Coldplay : A Head Full of Dreams เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวงตลอด 20 ปี โดย แมท ไวท์ครอส ผู้กำกับเจ้าของผลงาน Oasis: Supersonic น่าเสียดายที่โคลด์เพลย์ตัดสินใจให้ฉายแค่วันเดียวทั่วโลกคือ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จำนวนผู้ชมจึงค่อนข้างจำกัด แน่นอนว่าต้องจองตั๋วล่วงหน้า และผมยอมแหงนหน้าดูจอแถวแรกของโรงหนังในรอบหลายปี เพราะเข้ามาจองเกือบไม่ทัน โชคดีที่ได้โปสเตอร์หนังเป็นที่ระลึกด้วย แอบเซ็งนิดนึงที่ต่อมาหลังจากรอบ 1 ทุ่มเต็มทุกที่ทั่วประเทศ มีเปิดรอบสามทุ่มครึ่งเพิ่ม
กลับมาที่หนัง A Head Full of Dreams มีความพิเศษหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การเป็นวงดนตรีไม่กี่วงที่มีคนตามถ่ายฟุตเทจตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งวง เพราะ คริส มาร์ติน นักร้องนำเป็นเพื่อนกับ แมท ไวท์ครอส ตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย University College of London ด้วยกัน ซึ่งความที่ แมท ถ่ายทุกอย่างมากับมือ A Head Full of Dreams จึงสื่อความเป็นวงดนตรีออกมาได้ดีกว่า Supersonic ที่เป็นการนำฟุตเทจเก่าๆของคนนั้นคนนี้มายำรวมกัน
หนังเล่าเรื่องราวการผจญภัยของ Coldplay ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ คริส ชวน จอนนี่ บัคแลนด์ มือกีตาร์ขี้อายทำวงด้วยกันในหอพักนักศึกษา ตามมาการร่วมวงของ กาย เบอร์รี่แมน มือเบสผู้เงียบขรึม และ การตกกระไดพลอยโจนของ วิล แชมเปี้ยน มือกีตาร์เจ้าของฉายาตู้เพลงเคลื่อนที่ ซึ่งต้องมาหัดตีกลองเพราะมือกลองที่ติดต่อไว้ไม่มาตามนัด ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นโชว์ครั้งแรกในคลับ ด้วยชื่อวงเห่ยๆอย่าง สตาร์ฟิช ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็น โคลด์เพลย์ เนื่องจากวงของเพื่อนๆในหอไม่ใช้ชื่อนี้แล้ว แน่นอนว่าตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ชื่อวงนี้ไปตลอด ทว่าก็ไม่เคยได้เปลี่ยนมันอีกเลย
A Head Full of Dreams น่าจะทำให้แฟนคลับของวงชื่นชอบอัลบั้มนี้มากขึ้น หนังเน้นถ่ายทอดมิตรภาพอันยาวนานและแน่นแฟ้นของคนในวง ที่อาจเปรียบได้กับเรื่องดาร์ตาญังและสามทหารเสือ คริส คือ ดาร์ตาญัง ทหารหนุ่มรูปงามที่อยู่แถวหน้า รายล้อมด้วย อาโตร์ ปอร์โต อารามิสสามทหารเสือที่มีฝีมือด้านดนตรีอย่าง จอนนี่, วิล และ กาย วงของพวกเขาไม่ต่างจากวงอื่นคือ ฟรอนท์แมน โด่งดังมีชื่อเสียงที่สุด กระนั้น หนังก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ Coldplay เป็นไม่กี่แบนด์ในโลกที่ให้ความสำคัญกับทุกคนในวงเท่าเทียมกัน มีความเป็นทีม ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงพอกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หลายๆเพลงพวกเขาร้องประสานกันอย่างลงตัว ซึ่งต่างกับ Oasis ที่มีสองพี่น้องตระกูลกัลลาเกอร์เป็นแกนหลัก แย่งกันร้องนำในบางเพลง
