เรามีความตั้งใจโพสต์เรื่องนี้เพื่อขอคำแนะนำด้านกฏหมายและการดำเนินการเพื่อปกป้องตัวเราเองกับลูกสาวที่ถูกผู้ปกครองที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอก เป็น ผศ.ดร. ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีกับเมียกระทำ (มีฐานเป็นผู้ปกครองของเด็กในห้องเดียวกันกับลูกสาว)
1. ละเมิดสิทธิถ่ายวิดีโอและตัดต่อรอพร้อมอาจทำให้เกิดความเสียหาย
2. คุกคามข่มขู่ลูกสาวัย 4 ขวบ และคุกคามเราด้วย
3. หมิ่นประมาทเรา
เรื่องทั้งหมดมี 2 เหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่งเหตุเกิดขึ้นที่โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี และกระทำการละเมิดสิทธิแอบถ่ายวิดีโอในโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ราชการอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยฯ แห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี โดยอาจารย์ ผศ.ดร. ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยฯ และคุกคามข่มขู่ลูกและเรามีรายละเอียดดังนี้
ประมาณ สิงหาคม – กันยายน ปี 2561 เริ่มต้นของเหตุคือ เราทราบจากลูกว่าถูกเพื่อนคนนึงงแกประจำ แต่เด็กวัย 4 ขวบ เราส่งไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ทักษะการเข้าสังคม จึงสอบถามไปยังผู้ปกครองที่เกี่ยวข้อง เพราะลูกเราอาจจะเป็นฝ่ายถูกรังและอาจเป็นฝ่ายรังแก ซึ่งก็มีการถูกรังแกจนบาดเจ็บบนใบหน้าไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อสอบถามไปยัง ผู้ปกครองที่เป็น ผศ.ดร. นายนี้ก็ตอบผ่านไลน์ (ซึ่งมีหลักฐานเก็บไว้ทั้งหมดขออนุญาตยังไม่โพสต์ภาพเพราะยังได้เบลอข้อมูล) เราถามเรื่องการถูกรังแกโดยลูกชายของผู้ปกครอง ผศ.ดร. ว่าให้ช่วยสอบถามเด็ก แต่สิ่งที่พ่อเด็กตอบกลับมาคือ ลูกเขาเลี้ยงดีทุกอย่าง ลูกเขาถูกลูกเรารังแกนอนร้องไห้เป็นเดือน
จุดที่พีคหลังการสอบถามไปพบว่า นายผศ.ดร.มีการถ่ายวิดีโอในพื้นที่โรงเรียน (น่าจะแอบถ่ายเพราะเคยสอบถามทางโรงเรียนและครูและผู้จัดการโรงเรียนไม่มีใครรับว่าอนุญาตให้ถ่าย) โดยอ้างว่าถ่ายส่งไปให้ปู่ย่าตายายดู แต่ๆๆ เมื่อถามไปปุ๊บตอบกลับมาส่งวิดีโอตัดต่อรอพร้อมกลับมาทันที คือ ตัดต่อรอไว้พร้อมและเป็นไปในทางเสียหายแก่ลูกเรา ถ้าคนไม่ทราบเรื่องและตัดสินแต่วิดีโอลูกเราจะกลายเป็นเด็กที่รังแกคนอื่น แต่เมื่อเราสอบถามลูกเรา ลูกเราแจ้งว่าบอกเพื่อนให้รีบๆ เข้าเรียนมาสายแล้วมีเพียงแค่นั้น และในภาพประกอบจะเห็นว่ามีเด็กที่เป็นเพื่อนสนิทของลูกสาวยืนอยู่ด้วยกัน (ขออนุญาตคุณพ่อของน้องแล้วที่จะนำมาใช้และขอปิดบังใบหน้าเพื่อปกป้องสิทธิของเด็กซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย เดี๋ยวจะตามมาโพสต์ให้ดูนะคะ) ซึ่งเป็นการถ่ายภายในพื้นที่ของโรงเรียนสาธิตแห่งนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ รบกวนขอความช่วยเหลือแนะนำ
