Mamba Wireless ชื่อนี้หลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีในรุ่นก่อนหน้าที่มาพร้อมแท่นชาร์จและระบบไร้สายสำหรับทาง Razer ครับ แน่นอนว่าในปี 2018 ตัวนี้ได้ทำการออกรุ่นใหม่มาอีกครั้งเป็นการปรับปรุงจากรุ่นเดิมในด้านการใช้งานและเซนเซอร์ กริปแบบใหม่แต่น่าเสียดายที่แอบตัด ไฟทั้ง 2 ข้างออกไปและรวมถึงไม่มีแท่นชาร์จแบบเดิมแล้วครับ แต่การใช้งานนั้นจะเป็นยังไง หรือ ดีขึ้นน่าสนใจขึ้นไหมอันนี้ต้องไปดูกันครับว่าเจ้า Mamba Wireless มีอะไรเด่นๆ
Razer Mamba Wireless นั้นเปิดตัวไปไม่นานครับและเปิดราคาในประเทศไทยที่ 3,890 บาท และหาซื้อกันได้แล้วครับผมตามร้านทั่วไปได้เลยการดีไซน์ออกแบบรุ่นนี้ยังคงคล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดนะครับแต่ปรับเปลี่ยนบางจุดแก้ไขจุดบกพร่องจากรุ่นเดิมด้วยนั้นเองครับ เผื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้นครับ
UNBOX
- Razer Mamba Wireless
- USB dongle สำหรับขยายสัญญาณรับ
- USB Transmitter สำหรับ รับสัญญาณ
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น พร้อม สติกเกอร์
- สาย Micro-usb สำหรับ ชาร์จไฟเข้า
DESIGN
สำหรับการออกแบบตัวดีไซน์นั้นยังคงอิงแบบเดิใในรุ่นก่อนหน้านั้นครับในด้านของรูปทรงตัวเครื่องและขนาดการออกแบบทั้งหมดนั้นเอง แต่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในด้านลักษณะกริปจับ การชาร์จไฟเข้า และ ตัวไฟ Chroma ตัวนี้การออกแบบเน้นใช้งานได้ดีขึ้น อายุแบตยาวนานขึ้นแต่แลกกับที่ไม่มีแถบไฟสวยๆทั้ง 2 ข้างที่หายไปนั้นเอง
ตัวปุ่มอะไรทั้งหมดยังเหมือนรุ่นก่อนหน้าครับเช่นเดียวกับทาง Mamba Elite นั้นเองทั้งผิววัสดุตัวเลื่อนตรงกลาง สามารถทำอกมาได้ค่อนข้างดีรองรับกับการใช้งานไม่หลุดหรือลื่นง่ายๆครับ แต่ไม่สามารถเลื่อนซ้ายขวาได้แบบตัว Elite นั้นเอง ต่อมาในส่วนของตัว สายที่เห็นนั้นเป็นสายที่เสียบเพื่อเพิ่มระยะการรับของสัญญาณไร้สายครับ แน่นอนว่าปกติเราไม่ต้องมีสายอันนี้ แต่ถ้าระยะมันไม่ถึงเราก็ต้องพื่งสายตัวนี้กับหัวต่อของมันด้วย แต่ถ้าไม่ใช้ก็เป็นแค่ USB รับสัญญาณแบบเล็กๆที่ต่อเข้าไปกับDongle ในภาพที่เห็นเสียบอยู่เล็กๆนั้นแหละครับ สามารถถอกออกได้
การออกแบบทั้งซ้ายขวาไม่มีอะไรมากดูผ่านๆนั้นคงคล้ายๆเดิมแต่มีการแอบปรับเปลี่ยนการออกแบบของตัวกริปยางทั้ง 2 ข้างให้เป็นลวดลายแบบใหม่ วัสดุแบบใหม่และรองรับการจับได้ดีขึ้นครับแน่นอนว่าลายแตกต่างกับรุ่นเดิมทั้ง Mamba wireless / Mamba elite แบบชัดเจนครับ แต่ปุ่มด้านข้างนั้นยังคงมีมาให้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
