยังมีต่อนะครับ............
[CR] รีวิว infinix note 5 stylus แบบเน้นๆ วิจารณ์ตรงๆจากผู้ใช้จริง
หลังจากใช้มาอย่างเต็มที่ 2 สัปดาห์ ลองทุก modality ก็ทำให้เห็นข้อดี และข้อเสีย ของมัน ซึ่งเป็น คหสต.ของผมนะครับ บางคนอาจจะไม่รู้สึกแบบนั้นก็ได้ จึงจะเอามาแชร์ให้ผู้สนใจได้ทราบครับ
ผมจะแยกเป็นแต่ละประเด็นนะครับ แล้ววิจารณ์ว่า ดี ไม่ดี อย่างไร
1. บรรจุภัณฑ์ และของแถม
กล่องที่ใส่มานี่ เป็นกระดาษแข็งหนาอย่างดี ผมว่าคุณภาพไม่ด้อยกว่าแบรนด์ชั้นนำนะครับ แกะยากพอควร เพราะไม่เว้าขอบให้จับเลย ของแถมก็จะมี เคสใส (แต่สีเข้มมาก) มีฝาปิดรูชาร์จและรูหูฟัง ฟิล์มกันรอย (ซึ่งปิดไม่ครอบคลุมส่วนที่เป็นกระจกทั้งหมด) ส่วนสายชาร์จ แยก adaptor กับสาย ตัวสายแบนดูแปลกตา หัวเป็น microUSB - USB เสียบแล้วฟิตดีครับ adaptor เป็นแบบ quick charge เสียตรงที่ปลั๊กตัวผู้แบบหัวกลม ซึ่งผมเกลียดมาก เพราะเสียบไม่ได้กับทุกปลั๊ก และถึงจะเสียบได้ก็มักจะหลวม หูฟังแบบหุ้มซิลิโคนเหมือนทั่วไปครับ ลองเสียบฟังดู คุณภาพกลางๆ ไม่ค่อยใสสะอาดนัก ส่วนคู่มือรายละเอียดน้อยเกิ๊น ผมลูบๆคลำๆเองก็ได้
2. รูปลักษณ์ภายนอก ตัวเครื่องเป็น full metallic body ก็ต้องบอกว่าดูเนี้ยบ งานประกอบดูเรียบร้อย แน่นหนาดี สีด้านหลังมีให้เลือก 3สี คือ สีแดง (Bordeaux red) สีชมพู (Champaign gold) สีน้ำเงินเข้ม (charcoal blue) แต่สีด้านหน้ามีสีเดียวคือ สีดำ ผมเลือกสีแดงมา กะว่า เอาเถอะ อย่างน้อยเวลาคว่ำโทรศัพท์ ก็เห็นสีแดงล่ะวะ แต่พอใส่เคสที่แถมมา แม้จะใส แต่ก็สีเข้ม จึงทำให้ไม่แดงอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนผมซื้อโทรศัพท์สีดำๆ ปนเลือดหมูมางั้นแหละครับ
การจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ส่วนที่ผมชอบก็คือ ลำโพง วางไว้ขอบล่าง ทำให้เสียงดังดี วางกับพื้นไม่มีผลกระทบใดๆ ส่วนที่ผมไม่ชอบ กล่าวคือ
2.1 ปุ่มเปิดปิด มันอยู่ชิดกับ ปุ่มเสียง ทำให้บางทีเรากดโดยไม่มอง มันกลายเป็นปิดหน้าจอ
2.2 finger sensor ถ้ากำลังถือโทรศัพท์อยู่ มันก็ตรงกับนิ้วชี้พอดี แต่เวลาเราวางบนพื้น sensor จะอยู่ด้านหลัง ทำให้เวลาต้องการปลดหน้าจอ ต้องยกขึ้นมาลูบ หรือไม่งั้นก็ต้องมาลากจุดหน้าจอ ใจจริงผมชอบแบบที่อยู่ด้านหน้ามากกว่า แต่ก็เข้าใจว่าเค้าต้องการให้หน้าจอกว้างๆ
3. หน้าจอ เป็นจอ LTPS IPS LCD capacitive touchscreen, 16M colors ขนาด 6นิ้ว full HD+ อัตราส่วน 18:9 ~402 ppi density ความคมชัดมองด้วยตา ผมว่าอยู่ในเกณฑ์ทีดีนะครับ ใช้งานจริง ผมว่าสู้แสงได้ดีนะครับ เทียบกับ note 2 ของเก่า เวลาออกแดด ผมต้องเพิ่มแสงราว 60-70% แต่ตัวนี้ ผมปรับแค่ 30% ก็เหลือกินครับ การทัชหน้าจอก็รับสัมผัส ตอบสนองได้ดี