1. เขามีสิทธิอะไรมาแอบถ่ายวิดีโอเด็ก (เป็นห้องเหมือนล๊อกเกอร์ไว้เก็บของแต่งตัวสำหรับเด็ก) และดิฉันในฐานะผู้ปกครองไม่เคยอนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งในโรงเรียน หรือ ผู้ปกครองที่เป็น ผศ.ดร.ถ่ายภาพหรือวิดีโอบุตร เราดำเนินการร้องเรียนทางวินัยมาเป็นปีแล้ว อธิการบดีตอบกลับมาแบบสวนทางความเป็นจริง เรายืนยันขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน กลับมีอาจารย์โทรกลับมาแสดงความเป็นใหญ่และทำให้เราเข้าใจว่าเป็นการข่มขู่ว่าถ้ายืนยันตั้งคณะกรรมการสอบสวนเราเองก็อาจจะโดนดำเนินคดีด้วยเช่นกัน เราก็โอเคค่ะไม่เป็นไรเพราะเราไปศาลแรงงานบ่อย ศาลแพ่งเคยไป ศาลอาญาเคยไป เพราะเราไม่เคยอนุญาตให้ถ่าย และใครอนุญาตให้ใช้พื้นที่ภายในอาคารเรียนซึ่งเป็นสถานที่ราชการในการถ่ายวิดีโอเด็ก
2. ทำไมถ่ายและตัดต่อรอไว้พร้อมส่งในช่วงที่ลูกเราเสียหายได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เขาจะคิดถึงไหมว่าเด็กก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกคุณ ที่ต้องได้รับการปกป้องและมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ แต่เรื่องร้องเรียนทางวินัยมาได้ปีกว่าๆ ยังดำเนินคดีอาญาได้ไหมค่ะ
หลังจากที่ทราบเรื่องและพิจารณาถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยที่ไม่มีในโรงเรียน และการละเมิดสิทธิเด็กโดย ผู้ปกครอง ผศ.ดร. ที่กระทำต่อเด็กในสถานที่ราชการ ซึ่งก็รอการตั้งคณะกรรมการสอบสวนมาเป็นปีไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จนตอนนี้ร้องไปถึงกรรมการสภามหาวิทยาลัยแล้วก็รอเรื่องอยู่
เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ยังคงมีเรื่องราวต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560 และจนเกิดเหตุข่มขู่คุกคามเด็กและหมิ่นประมาทในเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 ซึ่งจะเป็นภาค 2 ต่อไป (กลัวว่าเรื่องยาวและจะงงเลยแบ่งเป็นภาคให้เห็นภาพง่ายขึ้น)
ภาค 2
เรามีความพยายามในการตามหา ผู้ปกครอง ผศ.ดร. นายนี้เพื่อตั้งใจจะบอกด้วยตนเองว่าอย่าถ่ายรูปลูกเราเราไม่อนุญาตให้ถ่ายเพื่อให้เขาเข้าถึงสิทธิเด็ก จนวันนึงประมาณเดือน ก.ค. 2561 เราเดินทางไปส่งลูกสาวพร้อมน้องข้างบ้านที่ขอติดรถไปลงเพื่อต่อรถ ก็ได้เจอผู้ปกครอง ผศ.ดร. (ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อน) กำลังเดินเข้าไปส่งลูกชายเขา เราเดินเข้าไปส่งลูกพร้อมกับน้องสาวข้างบ้านเช่นเดียวกัน และเห็นว่ามีจังหวะที่ได้เจอกันจึงได้แจ้งเขาต่อหน้าว่าห้ามถ่ายรูปหรือวิดีโอเราดีๆ แต่ ผู้ปกครอง ผศ.