Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald (David Yates, 2018) คะแนน C+
"ขยายเรื่องราวและทิ้งปมให้ภาคอื่นรับไม้ต่อ" ความน่าสนใจของ 'Fantastic Beasts' คือการพาเราไปรู้จักกับสัตว์มหัศจรรย์ต่างๆมากมายในโลกเวทมนต์ตามชื่อเรื่อง ซึ่งภาคแรกทำได้สนุกสนานชวนน่าตื่นตะลึง และเหมือนจะกระโดดออกไปในทิศทางใหม่ เช่น ปัญหาการเมือง หรือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ หนังทิ้งปมไว้และใช้ภาคสองขยายเรื่องราวออกไป พร้อมทั้งเชื่อมโยงจักรวาลให้เข้าไปรวมในแฮรี่พอตเตอร์ ตัวละครจึงเยอะขึ้น ความสัมพันธ์จึงสลับซับซ้อนขึ้น และด้วยข้อจำกัดของเวลา ทำให้ความสัมพันธ์ที่หนังพยายามเล่าถูกกระชับลง และหนีไม่พ้นด้วยวิธีจับยัดให้ทันเวลาในช่วงกลางเรื่องจนไปถึงท้ายเรื่อง ข้อดีคือ เราเห็นความหลากหลายในตัวละครที่ใหญ่ขึ้น แต่ข้อเสียคือ มันล้นและทำให้รู้สึกน่าเบื่อ พร้อมทั้งไม่มีความไหลลื่น นึกอยากจะตัดฉากไหนก็ตัด นึกอยากจะให้ตัวละครตัวไหนโผล่มาก็มา แก่นเรื่องทั้งหมดของภาคนี้ จึงค่อนข้างแตกแขนงหลายสาขา และไม่รู้ว่าประเด็นไหนสำคัญกว่ากัน หรือจะยึดโยงประเด็นไหนในช่วงขณะที่ดู ทั้งหมด ทำให้เราไม่ค่อยร่วมสนุกไปกับหนังด้วยเนื้อหาสาระ แต่ทำได้เพียงร่วมไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเหตุการณ์ระหว่างสัตว์มหัศจรรย์ที่หนังเลือกใช้ในภาคนี้คือส่วนช่วยให้เราพอที่จะสนุกเพลินๆไปได้บ้าง มากกว่าการสอดแทรก Easter Egg ให้รู้สึกตื้นตันใจ
สิ่งที่เราคาดหวังก่อนเข้าไปดูคืออยากเห็นความคิดของตัวร้ายอย่าง 'กรินเดลวัลด์' ว่าแผนการที่วางไว้คืออะไรกันแน่ตามชื่อตอน ซึ่งก็ผิดหวังอยู่เล็กๆที่หนังเลือกให้เวลากับตัวละครตัวนี้น้อยไปสักหน่อย และมีบทให้พูดยาวๆเสนอความคิดของตัวเองต่อเหล่าพ่อมดแม่มดเลือดบริสุทธิ์ไม่มากนัก ทำให้เรามองภาพไม่ค่อยชัดแจ้งในตัวละครตัวนี้เท่าที่ควร นอกจากนี้วิธีเล่าเรื่องสลับย้อนอดีตตัวละครไปมาซึ่งมีอยู่เยอะ ทำให้เนื้อเรื่องไม่มีความสมดุลและขาดน้ำหนัก รวมไปถึงตรรกะต่างๆที่ตัวละครในเรื่องเลือกกระทำก็ดูจะขัดแย้งกันเอง หรือย้อนแย้งความคิดตัวเองแบบน่างุนงงว่าจะตัดสินใจแบบนั้นไปทำไม หลายสิ่งหลายอย่างไม่เห็นจำเป็นต้องเลือกทางนั้น แต่ก็นั่นแหละ หนังจำเป็นที่จะต้องทิ้งปมเอาไว้เพื่อเดินทางต่อไป และจะทำให้พีคในภาคเดียวก็คนไม่ได้ด้วยความที่เป็นหนังภาคต่อ(ซีรีย์)ขนาดยาว แน่นอนว่า ตัวเนื้องานจริงๆก็ทำให้คนที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับแฮรี่พอตเตอร์เป็นทุนเดิมรู้สึกเบื่อหรือเผลอง่วงไปบ้าง แต่ถ้าใครเป็นแฟนคลับแฮรี่ก็คงจะชอบงานนี้อยู่ไม่น้อยได้เหมือนกัน