4. เครื่องยนต์ และซอฟท์แวร์ Chipset ใช้ของ Mediatek MT6763T Helio P23 (16 nm) , CPU แบบ Octa-core 2.0 GHz Cortex-A53 , GPU Mali-G71 MP2 , RAM 4GB , ROM 64GB ถ้าดูความลื่นไหล และความเร็วในการโหลดแอพ ผมก็ถือว่ารวดเร็วดี และไม่สะดุด ไม่หน่วง ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะ RAM 4GB ด้วย ทำให้แม้เปิดหลายแอพค้างไว้ ก็ไม่มีทำให้ช้าลงแต่อย่างใด
ส่วนOS ใช้เป็น Android 8.1 (Oreo); Android One ซึ่งก็คือ เป็น android เพียวๆ ไม่มี UI ของ infinix มาครอบ หลายๆรีวิว อวยว่าแบบเพียวๆดีกว่า จะได้ไม่หน่วงเครื่อง แต่เอาเข้าจริง ผมว่ามันทำให้ใช้งานยากขึ้นเยอะเลย เพราะหลายๆ setting ไม่ได้รวมอยู่ด้วยกัน ต้องควานหาพอควร แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยอยู่แล้ว ก็คงไม่ซีเรียสอะไร
ส่วน GPU ผมไม่ใช่สายเล่นเกม จึงไม่ได้ลองว่าเป็นไง แต่ตามรีวิวต่างๆก็ระบุชัดเจนว่า หากจะเล่นเกม แนะนำให้ปรับภาพให้เป็นระดับปานกลาง ก็จะไม่กระตุกครับ ส่วน ROM 64GB แม้ไม่ใส่การ์ดเสริม ก็คงพอได้ แต่ถ้าถ่ายรูปเยอะๆ ลงแอพสารพัด ลงวิดีโอ ลงเพลง อาจจะไม่พอได้นะครับ อันนี้อยู่ที่การบริหารจัดการละครับ
รองรับ microSD ได้ถึง 128GB ซึ่งสำหรับผม แค่ 64 ก็เหลือเฟือละครับ
5. กล้อง มีกล้องหน้าและหลังอย่างละตัว
กล้องหลัง 16 MP , f/1.8, AF , Dual-LED dual-tone flash (คือ แฟลชยิงได้ 2 ระดับ) , มี panorama, ถ่ายแบบ HDR ส่วน Video 2160p@30fps, 1080p@30fps (gyro-EIS), 720p@120fp (สามารถถ่ายแบบ slow motion ได้)
กล้องหน้า 16 MP, f/2.0 ส่วน Video 1080p@30fps (ถ่าย slow motion ไม่ได้)
ด้วยความที่รูรับแสงค่อนข้างกว้างทั้งกล้องหน้าและหลัง จึงทำให้เวลาถ่ายภาพในที่แสงค่อนข้างน้อย จึงถ่ายออกมาได้ดี คือ ไม่สั่นไหว และน้อยส์ไม่ค่อยมี แต่ถ้าแสงน้อยจริงๆ ก็มีน้อยส์ให้เห็นชัดเจนครับ (แต่ภาพไม่สั่นไหว)
ภาพนี้ถ่ายในห้องก็จริง แต่แสงสว่างค่อนข้างมาก ก็จะเห็นว่าภาพคมชัดดีทีเดียว
ภาพนี้ถ่ายในห้องอาหาร แสงพอประมาณ ภาพชัดดีครับ ซูมแล้วมีน้อยส์นวลๆเล็กน้อย
ภาพเหล่านี้ถ่ายกลางแจ้งตอนกลางคืน (ไม่ใส่แฟลช แสงจากสปอตไลท์เพียวๆ) ไม่เบลอ
ภาพนี้ถ่ายหลังวิ่งเสร็จตอนตี 5 ครับ ไม่เบลอ แต่ น้อยส์กระจาย 555
ส่วนดีที่ให้มาคือ google lens ซึ่งจะช่วยให้เราแค่ถ่ายภาพ หรือ ตัวหนังสือ ก็สามารถเอามาให้ google assistant ช่วยหาคำตอบให้เราได้ อันนี้ต้องชม google จริงๆ
ข้อเสียของแอพกล้องที่มากับเครื่อง คือ
5.1 ไม่มีให้เลือกว่าจะเซฟภาพลงเครื่อง หรือลงการ์ด ทำให้ผมต้องเอาแอพกล้องอื่นมาเสริมเพื่อให้เซฟลงการ์ดโดยตรงได้
5.2 ความสว่างของภาพที่เห็นก่อนถ่าย จะสว่างกว่า ภาพที่ถ่ายจริง ผมว่าถือว่าเป็นปัญหาของแอพกล้องนี้เลยทีเดียวครับ เพราะจะทำให้เรากะเรื่องการชดเชยแสงต่ำกว่าที่ควรครับ