ดร. นั้นกลับตะโกนกลับมาอย่างเคี่ยวเข็ญ และเสมือนข่มขู่เรากับลูก เรายอมรับว่าเราตะโกนสวนกลับเพราะเราต้องปกป้องตัวเองกับลูกและเมื่อเราพูดดีๆ แล้ว ผู้ปกครอง ผศ.ดร. นั้นกลับตะโกนและใช้ถ้อยคำรุนแรง ซึ่งมีพยานเป็นครูพี่เลี้ยง และผู้ปกครองท่านอื่น พร้อมน้องสาวข้างบ้านเรา และเราได้สั่งลูกสาวเราต่อหน้าว่าอย่าเล่นกับเด็กคนนี้อีกเพราะจะถูกรังแกได้อีก (ทราบภายหลังจากผู้ปกครองบางท่านซึ่งเด็กคนนี้ชอบรังแกเด็กคนอื่นจริง หลังจากวันนั้นเรายังไม่มีโอกาสได้เจอกับ ผศ.ดร.เอ อีก
จนเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลาโดยประมาณ 08.16 น.เราเข้าไปส่งลูกสาวเราที่โรงเรียน (ภาพประกอบจะอัพโหลดอีกครั้งขอเบอลภาพก่อนนะคะ และมีวิดีโอเป็นช่วงถ่ายหลังจากถูกคุกคาม) เราหยิบกระเป๋าลูกสาวเราและกำลังเดินเข้าไปส่งลูก ก็มีผู้หญิงผมสั้นสวมเสื้อสีนน้ำเงินดังภาพปรากฏซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อน มายืนดักหน้าดักหลังโดยยืนเผชิญหน้าเรา และลูกสาวเราอยู่ตรงกลาง และตะโกนตะคอกด่าทอต่างๆ นาๆ พร้อมชี้หน้าด่าลูกสาวเราว่า “โตขึ้นอย่าเป็นเหมือนแม่นิสัยเลว” จนเราร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจาก รปภ.จำนวน 2 นายที่ยืนอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุระยะไม่เกิน 5 เมตรแต่ไม่มีใครขยับตัวมาให้ความช่วยเหลือ (และมีผู้ปกครองท่านอื่นเดินผ่านพร้อมเด็กเล็กหลายคน) และเห็น ผู้ปกครอง ผศ.ดร.ยืนโบกไม้โบกมือคุมเชิงอยู่จึงเดาว่าน่าจะเป็นเมีย เราบอกนาง นางอย่าคุกคามเด็กและหลบไปให้พ้น พร้อมกับพยายามเดินไปส่งลูกสาวเข้าไปในรั้วโรงเรียน และได้เดินกลับออกมาพร้อมกับตะโกนให้ ตัว ผศ.ดร.ที่ให้การสนับสนุนเมียในการคุกคามเรากับลูก กับตัวผู้หญิงไปพบกันที่อธิการบดี แต่ฉับพลันทันใดนางก็มีอาการลุกขึ้นมาไหว้ พอไหว้เสร็จนางเห็นเราบันทึกวิดีโอก็ชี้หน้าด่าว่าเราไปทำร้ายลูกเขา (ระหว่างเกิดเหตุการณ์เราก็คิดวิเคราะห์ว่าตอนแรกก็ไหว้ต่อมาก็ชี้หน้าด่าเขาจะมีอาการปกติเช่นคนทั่วไปหรือไม่ หรือจะคุ้มดีคุ้มร้ายและเราจะต้องระวังตัวอย่างไร ซึ่งการหมิ่นประมาทกล่าวหาว่าเราทำร้ายลูกเขานั้น เราขอยืนยันตรงนี้ว่าไม่เป็นความจริงและไม่เคยทำแต่ประการใด) และเราได้เดินมายังรถเราพร้อมขับรถมายังสำนักงานอธิการบดี
เมื่อมาถึงสำนักงานอธิการบดีได้ติดต่อผ่านเลขาชื่อน้อง พ.(นามสมมติ) เพื่อขอพบอธิการบดีและได้ทราบว่าอยู่ที่รัฐสภา จึงได้พบรองอธิการบดีท่านนึ่ง จึงได้แจ้งเรื่องราวให้ทราบ ท่านรองอธิการบดีท่านนี้ก็กรุณาให้ยื่นคำร้องตามที่เราร้องขอ และเมื่อยืนเรื่องเสร็จ เราก็ขับรถไปสถานีตำรวจภูธรเจ้าของพื้นที่เพื่อดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และได้แจ้งเรื่องราวให้พนักงานสอบสวนเวรขณะนั้นทราบว่าเกิดเหตุอย่างไรและเคยคุยกับรองอธิการบดีที่ดูแลฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีการสนทนากันระหว่างพนักงานสอบสวนเวรท่านนั้นและรองอธิการบดีที่เราได้ให้หมายเลขมือถือไป