ส่วนที่ดีและหนังทำได้ตื่นตาตื่นใจคืองานฉากและงานภาพ เอฟเฟคซีจียังคงจัดเต็มและดูอลังการงานสร้าง โลเคชันที่หนังเลือกใช้ดูใหญ่โตมากขึ้น และประเทศที่หนังเลือกใช้อย่างฝรั่งเศสก็ดูจะมีมนต์ขลังที่ดีต่อพล็อตเรื่องในช่วงยุคสมัยของตัวหนังเอง โดยรวมแล้วงานฉากองค์ประกอบต่างๆก็ยังคงคุ้มค่า นักแสดงต่างๆรับบทกันได้ดีทั้งตัวนำและตัวประกอบ โดยเฉพาะ 'จอห์นนี เดปป์' ในบทของ 'กรินเดลวัลด์' ดูน่าเกรงขามทุกขณะเวลาที่มีบทพูด ส่วน 'จู๊ด ลอว์' ในบท 'อัลบัส ดัมเบิลดอร์' เต็มไปด้วยเสน่ห์และแฝงความอบอุ่นไปด้วยอยู่ตลอดเวลา ตัวละครทั้งสองตัวนี้คงจะเป็นพระเอกหลักในการขับเคลื่อนเรื่องราวในภาคต่อไป ส่วนตัวละครที่น่าจะมีบทบาทในภาคต่อมากที่สุดคงเป็นตัว 'เครเดนส์' ที่ทิ้งปมไว้ใหญ่โตแบบค้างคาใจชนิดโดนวางยากันเลยทีเดียว น่าสนใจก็เพียงแต่บทบาทของ 'นิวท์ สคามันเดอร์' ที่ดูจะเหลือพื้นที่ให้เล่นน้อยลงไปทุกที และเนื้อหาก็เกือบจะหลุดจากคำว่า 'Fantastic Beasts' ไปแล้วเหมือนกัน น่าสนใจว่าภาคต่อๆไปตัวละครที่เป็นตัวเปิดต้นเรื่องจักรวาลนี้จะมีผลกระทบอะไรต่อไปอีกบ้าง
ท้ายสุด Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald ดูจะเป็นเพียงงานที่สร้างมาเพื่อขยายเรื่องราวโดยเฉพาะและถูกข้อจำกัดทางด้านเวลา ทำให้ตัวหนังเองไปไม่สุดและทิ้งข้อความต่างๆให้คนดูในหลากหลายแง่มุม การดำเนินเรื่องที่เนิบช้าและตัดสลับฉากที่ขาดความไหลลื่น เพราะตัวละครที่เยอะและจำเป็นต้องเล่าให้หมดภายในภาคนี้ ก็ดูจะเป็นอะไรที่น่าเห็นใจตัวผู้กำกับ 'เดวิด เยตส์' อยู่พอสมควร ที่ต้องสร้างเรื่องราวให้ไปพร้อมกับบทภาพยนตร์ที่อัดแน่นเบื้องลึกเบื้องหลังตัวละครต่างๆ จนทำให้ไม่สามารถนำเสนอความสนุกสนานสายบันเทิงตามสไตล์ที่ตัวเองถนัดมือนัก ปัญหาทั้งหมดส่วนใหญ่จึงตกไปที่บทภาพยนตร์ของหนัง ที่จนแล้วจนรอด 'เจ. เค. โรว์ลิง' ก็ยังคงพาผู้ชมไปเข้าใกล้ความเป็นแฮรี่พอตเตอร์อยู่ดี ทั้งๆที่ภาคแรกดูจะหลุดกรอบการอยู่ใต้เงาความเป็นแฮรี่พอตเตอร์ไปแล้วก็ตาม...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald (David Yates, 2018) รีวิวโดย Form Corleone