จะว่าไปถ้าเปรียบ Oasis: Supersonic คือด้านมืด Coldplay : A Head Full of Dreams ก็เป็นด้านสว่าง สองเรื่องนี้ค่อนข้างต่างกันสุดขั้ว Supersonic เผยให้เห็นความขัดแย้งของคนในวงและสองพี่น้อง ขณะที่ A Head Full of Dreams นำเสนอความรักไคร่กลมเกลียวของคนในวงที่ขยับจากเพื่อนจนกลายเป็น ครอบครัว
บทสัมภาษณ์ของ โนล กับ เลียม เต็มไปด้วยความกร่าง อหังการ หยาบคาย แต่บทสัมภาษณ์ของ คริส เต็มไปด้วยความมั่นใจ ขี้เล่น จริงจัง รวมถึงบทสัมภาษณ์เพื่อนในวง และ ฟิลล์ ผู้จัดการวงคนแรก เพื่อนสนิทของ คริส ที่เขายกให้เป็นสมาชิกคนที่ 5 ล้วนเต็มไปด้วยความถ่อมตัว
โอเอซิส มีการไล่เพื่อนในวงออก การลาออก เปลี่ยนตัวสมาชิกครั้งแล้วครั้งเล่า จนวงแตก ในทางกลับกัน โคลด์เพลย์ ไม่เคยเปลี่ยนสมาชิกในวงเลย มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดแค่เกือบเปลี่ยนตัวมือกลอง ซึ่งพวกเขาก็คิดได้หลังจากเปิดออดิชั่นมือกลองคนใหม่ไม่นาน คริส กับเพื่อนๆก็ไปตามง้อ วิล กลับมาเป็นกระดูกสันหลังหรือฐานที่แข็งแรงของวงอีกครั้ง คริส ยืนยันว่า มือกลอง สำคัญมากกับวงดนตรี มักเป็นตำแหน่งแพะรับบาปในห้องอัด รวมถึงพูดว่า หากเขาไล่ วิล ออกจากวงไปถาวร Coldplay อาจพบจุดเปลี่ยนถึงขั้นล่มสลายเลยทีเดียว จุดนี้แสดงให้เห็นพวกเขาเป็นวงที่มีความสามัคคีมากๆ ช่างต่างจาก ป๋าโนล ที่ชี้นิ้วไล่ โทนี แม็คคารอล มือกลองคนแรกออกจากวงโอเอซิสอย่างง่ายดาย ไร้เยื่อใย แต่ในสารคดี สองวงมีฉากคล้ายๆกันคือการบุกตลาดอเมริกา ซึ่งทั้ง Oasis และ Coldplay เจอประสบการณ์ที่เลวร้ายไม่ต่างกัน
ความสุดยอดของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากคนดูจะได้เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศ World Tour ครั้งล่าสุดของวง (คนไทยที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตน่าจะอินไม่แพ้ชาติไหน เพราะมีฉากในกรุงเทพฯเยอะมากๆ) ตัดสลับกับฟุตเทจเก่า-ใหม่ หายาก เล่าที่มาของแต่ละเพลง ได้สัมผัสกับนิสัยใจคอแท้ๆของคนในวง ได้ฟังดราฟ์แรกที่น่าทึ่งของหลายเพลง ได้รู้จักคนเบื้องหลังอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับวง ได้เห็นคลิปลับการปรากฏตัวของเซเลปในวงการเพลงและวงการบินเทิงที่มาช่วยวงทำเพลง อย่าง บียอนเซ่ , กวินเน็ธ พัลโทรว์ และ โนล กัลลาเกอร์ เป็นต้น
Supersonic ถูกถ่ายทอดออกมาในแง่ของวงดนตรีที่มีพรสวรรค์ การรวมตัวกันของเด็กเหลือขอในชนบทของอังกฤษ ฐานะค่อนข้างยากจน แต่ Coldplay ถูกถ่ายทอดออกมาในแง่ของวงดนตรีที่มีความมุ่งมั่น หนุ่มมหาลัยหล่อเหลา การศึกษาดี บ้านค่อนข้างรวย รวมตัวกันในเมืองหลวงของอังกฤษตั้งวงดนตรีตามล่าความฝัน ในพาร์ทของการดิ้นรน บ้าบิ่น ห่ามๆแมนๆ Oasis อาจได้ใจคนดูมากกว่า ทว่า Coldplay ก็น่าชื่นชมในแง่ของความตั้งใจที่จะเป็นศิลปิน ด้วยการทิ้งอนาคตของตัวเอง วางเดิมพันกับสิ่งที่พวกเขารัก และทำมันได้สำเร็จ