จากเหตุการณ์ทั้งหมดจนถึงบัดนี้เราได้รับความคืบหน้าจากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพียงท่านเดียว และได้สอบถามไปยังโรงเรียนถึงมาตรการความปลอดภัยไปยังผู้จัดการโรงเรียน แต่ไม่มีการตอบเรื่องมาตรฐานและสวัสดิภาพความปลอดภัยที่จะคุ้มครองสวัสดิภาพของลูกสาวเราได้เลย เราจึงตัดสินใจให้ลูกลาออก เพราะโรงเรียนนี้เราพิจารณาอยู่สักพักแล้วว่าไม่มีมาตรฐานที่ดีทั้งกายภาพ การบริหารจัดการด้านสุขอนามัย ตามที่เราคิดว่าเป็นมาตรฐานพื้นฐาน เช่น เมื่อมีการระบาดในโรคมือเท้าปากของเด็กจำนวนมากก็ควรจะปิดโรงเรียน แต่กลับปิดแค่บางห้องเรียน (คิดมาได้สักพักแล้วก่อนเหตุการณ์ค่ะว่ามาตรฐานต่ำกว่าที่คิดตอนให้ลูกเข้าเรียน)
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เราคิดว่าเราจะแสวงหาความยุติธรรมจากสถานที่ราชการแห่งนี้ได้หรือไม่ ทั้งดองเรื่องเงียบมานานเป็นปีในการละเมิดสิทธิเด็กถ่ายวิดีโอ (แอบถ่าย) ทั้งยังเป็นข้าราชการพลเรือนที่ทำงานในสถานนี่ราชการแห่งนี้ และยังกล้ากระทำละเมิดสิทธิเด็ก และสนับสนุนให้เมียตนเองกระทำอาชญากรรมต่อเด็กและประชาชนในสถานที่ราชการอีกด้วย (คุกคาม หมิ่นประมาท สนับสนุนกัน)
เราอยากขอคำแนะนำว่า
1. เรายังดำเนินคดีอะไรได้บ้างเรื่องแอบถ่ายลูกสาวเราแต่ระยะเวลาเกินมาปีกว่าๆ แล้ว เพราะเราใช้เวลาช่วงดังกล่าวไปในการร้องเรียนทางวินัยรอผลออกมา แต่ดองเรื่องเงียบกันนาน เราก็ติดตามมาโดยตลอด
2. จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เราและลูกสาวโดนคุกคามจากทั้ง ผู้ปกครอง ผศ.ดร. และเมียนั้น เราดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และคุกคามกับทั้งคู่ เนื่องจากฝ่ายชายแม้ไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองแต่ยืนคุมเชิงไม่ห้ามปราม
3. อยากฝากท่านใดที่พอจะกรุณาสื่อสารไปยังอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นว่าท่านจะทำเรื่องตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาจารย์ ผศ.ดร.ของท่านเสร็จเมื่อไหร่ นานเป็นปีแล้วค่ะ ตามไปก็ไม่มีการตอบ ขอสื่อสารผ่านทางนี้ไปถึงท่านด้วยนะคะ
ขอเชิญทุกท่านวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำสุภาพ และไม่พาดพิงบุคคลอื่นใด้ให้เสียหาย หากมีคำแนะนำใดที่สามารถช่วยให้เกิดความเป็นธรรมและไม่ล่าช้าดึงเรื่องได้ ขอความกรุณาให้คำแนะนำด้วยค่ะ
ปล.มีภาคต่อไปค่ะ
ลูกสาว 4 ขวบถูกแอบถ่ายในโรงเรียนอนุบาลย่านคลองหก และยังตามมาคุกคาม หมิ่นประมาทจาก ผศ.ดร.