"ขยายเรื่องราวและทิ้งปมให้ภาคอื่นรับไม้ต่อ" ความน่าสนใจของ 'Fantastic Beasts' คือการพาเราไปรู้จักกับสัตว์มหัศจรรย์ต่างๆมากมายในโลกเวทมนต์ตามชื่อเรื่อง ซึ่งภาคแรกทำได้สนุกสนานชวนน่าตื่นตะลึง และเหมือนจะกระโดดออกไปในทิศทางใหม่ เช่น ปัญหาการเมือง หรือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ หนังทิ้งปมไว้และใช้ภาคสองขยายเรื่องราวออกไป พร้อมทั้งเชื่อมโยงจักรวาลให้เข้าไปรวมในแฮรี่พอตเตอร์ ตัวละครจึงเยอะขึ้น ความสัมพันธ์จึงสลับซับซ้อนขึ้น และด้วยข้อจำกัดของเวลา ทำให้ความสัมพันธ์ที่หนังพยายามเล่าถูกกระชับลง และหนีไม่พ้นด้วยวิธีจับยัดให้ทันเวลาในช่วงกลางเรื่องจนไปถึงท้ายเรื่อง ข้อดีคือ เราเห็นความหลากหลายในตัวละครที่ใหญ่ขึ้น แต่ข้อเสียคือ มันล้นและทำให้รู้สึกน่าเบื่อ พร้อมทั้งไม่มีความไหลลื่น นึกอยากจะตัดฉากไหนก็ตัด นึกอยากจะให้ตัวละครตัวไหนโผล่มาก็มา แก่นเรื่องทั้งหมดของภาคนี้ จึงค่อนข้างแตกแขนงหลายสาขา และไม่รู้ว่าประเด็นไหนสำคัญกว่ากัน หรือจะยึดโยงประเด็นไหนในช่วงขณะที่ดู ทั้งหมด ทำให้เราไม่ค่อยร่วมสนุกไปกับหนังด้วยเนื้อหาสาระ แต่ทำได้เพียงร่วมไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเหตุการณ์ระหว่างสัตว์มหัศจรรย์ที่หนังเลือกใช้ในภาคนี้คือส่วนช่วยให้เราพอที่จะสนุกเพลินๆไปได้บ้าง มากกว่าการสอดแทรก Easter Egg ให้รู้สึกตื้นตันใจ
สิ่งที่เราคาดหวังก่อนเข้าไปดูคืออยากเห็นความคิดของตัวร้ายอย่าง 'กรินเดลวัลด์' ว่าแผนการที่วางไว้คืออะไรกันแน่ตามชื่อตอน ซึ่งก็ผิดหวังอยู่เล็กๆที่หนังเลือกให้เวลากับตัวละครตัวนี้น้อยไปสักหน่อย และมีบทให้พูดยาวๆเสนอความคิดของตัวเองต่อเหล่าพ่อมดแม่มดเลือดบริสุทธิ์ไม่มากนัก ทำให้เรามองภาพไม่ค่อยชัดแจ้งในตัวละครตัวนี้เท่าที่ควร นอกจากนี้วิธีเล่าเรื่องสลับย้อนอดีตตัวละครไปมาซึ่งมีอยู่เยอะ ทำให้เนื้อเรื่องไม่มีความสมดุลและขาดน้ำหนัก รวมไปถึงตรรกะต่างๆที่ตัวละครในเรื่องเลือกกระทำก็ดูจะขัดแย้งกันเอง หรือย้อนแย้งความคิดตัวเองแบบน่างุนงงว่าจะตัดสินใจแบบนั้นไปทำไม หลายสิ่งหลายอย่างไม่เห็นจำเป็นต้องเลือกทางนั้น แต่ก็นั่นแหละ หนังจำเป็นที่จะต้องทิ้งปมเอาไว้เพื่อเดินทางต่อไป และจะทำให้พีคในภาคเดียวก็คนไม่ได้ด้วยความที่เป็นหนังภาคต่อ(ซีรีย์)ขนาดยาว แน่นอนว่า ตัวเนื้องานจริงๆก็ทำให้คนที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับแฮรี่พอตเตอร์เป็นทุนเดิมรู้สึกเบื่อหรือเผลอง่วงไปบ้าง แต่ถ้าใครเป็นแฟนคลับแฮรี่ก็คงจะชอบงานนี้อยู่ไม่น้อยได้เหมือนกัน