การออกแบบในส่วนด้านหน้าและหลังเป็นรูปทรงที่คุ้นตาครับแต่จะเห็นว่าแถบไฟสวยๆทั้ง 2 ข้างได้หายไปแล้วและมีไฟแค่ตรงโลโก้ กับส่วนเลื่อนตรงกลางเท่านั้นครับเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักๆของการออกแบบเจ้า Mamba wireless 2018 ที่แยกออกจากรุ่นเดิมค่อนข้างชัดเจน แต่ในการจับถนัดมือนั้นยังคงแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ
ด้วยความที่มันเป็นแบบไร้สายตัวเมาส์นั้นต้องมีการชาร์จแบตครับ การชาร์จจะไม่ใช่แท่นวางแบบเดิมแล้วแต่เป็นแบบสายเสียบเข้าไป ซึ่งข้อดีของมันคือเสียบได้ง่ายและตอนชาร์จสามารถใช้งานได้ปกติแบบเมาส์มีสายทั่วไปเลยครับ อายุแบตก็อึดมากกว่าเดิมแบบชัดเจนเลยในการใช้งานจริงๆครับ และชาร์จได้ไวด้วย มาที่ด้านหลังตัวนี้จะมีสวิทเปิดปิดและตัว รับสัญญาณ ที่เราจะเอาตัวนี้ไปเสียบกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานครับผม มีฝาปิดอะไรมาให้เรียบร้อย พร้อมกับเซนเซอร์แบบใหม่ที่รองรับ 16000 DPI หรือ เทคโนโลยี 5G ล่าสุดที่เป็นอีกจุดที่พัฒนามามากขึ้นครับ
SPEC
- Razer 5G Advanced Optical Sensor with true 16,000 DPI
- Up to 450 inches per second (IPS) / 50 G acceleration
- 1000 Hz Ultrapolling
- Seven independently programmable Hyperesponse buttons
- Razer™ Mechanical Mouse Switches with 50 million clicks life cycle
- Gaming-grade tactile scroll wheel
- Ergonomic right-handed design
- Razer Chroma™ lighting with 16.8 million customizable color options
- Hybrid On-Board Memory and Cloud Storage
- Razer Synapse 3 enabled
- Approximate size: 125.7 mm / 4.95 in (Length) X 70.0 mm / 2.75 in (Width) X 43.2 mm / 1.70 in (Height)
- Approximate weight (excluding cable): 106 g / 0.213 lbs
- Cable length: 2.1 m / 6.89 ft
SOFTWARE
ทางด้าน Synapse 3 ก็ใช้งานได้ดีเช่นเคยครับทั้งการปรับ ตั้งค่า ไฟ ตั้งปุ่มอะไรทั้งหมดสามารถเลือกได้หมดเลยครับปุ่มหลักๆ 9 ปุ่มที่มีมาให้ สามารถตั้งค่าได้ครับและ 7 ปุ่มนั่นสามารถตั้งโปรแกรมได้ หน้าแรกก็เป็นการตั้งค่าปกติ
หน้านี้เป็นที่ปรับตั้งค่า DPI เป็นหลัก สามารถเลือกได้ 2-5 ค่าเวลากดปุ่มเปลี่ยนครับ และสามารถตั้งค่าได้ละเอียดกว่าเดิมคือ แกน X DPI เท่าไร และ Y DPI เท่าไรครับ และปรับค่า Polling Rate ได้ระหว่าง 500 กับ 1000