1. ละเมิดสิทธิถ่ายวิดีโอและตัดต่อรอพร้อมอาจทำให้เกิดความเสียหาย
2. คุกคามข่มขู่ลูกสาวัย 4 ขวบ และคุกคามเราด้วย
3. หมิ่นประมาทเรา
เรื่องทั้งหมดมี 2 เหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่งเหตุเกิดขึ้นที่โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี และกระทำการละเมิดสิทธิแอบถ่ายวิดีโอในโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ราชการอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยฯ แห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี โดยอาจารย์ ผศ.ดร. ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยฯ และคุกคามข่มขู่ลูกและเรามีรายละเอียดดังนี้
ประมาณ สิงหาคม – กันยายน ปี 2561 เริ่มต้นของเหตุคือ เราทราบจากลูกว่าถูกเพื่อนคนนึงงแกประจำ แต่เด็กวัย 4 ขวบ เราส่งไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ทักษะการเข้าสังคม จึงสอบถามไปยังผู้ปกครองที่เกี่ยวข้อง เพราะลูกเราอาจจะเป็นฝ่ายถูกรังและอาจเป็นฝ่ายรังแก ซึ่งก็มีการถูกรังแกจนบาดเจ็บบนใบหน้าไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อสอบถามไปยัง ผู้ปกครองที่เป็น ผศ.ดร. นายนี้ก็ตอบผ่านไลน์ (ซึ่งมีหลักฐานเก็บไว้ทั้งหมดขออนุญาตยังไม่โพสต์ภาพเพราะยังได้เบลอข้อมูล) เราถามเรื่องการถูกรังแกโดยลูกชายของผู้ปกครอง ผศ.ดร. ว่าให้ช่วยสอบถามเด็ก แต่สิ่งที่พ่อเด็กตอบกลับมาคือ ลูกเขาเลี้ยงดีทุกอย่าง ลูกเขาถูกลูกเรารังแกนอนร้องไห้เป็นเดือน
จุดที่พีคหลังการสอบถามไปพบว่า นายผศ.ดร.มีการถ่ายวิดีโอในพื้นที่โรงเรียน (น่าจะแอบถ่ายเพราะเคยสอบถามทางโรงเรียนและครูและผู้จัดการโรงเรียนไม่มีใครรับว่าอนุญาตให้ถ่าย) โดยอ้างว่าถ่ายส่งไปให้ปู่ย่าตายายดู แต่ๆๆ เมื่อถามไปปุ๊บตอบกลับมาส่งวิดีโอตัดต่อรอพร้อมกลับมาทันที คือ ตัดต่อรอไว้พร้อมและเป็นไปในทางเสียหายแก่ลูกเรา ถ้าคนไม่ทราบเรื่องและตัดสินแต่วิดีโอลูกเราจะกลายเป็นเด็กที่รังแกคนอื่น แต่เมื่อเราสอบถามลูกเรา ลูกเราแจ้งว่าบอกเพื่อนให้รีบๆ เข้าเรียนมาสายแล้วมีเพียงแค่นั้น และในภาพประกอบจะเห็นว่ามีเด็กที่เป็นเพื่อนสนิทของลูกสาวยืนอยู่ด้วยกัน (ขออนุญาตคุณพ่อของน้องแล้วที่จะนำมาใช้และขอปิดบังใบหน้าเพื่อปกป้องสิทธิของเด็กซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย เดี๋ยวจะตามมาโพสต์ให้ดูนะคะ) ซึ่งเป็นการถ่ายภายในพื้นที่ของโรงเรียนสาธิตแห่งนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ รบกวนขอความช่วยเหลือแนะนำ