ส่วนที่ดีและหนังทำได้ตื่นตาตื่นใจคืองานฉากและงานภาพ เอฟเฟคซีจียังคงจัดเต็มและดูอลังการงานสร้าง โลเคชันที่หนังเลือกใช้ดูใหญ่โตมากขึ้น และประเทศที่หนังเลือกใช้อย่างฝรั่งเศสก็ดูจะมีมนต์ขลังที่ดีต่อพล็อตเรื่องในช่วงยุคสมัยของตัวหนังเอง โดยรวมแล้วงานฉากองค์ประกอบต่างๆก็ยังคงคุ้มค่า นักแสดงต่างๆรับบทกันได้ดีทั้งตัวนำและตัวประกอบ โดยเฉพาะ 'จอห์นนี เดปป์' ในบทของ 'กรินเดลวัลด์' ดูน่าเกรงขามทุกขณะเวลาที่มีบทพูด ส่วน 'จู๊ด ลอว์' ในบท 'อัลบัส ดัมเบิลดอร์' เต็มไปด้วยเสน่ห์และแฝงความอบอุ่นไปด้วยอยู่ตลอดเวลา ตัวละครทั้งสองตัวนี้คงจะเป็นพระเอกหลักในการขับเคลื่อนเรื่องราวในภาคต่อไป ส่วนตัวละครที่น่าจะมีบทบาทในภาคต่อมากที่สุดคงเป็นตัว 'เครเดนส์' ที่ทิ้งปมไว้ใหญ่โตแบบค้างคาใจชนิดโดนวางยากันเลยทีเดียว น่าสนใจก็เพียงแต่บทบาทของ 'นิวท์ สคามันเดอร์' ที่ดูจะเหลือพื้นที่ให้เล่นน้อยลงไปทุกที และเนื้อหาก็เกือบจะหลุดจากคำว่า 'Fantastic Beasts' ไปแล้วเหมือนกัน น่าสนใจว่าภาคต่อๆไปตัวละครที่เป็นตัวเปิดต้นเรื่องจักรวาลนี้จะมีผลกระทบอะไรต่อไปอีกบ้าง
ท้ายสุด Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald ดูจะเป็นเพียงงานที่สร้างมาเพื่อขยายเรื่องราวโดยเฉพาะและถูกข้อจำกัดทางด้านเวลา ทำให้ตัวหนังเองไปไม่สุดและทิ้งข้อความต่างๆให้คนดูในหลากหลายแง่มุม การดำเนินเรื่องที่เนิบช้าและตัดสลับฉากที่ขาดความไหลลื่น เพราะตัวละครที่เยอะและจำเป็นต้องเล่าให้หมดภายในภาคนี้ ก็ดูจะเป็นอะไรที่น่าเห็นใจตัวผู้กำกับ 'เดวิด เยตส์' อยู่พอสมควร ที่ต้องสร้างเรื่องราวให้ไปพร้อมกับบทภาพยนตร์ที่อัดแน่นเบื้องลึกเบื้องหลังตัวละครต่างๆ จนทำให้ไม่สามารถนำเสนอความสนุกสนานสายบันเทิงตามสไตล์ที่ตัวเองถนัดมือนัก ปัญหาทั้งหมดส่วนใหญ่จึงตกไปที่บทภาพยนตร์ของหนัง ที่จนแล้วจนรอด 'เจ. เค. โรว์ลิง' ก็ยังคงพาผู้ชมไปเข้าใกล้ความเป็นแฮรี่พอตเตอร์อยู่ดี ทั้งๆที่ภาคแรกดูจะหลุดกรอบการอยู่ใต้เงาความเป็นแฮรี่พอตเตอร์ไปแล้วก็ตาม...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/