หน้านี่เป็นส่วนของตัวปรับแสงสว่างของตัวไฟ CHROMA สามารถหรี่แสงได้ รวมถึงเวลาพักไว้นานๆ หรือจอคอมดับนั้นจะปิดไฟเมาส์ และไฟสามารถปรับได้ละเอียดกว่าเดิมผ่านทาง CHROMA STUDIO หรือ Quick Effect ก็ได้จะทำให้ปรับง่ายๆคือมี โหมดต่างๆแบบเลือกสีง่าย ไล่สีง่ายๆทั้งหมด 4 โหมดครับ Breath / Reactive /Spectum / Static จะไม่มีไฟแบบ Wave ให้เลือกง่ายๆนะครับเพราะว่ามันไม่มีแถบไฟข้างๆอีกแล้วนั้นเอง
แต่ถ้าใครอยากปรับได้เยอะละเอียดกว่าเดิมก็เข้ามาที่ Chroma Studio เราสามารถปรับได้อิสระ เปลี่ยนสีได้ตามใจชอบเลยครับและตัว Effect เยอะเลยแหละ มีทั้งหมด 8 Effects ให้ใช้งานกันในมุมซ้ายล่างครับ คือ Breathing / Fire / Reactive / Ripple /Spectrum/Starlight /Static / Wave ซึ่งแต่ละโหมดก็ปรับสี ความไว ระยะการเปลี่ยนสีได้ แต่ไฟนั้นปรับได้หลักๆแค่ 2 ส่วนตามภาพครับผม แตกต่างกับตัว Elite ที่ปรับได้ 20 ส่วน
แน่นอนว่าสามารถตั้งมาโครได้ รองรับเกมต่างๆปกติครับเหมือนรุ่นอื่นๆที่ปรับตามเกม และ อีก 1ส่วนที่แตกต่างคือการควบคุมพลังงานครับว่า จะพักในช่วงเวลาไหนยังไงบ้าง และ กี่นาทีที่ไม่ได้ใช้งาน รวมถึงเข้าสู่โหมดประหยัดแบต
FEELING
มาที่ด้านการใช้งานกันบ้างครับเอาเรื่องการใช้งานเวลาเล่นเกม การจับถือกันก่อน แน่นอนว่ามันอิงดีไซน์มาจากเดิมครับทำให้การจับนั้นไม่แตกต่างกันของเดิมเลย แต่รู้สึกว่ากริปยางนั้นจับถนัดมือมากขึ้นครับ ขนาดของรุ่นนี้อยู่ในระดับกลางไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปครับ วัสดุที่รู้สึกต่างก็เป็นผิวสัมผัสโดยรวมและตัวยางที่ทำได้ดีครับเกาะนิ้วได้ดีเลยแหละ และใช้งานตัวปุ่มต่างๆอยู่ในตำแหน่งที่พอดีกับการใช้งานรวมถึงตัว Scroll ก็เป็นจังหวะและใช้งานวัสดุในการจับดีมากๆเลย สำหรับคนมือเล็กหน่อยผู้หญิงใช้เมาส์รุ่นนี้ได้อย่างไม่ติดขัดอะไรไปทางสบายเลยด้วยน้ำหนักที่เบาด้วยรวมถึงการออกแบบรองรับได้ดีครับในจุดนี้ การใช้งานโดยรวมไม่ได้มีอะไรติดขัดครับ มาที่ส่วนในการใช้งานแบบไร้สายนั้น แทบไม่เจอจุดที่ผิดปกติจากแบบสายเลยครับความนิ่ง สัญญาณเวลาเล่นเกมอะไรพวกนี้เหมือนมีสายเสียบตลอดเวลาไม่เจออาการผิดปกติ หลุด หน่วง แลค อะไรแต่อย่างใดครับ และ ตัวแบตนั้นใช้งานได้ยาวนานจริงๆ ชาร์จ 1 ครั้งใช้สบายๆหลายวันได้เลยครับ และถ้าแบตหมดก็เอาสายเสียบชาร์จได้ ใช้ไปชาร์จไปได้เป็นอีก 1 ข้อดีเลยที่สามารถชาร์จไปเล่นไปได้ครับ ตัวปุ่มการกดคลิกน้ำหนักทำได้ดีแบบรุ่นเดิมครับ นิ่ง และตอบสนองได้ดีเหมือนเดิม