1. เขามีสิทธิอะไรมาแอบถ่ายวิดีโอเด็ก (เป็นห้องเหมือนล๊อกเกอร์ไว้เก็บของแต่งตัวสำหรับเด็ก) และดิฉันในฐานะผู้ปกครองไม่เคยอนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งในโรงเรียน หรือ ผู้ปกครองที่เป็น ผศ.ดร.ถ่ายภาพหรือวิดีโอบุตร เราดำเนินการร้องเรียนทางวินัยมาเป็นปีแล้ว อธิการบดีตอบกลับมาแบบสวนทางความเป็นจริง เรายืนยันขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน กลับมีอาจารย์โทรกลับมาแสดงความเป็นใหญ่และทำให้เราเข้าใจว่าเป็นการข่มขู่ว่าถ้ายืนยันตั้งคณะกรรมการสอบสวนเราเองก็อาจจะโดนดำเนินคดีด้วยเช่นกัน เราก็โอเคค่ะไม่เป็นไรเพราะเราไปศาลแรงงานบ่อย ศาลแพ่งเคยไป ศาลอาญาเคยไป เพราะเราไม่เคยอนุญาตให้ถ่าย และใครอนุญาตให้ใช้พื้นที่ภายในอาคารเรียนซึ่งเป็นสถานที่ราชการในการถ่ายวิดีโอเด็ก
2. ทำไมถ่ายและตัดต่อรอไว้พร้อมส่งในช่วงที่ลูกเราเสียหายได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เขาจะคิดถึงไหมว่าเด็กก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกคุณ ที่ต้องได้รับการปกป้องและมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ แต่เรื่องร้องเรียนทางวินัยมาได้ปีกว่าๆ ยังดำเนินคดีอาญาได้ไหมค่ะ
หลังจากที่ทราบเรื่องและพิจารณาถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยที่ไม่มีในโรงเรียน และการละเมิดสิทธิเด็กโดย ผู้ปกครอง ผศ.ดร. ที่กระทำต่อเด็กในสถานที่ราชการ ซึ่งก็รอการตั้งคณะกรรมการสอบสวนมาเป็นปีไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จนตอนนี้ร้องไปถึงกรรมการสภามหาวิทยาลัยแล้วก็รอเรื่องอยู่
เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ยังคงมีเรื่องราวต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560 และจนเกิดเหตุข่มขู่คุกคามเด็กและหมิ่นประมาทในเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 ซึ่งจะเป็นภาค 2 ต่อไป (กลัวว่าเรื่องยาวและจะงงเลยแบ่งเป็นภาคให้เห็นภาพง่ายขึ้น)
ภาค 2
เรามีความพยายามในการตามหา ผู้ปกครอง ผศ.ดร. นายนี้เพื่อตั้งใจจะบอกด้วยตนเองว่าอย่าถ่ายรูปลูกเราเราไม่อนุญาตให้ถ่ายเพื่อให้เขาเข้าถึงสิทธิเด็ก จนวันนึงประมาณเดือน ก.ค. 2561 เราเดินทางไปส่งลูกสาวพร้อมน้องข้างบ้านที่ขอติดรถไปลงเพื่อต่อรถ ก็ได้เจอผู้ปกครอง ผศ.ดร. (ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อน) กำลังเดินเข้าไปส่งลูกชายเขา เราเดินเข้าไปส่งลูกพร้อมกับน้องสาวข้างบ้านเช่นเดียวกัน และเห็นว่ามีจังหวะที่ได้เจอกันจึงได้แจ้งเขาต่อหน้าว่าห้ามถ่ายรูปหรือวิดีโอเราดีๆ แต่ ผู้ปกครอง ผศ.ดร. นั้นกลับตะโกนกลับมาอย่างเคี่ยวเข็ญ และเสมือนข่มขู่เรากับลูก เรายอมรับว่าเราตะโกนสวนกลับเพราะเราต้องปกป้องตัวเองกับลูกและเมื่อเราพูดดีๆ แล้ว ผู้ปกครอง ผศ.