5.3 การถ่ายแบบ HDR จำเป็นต้องถือกล้องนิ่งๆค้าง โดยไม่มีเสียงบอกชัดๆ ทำให้เราก็ไม่แน่ใจว่าจะขยับได้รึยัง ภาพที่ออกมาจึงมักจะคมน้อยกว่าที่ควร แต่ในแง่ความสว่างก็สว่างกว่าถ่าย single shot ที่ตำแหน่งภาพและความสว่างเดียวกัน
(ภาพบนไม่ใช้ HDR ภาพล่างใช้ HDR setting อื่นๆเหมือนกัน )
6. การเชื่อมต่อต่างๆ
ส่วนการเชื่อมต่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น 4G , wifi , bluetooth (4.2) , A-GPS ผมถือว่าเชื่อมต่อเร็วครับ เปิดปุ๊บติดปั๊บ อีกทั้ง wifi ยังสะดวกตรงที่หากต่อ wifi พวกโรงแรมที่ต้องใส่รหัสแยก ซึ่งปกติต้องมาเข้า browser เพื่อใส่รหัส android เวอร์ชั่นนี้ก็ให้เราใส่รหัสแยกนั้นได้เลย โดยไม่ต้องไปเข้า browser ให้เสียเวลา และสามารถเป็น wifi hotspot ได้เช่นกัน , ความแม่นยำของ GPS ผมลองเทียบกับ gear S ที่ผมมีอยู่ ก็ใกล้เคียงกันครับ (แต่เชื่อมต่อไวกว่า gear S เยอะมากครับ)
7. stylus (X pen) และโปรแกรมขีดเขียน (x note)
ปากกาที่ให้มาลักษณะคล้าย S pen ของ ซัมซุง ส่วนหัวเป็นสปริงไว้กดเด้งเพื่อดึงปากกาออก ไม่มีผลต่อการควบคุมใดๆ ตัวด้ามจะมีปุ่มไว้เรียก suspend menu ขึ้นมา (คล้ายกับของซัมซุง) ส่วนปลายด้ามจะมีส่วนโลหะเอาไว้ชาร์จไฟ นั่นก็คือ x pen ต้องอาศัยการชาร์จไฟ ซึ่งแค่เสียบกลับเข้าไปก็จะชาร์จได้ และใช้เวลาไม่นาน หากดึงออกมาข้างนอกสักพัก เครื่องก็จะแจ้งว่าให้ใส่กลับไปชาร์จ
X note มีให้เลือก คือ create note (จดบันทึกข้อมูล เต็มหน้ากระดาษ สี และปากกาดินสอน้อยกว่า) , write memo (บันทึกน้อยแบบ post-it) , view files (ดูไฟล์ที่เราเขียนเก็บไว้) , take screenshot (ถ่ายภาพหน้าจอแล้วเขียนทับได้) , painting (วาดภาพแบบเต็มจอ มีสีสันและดินสอพู่กันปากกาให้เลือกเยอะกว่า create note)
คุณภาพการเขียน ผมแบ่งเป็น 2 ส่วนนะครับ
7.1 ความเร็วในการตอบสนอง ถือว่าช้าเล็กน้อย นั่นคือ เวลาลากปากกา เส้นที่ปรากฏจะช้ากว่ากันเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมถือว่าไม่สะดุด และได้เส้นครบถ้วนตามที่เขียนจริง
7.2 การตอบสนองต่อน้ำหนักกด ถือว่าไม่ค่อยไว นั่นคือ ถ้าลงน้ำหนักแบบแผ่วเบา ไม่ปรากฏเส้นเลย ต้องด้วยแรงประมาณนึงจึงจะปรากฏเส้น (ซึ่งเป็นน้ำหนักเส้นปกติ) ต้องกดด้วยแรงเพิ่มจากปกติ จึงจะได้เส้นที่เข้มขึ้น ผมจึงถือว่าไม่ค่อยไว แม้จะระบุสเปคว่า รองรับแรงกด 4096 ระดับก็ตาม
สรุปคือ ถ้าเทียบกับตระกูล galaxy note ก็ต้องบอกว่า แพ้ราบคาบ แต่ถ้ามองราคาแล้ว ก็ต้องถือว่า โอเคในระดับนึง ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่เหมาะแก่การเอาไปวาดภาพแบบเน้นความหนักเบาของสี แต่ถ้าแค่จดบันทึก วาดรูปขำๆ ผมว่าก็โอนะครับ
ยังมีต่อนะครับ............
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้