MAMBA WIRELESS 2018 VS MAMBA ELITE
อันนี้เป็นส่วนพิเศษนิดนึงแอดมินขอเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ออกมาไม่นานครับสำหรับ Mamba Elite แน่นอนว่าราคาค่อนข้างใกล้ๆกันเลยและออกมาใกล้ๆกันสำหรับทางด้านเทคโนโลยีไม่ต่างกันเลย แต่หลักๆจะเป็นไร้สาย และ ตัวไฟมากกว่าครับ ทั้ง 2 รุ่นนี้ออกมาจุดประสงค์ต่างกันชัดเจน สำหรับทางด้านไร้สายนั้น เน้นใช้งานสะดวก พกพาง่ายแบตอึด และ เน้นใช้งานจริงจังไม่ได้เน้นโชว์อะไรมาก แต่ถ้าทางด้าน Elite นั้นบอกเลยว่า วางไว้กับชุดคอมประกอบมันจะสวยเด่นสุดๆเน้นใช้งานที่บ้าน สวยๆไฟเท่ๆ และเล่นเกมก็ไว้ใจได้คือมีทั้ง 2 ตัว เน้นพกพา กับ อยู่บ้านนั้นเองครับ
เอาจริงๆแอบมินแทบไม่รู้สึกเลยว่าแบบไร้สายกับแบบสายมันต่างกันเพราะใช้ทั้ง 2 ตัวบอกได้เลยว่ามันไม่ต่างเลยถือว่าเทคโนโลยีมันมาไกลมากครับคือสัญญาณมันนิ่งจริงๆนะจากที่ใช้งานจุดนี้ยอมรับเลยครับ แต่ถ้าในการออกแบบไฟสวยๆ หรือพวกดีเทลพวกนี้ แอดมินยังชอบการออกแบบของตัว ELITE มากกว่าทั้ง ตัวไฟทั้ง 2 ข้าง วัสดุด้านหน้าที่เป็นคล้ายๆตระแกรงดำเงา มันดูมีอะไรมากกว่าแบบเรียบๆของทาง Wireless นั้นเองครับ
แต่ในด้านความสะดวกในการใช้งานไร้สายนั้นก็ตอบโจทย์ได้อย่างดี และ กริปก็จับได้ดีมากๆครับมีเส้นสายสวยงาม รวมถึงอายุแบตก็จัดเต็มมากๆ ใช้ได้ 2-4 วันเลยครับแบบเปิดไฟด้วยนะ จะเห็นว่ารุปทรงนั้นไม่ต่างกันเลยครับสำหรับรูปเทียบที่แอดมินนั้นลองนำมาวางคู่กัน แต่เรื่องของไฟและ ตัวลักษณะปุ่ม กริปนั้นจะมีความแตกต่างกันครับ
RAZER MAMBA WIRELESS 2018
“เน้นใช้งานดีขึ้น นิ่งเหมือนไม่ใช่ไร้สาย ! “
เป็นเมาส์ที่ต่อยอดจากรุ่นเดิมในบางจุด แต่ก็แอบตัดจากรุ่นเดิมไปบางอย่าง แต่เค้าคงคิดไว้แล้วเพื่อ อายุแบตที่นานขึ้น การใช้งานที่ต่อเนื่องขึ้นนั้นเองครับ และ ถ้าใครอยากสวยๆก็มีรุ่น Elite มาเติมเต็มในจุดนี้ให้ แล้วรุ่นนี้จะเหมาะกับใครยังไงดี เอาง่ายๆคือคนที่เน้นไร้สาย พกพาไปไหนบ่อยๆ แต่ก็ยังสายเกมเล่นเกมบ่อย ความแม่น นิ่ง ยังคงแบบเดิม แต่ไม่ได้เน้นสวยงามมากนัก รุ่นนี้ตอบโจทย์อย่างมากครับ ทั้งแบตและความนิ่งของสัญญาณ เป็นรุ่นที่ทำออกมาได้ดีกว่าเดิมในแง่การใช้งาน ครับ เป็นรุ่นไร้สายที่น่าเล่นอีก 1 ตัวเลือกได้เลยสำหรับใครที่กำลังหาๆอยู่ครับผม
[SR] รีวิว Razer Mamba Wireless (2018) พัฒนาจากรุ่นเดิมพร้อมเซนเซอร์ 5G !