ดร. นั้นกลับตะโกนและใช้ถ้อยคำรุนแรง ซึ่งมีพยานเป็นครูพี่เลี้ยง และผู้ปกครองท่านอื่น พร้อมน้องสาวข้างบ้านเรา และเราได้สั่งลูกสาวเราต่อหน้าว่าอย่าเล่นกับเด็กคนนี้อีกเพราะจะถูกรังแกได้อีก (ทราบภายหลังจากผู้ปกครองบางท่านซึ่งเด็กคนนี้ชอบรังแกเด็กคนอื่นจริง หลังจากวันนั้นเรายังไม่มีโอกาสได้เจอกับ ผศ.ดร.เอ อีก
จนเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลาโดยประมาณ 08.16 น.เราเข้าไปส่งลูกสาวเราที่โรงเรียน (ภาพประกอบจะอัพโหลดอีกครั้งขอเบอลภาพก่อนนะคะ และมีวิดีโอเป็นช่วงถ่ายหลังจากถูกคุกคาม) เราหยิบกระเป๋าลูกสาวเราและกำลังเดินเข้าไปส่งลูก ก็มีผู้หญิงผมสั้นสวมเสื้อสีนน้ำเงินดังภาพปรากฏซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อน มายืนดักหน้าดักหลังโดยยืนเผชิญหน้าเรา และลูกสาวเราอยู่ตรงกลาง และตะโกนตะคอกด่าทอต่างๆ นาๆ พร้อมชี้หน้าด่าลูกสาวเราว่า “โตขึ้นอย่าเป็นเหมือนแม่นิสัยเลว” จนเราร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจาก รปภ.จำนวน 2 นายที่ยืนอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุระยะไม่เกิน 5 เมตรแต่ไม่มีใครขยับตัวมาให้ความช่วยเหลือ (และมีผู้ปกครองท่านอื่นเดินผ่านพร้อมเด็กเล็กหลายคน) และเห็น ผู้ปกครอง ผศ.ดร.ยืนโบกไม้โบกมือคุมเชิงอยู่จึงเดาว่าน่าจะเป็นเมีย เราบอกนาง นางอย่าคุกคามเด็กและหลบไปให้พ้น พร้อมกับพยายามเดินไปส่งลูกสาวเข้าไปในรั้วโรงเรียน และได้เดินกลับออกมาพร้อมกับตะโกนให้ ตัว ผศ.ดร.ที่ให้การสนับสนุนเมียในการคุกคามเรากับลูก กับตัวผู้หญิงไปพบกันที่อธิการบดี แต่ฉับพลันทันใดนางก็มีอาการลุกขึ้นมาไหว้ พอไหว้เสร็จนางเห็นเราบันทึกวิดีโอก็ชี้หน้าด่าว่าเราไปทำร้ายลูกเขา (ระหว่างเกิดเหตุการณ์เราก็คิดวิเคราะห์ว่าตอนแรกก็ไหว้ต่อมาก็ชี้หน้าด่าเขาจะมีอาการปกติเช่นคนทั่วไปหรือไม่ หรือจะคุ้มดีคุ้มร้ายและเราจะต้องระวังตัวอย่างไร ซึ่งการหมิ่นประมาทกล่าวหาว่าเราทำร้ายลูกเขานั้น เราขอยืนยันตรงนี้ว่าไม่เป็นความจริงและไม่เคยทำแต่ประการใด) และเราได้เดินมายังรถเราพร้อมขับรถมายังสำนักงานอธิการบดี
เมื่อมาถึงสำนักงานอธิการบดีได้ติดต่อผ่านเลขาชื่อน้อง พ.(นามสมมติ) เพื่อขอพบอธิการบดีและได้ทราบว่าอยู่ที่รัฐสภา จึงได้พบรองอธิการบดีท่านนึ่ง จึงได้แจ้งเรื่องราวให้ทราบ ท่านรองอธิการบดีท่านนี้ก็กรุณาให้ยื่นคำร้องตามที่เราร้องขอ และเมื่อยืนเรื่องเสร็จ เราก็ขับรถไปสถานีตำรวจภูธรเจ้าของพื้นที่เพื่อดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และได้แจ้งเรื่องราวให้พนักงานสอบสวนเวรขณะนั้นทราบว่าเกิดเหตุอย่างไรและเคยคุยกับรองอธิการบดีที่ดูแลฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีการสนทนากันระหว่างพนักงานสอบสวนเวรท่านนั้นและรองอธิการบดีที่เราได้ให้หมายเลขมือถือไป