Mamba Wireless ชื่อนี้หลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีในรุ่นก่อนหน้าที่มาพร้อมแท่นชาร์จและระบบไร้สายสำหรับทาง Razer ครับ แน่นอนว่าในปี 2018 ตัวนี้ได้ทำการออกรุ่นใหม่มาอีกครั้งเป็นการปรับปรุงจากรุ่นเดิมในด้านการใช้งานและเซนเซอร์ กริปแบบใหม่แต่น่าเสียดายที่แอบตัด ไฟทั้ง 2 ข้างออกไปและรวมถึงไม่มีแท่นชาร์จแบบเดิมแล้วครับ แต่การใช้งานนั้นจะเป็นยังไง หรือ ดีขึ้นน่าสนใจขึ้นไหมอันนี้ต้องไปดูกันครับว่าเจ้า Mamba Wireless มีอะไรเด่นๆ
Razer Mamba Wireless นั้นเปิดตัวไปไม่นานครับและเปิดราคาในประเทศไทยที่ 3,890 บาท และหาซื้อกันได้แล้วครับผมตามร้านทั่วไปได้เลยการดีไซน์ออกแบบรุ่นนี้ยังคงคล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดนะครับแต่ปรับเปลี่ยนบางจุดแก้ไขจุดบกพร่องจากรุ่นเดิมด้วยนั้นเองครับ เผื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้นครับ
UNBOX
- Razer Mamba Wireless
- USB dongle สำหรับขยายสัญญาณรับ
- USB Transmitter สำหรับ รับสัญญาณ
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น พร้อม สติกเกอร์
- สาย Micro-usb สำหรับ ชาร์จไฟเข้า
DESIGN
สำหรับการออกแบบตัวดีไซน์นั้นยังคงอิงแบบเดิใในรุ่นก่อนหน้านั้นครับในด้านของรูปทรงตัวเครื่องและขนาดการออกแบบทั้งหมดนั้นเอง แต่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในด้านลักษณะกริปจับ การชาร์จไฟเข้า และ ตัวไฟ Chroma ตัวนี้การออกแบบเน้นใช้งานได้ดีขึ้น อายุแบตยาวนานขึ้นแต่แลกกับที่ไม่มีแถบไฟสวยๆทั้ง 2 ข้างที่หายไปนั้นเอง
ตัวปุ่มอะไรทั้งหมดยังเหมือนรุ่นก่อนหน้าครับเช่นเดียวกับทาง Mamba Elite นั้นเองทั้งผิววัสดุตัวเลื่อนตรงกลาง สามารถทำอกมาได้ค่อนข้างดีรองรับกับการใช้งานไม่หลุดหรือลื่นง่ายๆครับ แต่ไม่สามารถเลื่อนซ้ายขวาได้แบบตัว Elite นั้นเอง ต่อมาในส่วนของตัว สายที่เห็นนั้นเป็นสายที่เสียบเพื่อเพิ่มระยะการรับของสัญญาณไร้สายครับ แน่นอนว่าปกติเราไม่ต้องมีสายอันนี้ แต่ถ้าระยะมันไม่ถึงเราก็ต้องพื่งสายตัวนี้กับหัวต่อของมันด้วย แต่ถ้าไม่ใช้ก็เป็นแค่ USB รับสัญญาณแบบเล็กๆที่ต่อเข้าไปกับDongle ในภาพที่เห็นเสียบอยู่เล็กๆนั้นแหละครับ สามารถถอกออกได้
การออกแบบทั้งซ้ายขวาไม่มีอะไรมากดูผ่านๆนั้นคงคล้ายๆเดิมแต่มีการแอบปรับเปลี่ยนการออกแบบของตัวกริปยางทั้ง 2 ข้างให้เป็นลวดลายแบบใหม่ วัสดุแบบใหม่และรองรับการจับได้ดีขึ้นครับแน่นอนว่าลายแตกต่างกับรุ่นเดิมทั้ง Mamba wireless / Mamba elite แบบชัดเจนครับ แต่ปุ่มด้านข้างนั้นยังคงมีมาให้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