จากเหตุการณ์ทั้งหมดจนถึงบัดนี้เราได้รับความคืบหน้าจากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพียงท่านเดียว และได้สอบถามไปยังโรงเรียนถึงมาตรการความปลอดภัยไปยังผู้จัดการโรงเรียน แต่ไม่มีการตอบเรื่องมาตรฐานและสวัสดิภาพความปลอดภัยที่จะคุ้มครองสวัสดิภาพของลูกสาวเราได้เลย เราจึงตัดสินใจให้ลูกลาออก เพราะโรงเรียนนี้เราพิจารณาอยู่สักพักแล้วว่าไม่มีมาตรฐานที่ดีทั้งกายภาพ การบริหารจัดการด้านสุขอนามัย ตามที่เราคิดว่าเป็นมาตรฐานพื้นฐาน เช่น เมื่อมีการระบาดในโรคมือเท้าปากของเด็กจำนวนมากก็ควรจะปิดโรงเรียน แต่กลับปิดแค่บางห้องเรียน (คิดมาได้สักพักแล้วก่อนเหตุการณ์ค่ะว่ามาตรฐานต่ำกว่าที่คิดตอนให้ลูกเข้าเรียน)
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เราคิดว่าเราจะแสวงหาความยุติธรรมจากสถานที่ราชการแห่งนี้ได้หรือไม่ ทั้งดองเรื่องเงียบมานานเป็นปีในการละเมิดสิทธิเด็กถ่ายวิดีโอ (แอบถ่าย) ทั้งยังเป็นข้าราชการพลเรือนที่ทำงานในสถานนี่ราชการแห่งนี้ และยังกล้ากระทำละเมิดสิทธิเด็ก และสนับสนุนให้เมียตนเองกระทำอาชญากรรมต่อเด็กและประชาชนในสถานที่ราชการอีกด้วย (คุกคาม หมิ่นประมาท สนับสนุนกัน)
เราอยากขอคำแนะนำว่า
1. เรายังดำเนินคดีอะไรได้บ้างเรื่องแอบถ่ายลูกสาวเราแต่ระยะเวลาเกินมาปีกว่าๆ แล้ว เพราะเราใช้เวลาช่วงดังกล่าวไปในการร้องเรียนทางวินัยรอผลออกมา แต่ดองเรื่องเงียบกันนาน เราก็ติดตามมาโดยตลอด
2. จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เราและลูกสาวโดนคุกคามจากทั้ง ผู้ปกครอง ผศ.ดร. และเมียนั้น เราดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และคุกคามกับทั้งคู่ เนื่องจากฝ่ายชายแม้ไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองแต่ยืนคุมเชิงไม่ห้ามปราม
3. อยากฝากท่านใดที่พอจะกรุณาสื่อสารไปยังอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นว่าท่านจะทำเรื่องตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาจารย์ ผศ.ดร.ของท่านเสร็จเมื่อไหร่ นานเป็นปีแล้วค่ะ ตามไปก็ไม่มีการตอบ ขอสื่อสารผ่านทางนี้ไปถึงท่านด้วยนะคะ
ขอเชิญทุกท่านวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำสุภาพ และไม่พาดพิงบุคคลอื่นใด้ให้เสียหาย หากมีคำแนะนำใดที่สามารถช่วยให้เกิดความเป็นธรรมและไม่ล่าช้าดึงเรื่องได้ ขอความกรุณาให้คำแนะนำด้วยค่ะ
ปล.มีภาคต่อไปค่ะ