การออกแบบในส่วนด้านหน้าและหลังเป็นรูปทรงที่คุ้นตาครับแต่จะเห็นว่าแถบไฟสวยๆทั้ง 2 ข้างได้หายไปแล้วและมีไฟแค่ตรงโลโก้ กับส่วนเลื่อนตรงกลางเท่านั้นครับเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักๆของการออกแบบเจ้า Mamba wireless 2018 ที่แยกออกจากรุ่นเดิมค่อนข้างชัดเจน แต่ในการจับถนัดมือนั้นยังคงแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ
ด้วยความที่มันเป็นแบบไร้สายตัวเมาส์นั้นต้องมีการชาร์จแบตครับ การชาร์จจะไม่ใช่แท่นวางแบบเดิมแล้วแต่เป็นแบบสายเสียบเข้าไป ซึ่งข้อดีของมันคือเสียบได้ง่ายและตอนชาร์จสามารถใช้งานได้ปกติแบบเมาส์มีสายทั่วไปเลยครับ อายุแบตก็อึดมากกว่าเดิมแบบชัดเจนเลยในการใช้งานจริงๆครับ และชาร์จได้ไวด้วย มาที่ด้านหลังตัวนี้จะมีสวิทเปิดปิดและตัว รับสัญญาณ ที่เราจะเอาตัวนี้ไปเสียบกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานครับผม มีฝาปิดอะไรมาให้เรียบร้อย พร้อมกับเซนเซอร์แบบใหม่ที่รองรับ 16000 DPI หรือ เทคโนโลยี 5G ล่าสุดที่เป็นอีกจุดที่พัฒนามามากขึ้นครับ
SPEC
- Razer 5G Advanced Optical Sensor with true 16,000 DPI
- Up to 450 inches per second (IPS) / 50 G acceleration
- 1000 Hz Ultrapolling
- Seven independently programmable Hyperesponse buttons
- Razer™ Mechanical Mouse Switches with 50 million clicks life cycle
- Gaming-grade tactile scroll wheel
- Ergonomic right-handed design
- Razer Chroma™ lighting with 16.8 million customizable color options
- Hybrid On-Board Memory and Cloud Storage
- Razer Synapse 3 enabled
- Approximate size: 125.7 mm / 4.95 in (Length) X 70.0 mm / 2.75 in (Width) X 43.2 mm / 1.70 in (Height)
- Approximate weight (excluding cable): 106 g / 0.213 lbs
- Cable length: 2.1 m / 6.89 ft
SOFTWARE
ทางด้าน Synapse 3 ก็ใช้งานได้ดีเช่นเคยครับทั้งการปรับ ตั้งค่า ไฟ ตั้งปุ่มอะไรทั้งหมดสามารถเลือกได้หมดเลยครับปุ่มหลักๆ 9 ปุ่มที่มีมาให้ สามารถตั้งค่าได้ครับและ 7 ปุ่มนั่นสามารถตั้งโปรแกรมได้ หน้าแรกก็เป็นการตั้งค่าปกติ
หน้านี้เป็นที่ปรับตั้งค่า DPI เป็นหลัก สามารถเลือกได้ 2-5 ค่าเวลากดปุ่มเปลี่ยนครับ และสามารถตั้งค่าได้ละเอียดกว่าเดิมคือ แกน X DPI เท่าไร และ Y DPI เท่าไรครับ และปรับค่า Polling Rate ได้ระหว่าง 500 กับ 1000
หน้านี่เป็นส่วนของตัวปรับแสงสว่างของตัวไฟ CHROMA สามารถหรี่แสงได้ รวมถึงเวลาพักไว้นานๆ หรือจอคอมดับนั้นจะปิดไฟเมาส์ และไฟสามารถปรับได้ละเอียดกว่าเดิมผ่านทาง CHROMA STUDIO หรือ Quick Effect ก็ได้จะทำให้ปรับง่ายๆคือมี โหมดต่างๆแบบเลือกสีง่าย ไล่สีง่ายๆทั้งหมด 4 โหมดครับ Breath / Reactive /Spectum / Static จะไม่มีไฟแบบ Wave ให้เลือกง่ายๆนะครับเพราะว่ามันไม่มีแถบไฟข้างๆอีกแล้วนั้นเอง
แต่ถ้าใครอยากปรับได้เยอะละเอียดกว่าเดิมก็เข้ามาที่ Chroma Studio เราสามารถปรับได้อิสระ เปลี่ยนสีได้ตามใจชอบเลยครับและตัว Effect เยอะเลยแหละ มีทั้งหมด 8 Effects ให้ใช้งานกันในมุมซ้ายล่างครับ คือ Breathing / Fire / Reactive / Ripple /Spectrum/Starlight /Static / Wave ซึ่งแต่ละโหมดก็ปรับสี ความไว ระยะการเปลี่ยนสีได้ แต่ไฟนั้นปรับได้หลักๆแค่ 2 ส่วนตามภาพครับผม แตกต่างกับตัว Elite ที่ปรับได้ 20 ส่วน
แน่นอนว่าสามารถตั้งมาโครได้ รองรับเกมต่างๆปกติครับเหมือนรุ่นอื่นๆที่ปรับตามเกม และ อีก 1ส่วนที่แตกต่างคือการควบคุมพลังงานครับว่า จะพักในช่วงเวลาไหนยังไงบ้าง และ กี่นาทีที่ไม่ได้ใช้งาน รวมถึงเข้าสู่โหมดประหยัดแบต
FEELING
มาที่ด้านการใช้งานกันบ้างครับเอาเรื่องการใช้งานเวลาเล่นเกม การจับถือกันก่อน แน่นอนว่ามันอิงดีไซน์มาจากเดิมครับทำให้การจับนั้นไม่แตกต่างกันของเดิมเลย แต่รู้สึกว่ากริปยางนั้นจับถนัดมือมากขึ้นครับ ขนาดของรุ่นนี้อยู่ในระดับกลางไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปครับ วัสดุที่รู้สึกต่างก็เป็นผิวสัมผัสโดยรวมและตัวยางที่ทำได้ดีครับเกาะนิ้วได้ดีเลยแหละ และใช้งานตัวปุ่มต่างๆอยู่ในตำแหน่งที่พอดีกับการใช้งานรวมถึงตัว Scroll ก็เป็นจังหวะและใช้งานวัสดุในการจับดีมากๆเลย สำหรับคนมือเล็กหน่อยผู้หญิงใช้เมาส์รุ่นนี้ได้อย่างไม่ติดขัดอะไรไปทางสบายเลยด้วยน้ำหนักที่เบาด้วยรวมถึงการออกแบบรองรับได้ดีครับในจุดนี้ การใช้งานโดยรวมไม่ได้มีอะไรติดขัดครับ มาที่ส่วนในการใช้งานแบบไร้สายนั้น แทบไม่เจอจุดที่ผิดปกติจากแบบสายเลยครับความนิ่ง สัญญาณเวลาเล่นเกมอะไรพวกนี้เหมือนมีสายเสียบตลอดเวลาไม่เจออาการผิดปกติ หลุด หน่วง แลค อะไรแต่อย่างใดครับ และ ตัวแบตนั้นใช้งานได้ยาวนานจริงๆ ชาร์จ 1 ครั้งใช้สบายๆหลายวันได้เลยครับ และถ้าแบตหมดก็เอาสายเสียบชาร์จได้ ใช้ไปชาร์จไปได้เป็นอีก 1 ข้อดีเลยที่สามารถชาร์จไปเล่นไปได้ครับ ตัวปุ่มการกดคลิกน้ำหนักทำได้ดีแบบรุ่นเดิมครับ นิ่ง และตอบสนองได้ดีเหมือนเดิม
MAMBA WIRELESS 2018 VS MAMBA ELITE
อันนี้เป็นส่วนพิเศษนิดนึงแอดมินขอเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ออกมาไม่นานครับสำหรับ Mamba Elite แน่นอนว่าราคาค่อนข้างใกล้ๆกันเลยและออกมาใกล้ๆกันสำหรับทางด้านเทคโนโลยีไม่ต่างกันเลย แต่หลักๆจะเป็นไร้สาย และ ตัวไฟมากกว่าครับ ทั้ง 2 รุ่นนี้ออกมาจุดประสงค์ต่างกันชัดเจน สำหรับทางด้านไร้สายนั้น เน้นใช้งานสะดวก พกพาง่ายแบตอึด และ เน้นใช้งานจริงจังไม่ได้เน้นโชว์อะไรมาก แต่ถ้าทางด้าน Elite นั้นบอกเลยว่า วางไว้กับชุดคอมประกอบมันจะสวยเด่นสุดๆเน้นใช้งานที่บ้าน สวยๆไฟเท่ๆ และเล่นเกมก็ไว้ใจได้คือมีทั้ง 2 ตัว เน้นพกพา กับ อยู่บ้านนั้นเองครับ
เอาจริงๆแอบมินแทบไม่รู้สึกเลยว่าแบบไร้สายกับแบบสายมันต่างกันเพราะใช้ทั้ง 2 ตัวบอกได้เลยว่ามันไม่ต่างเลยถือว่าเทคโนโลยีมันมาไกลมากครับคือสัญญาณมันนิ่งจริงๆนะจากที่ใช้งานจุดนี้ยอมรับเลยครับ แต่ถ้าในการออกแบบไฟสวยๆ หรือพวกดีเทลพวกนี้ แอดมินยังชอบการออกแบบของตัว ELITE มากกว่าทั้ง ตัวไฟทั้ง 2 ข้าง วัสดุด้านหน้าที่เป็นคล้ายๆตระแกรงดำเงา มันดูมีอะไรมากกว่าแบบเรียบๆของทาง Wireless นั้นเองครับ
แต่ในด้านความสะดวกในการใช้งานไร้สายนั้นก็ตอบโจทย์ได้อย่างดี และ กริปก็จับได้ดีมากๆครับมีเส้นสายสวยงาม รวมถึงอายุแบตก็จัดเต็มมากๆ ใช้ได้ 2-4 วันเลยครับแบบเปิดไฟด้วยนะ จะเห็นว่ารุปทรงนั้นไม่ต่างกันเลยครับสำหรับรูปเทียบที่แอดมินนั้นลองนำมาวางคู่กัน แต่เรื่องของไฟและ ตัวลักษณะปุ่ม กริปนั้นจะมีความแตกต่างกันครับ
RAZER MAMBA WIRELESS 2018
“เน้นใช้งานดีขึ้น นิ่งเหมือนไม่ใช่ไร้สาย ! “
เป็นเมาส์ที่ต่อยอดจากรุ่นเดิมในบางจุด แต่ก็แอบตัดจากรุ่นเดิมไปบางอย่าง แต่เค้าคงคิดไว้แล้วเพื่อ อายุแบตที่นานขึ้น การใช้งานที่ต่อเนื่องขึ้นนั้นเองครับ และ ถ้าใครอยากสวยๆก็มีรุ่น Elite มาเติมเต็มในจุดนี้ให้ แล้วรุ่นนี้จะเหมาะกับใครยังไงดี เอาง่ายๆคือคนที่เน้นไร้สาย พกพาไปไหนบ่อยๆ แต่ก็ยังสายเกมเล่นเกมบ่อย ความแม่น นิ่ง ยังคงแบบเดิม แต่ไม่ได้เน้นสวยงามมากนัก รุ่นนี้ตอบโจทย์อย่างมากครับ ทั้งแบตและความนิ่งของสัญญาณ เป็นรุ่นที่ทำออกมาได้ดีกว่าเดิมในแง่การใช้งาน ครับ เป็นรุ่นไร้สายที่น่าเล่นอีก 1 ตัวเลือกได้เลยสำหรับใครที่กำลังหาๆอยู่ครับผม
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้