คริส เป็นผู้สร้างแรงบันดาลได้อย่างยอดเยี่ยม คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยแนวคิดดีๆมากมาย เช่นเดียวกับเนื้อเพลงของเขา อีกอย่างคือ คริส เป็นคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร แล้วมุ่งไปจนสุดทาง ชอบที่ผู้กำกับเคยสัมภาษณ์เขาไว้ในอดีต แทบทุกประโยคอาจดูเหมือนเป็นคำโม้ โอ้อวด แต่อีกไม่กี่ปีถัดมามันเกิดขึ้นจริงๆทุกถ้อยคำ ราวกับ แมท ไวท์ครอส ผู้กำกับมองเห็นอนาคตว่า ไอ้แก๊งนี้ดังแน่ ชอบที่มีการนำหนัง Back to the Future มาเชื่อมโยง เพราะตลอดการรับชม ให้ความรู้สึกเหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนไปย้อนมาจริงๆ
พาร์ทหม่นๆของหนัง มีช่วงที่ วิล เสียแม่กับ ตอนที่ คริส ต้องต่อสู้กับคำวิจารณ์ของสื่อ คำถากถางของคนในวงการ (Alan McGee ผู้ก่อตั้งค่าย Creation records บอกว่าเพลงของพวกเขา เหมือนเพลงฉี่รดที่นอน , เลียม กัลลาเกอร์ พูดว่า Coldplay ไม่ใช่ร็อกแอนด์โรลล์) ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ออกมาตอบโต้อะไร (มีแขวะคืนบ้างตอนเมาๆ) เพียงแต่แสดงฝีมือให้เห็น ด้วยยอดขายแผ่นที่ถล่มทลาย ทัวร์เกือบ 1 ร้อยครั้งต่อปี เพลงกับอัลบั้มใหม่ที่มีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนที่วิจารณ์พวกเขาแทบไม่มีผลงานในวงการเพลงแล้ว แรกทีเดียว คริส นอยกับคำวิจารณ์มาก แต่สุดท้ายเขาก็คิดได้ว่า จะแคร์คนที่ไม่ชอบเขาทำไม ในเมื่อยังมีคนอีกมากมายที่ชอบพวกเขา เขาไม่สามารถทำให้คนทุกคนชอบได้อยู่แล้ว ชุดความคิดนี้ปลดปล่อยเขาจากความทุกข์
คริส มาเสียศูนย์ในชีวิตอีกครั้งเมื่อเลิกรากับ กวินเน็ธ ครั้งนี้น่าจะหนักหน่วงที่สุด แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนๆในวงที่เข้ามาประคับประคองดูแล รวมถึงเยียวยาด้วยการร่วมกันสร้างสรรค์เพลงดีๆออกมา หลายๆซีนในหนังทำให้แฟนๆของวงนํ้าตาคลอหน่วย บางคนถึงขั้นเสียนํ้าตา ซาบซึ้งกับเรื่องราวของวง และหลังจากดูหนังจบ ความหมายในเนื้อเพลงต่างๆของ Coldplay ที่คุณเคยฟังอาจจะเปลี่ยนแปลงไป (ในทางที่ดี) รวมถึงคุณจะรักพวกเขา 4 คนมากขึ้นด้วย
Coldplay กับประวัติศาสตร์ 20 ปีของพวกเขายิ่งใหญ่ น่าประทับใจมาก รวมถึงมีความสนุกสนาน มีมุขตลกแทรกอยู่เป็นระยะ จากอารมณ์ขันของคนในวง (คนที่ไม่ใช่แฟนเพลงอาจจะมีงงๆ เบื่อๆบ้าง ในบางฉาก) พวกเขาไม่ใช่วงดนตรีธรรมดา Coldplay ถือกำเนิดในช่วงปลายๆของเทปคาสเซ็ท เติบโตในสมัยที่การได้ลงนิยตสาร เล่นสดในวิทยุ และการออกทีวีมีความหมายกับชีวิต ก่อนจะผ่านยุคซีดี เข้าสู่ยุค MP3 มาจนถึงยุคที่ผู้คนไม่ซื้อแผ่นเพลง ไม่สนใจขอลายเซ็นต์ เก็บสะสมสิ่งของศิลปินน้อยลง เปลี่ยนมาฟังเพลงผ่านโลกออนไลน์ Coldplay ผ่านร้อนผ่านหนาวจากวงเด็กกะโปโลในวงการบริตป็อป สู่การเป็นขาใหญ่ พวกเขาเป็นไม่กี่วงในโลกที่ยืนหยัดอยู่ได้ ยังคงมีแผ่น EP แผ่นรวมอัลบั้มวางขาย ของที่ระลึกหมดเกลี้ยงทุกครั้งที่ขาย รวมถึงมีแผ่นเสียงให้สะสมอยู่
สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ได้ ก็คือความรักที่มีต่อเสียงเพลง ไฟในใจที่ลุกโชน กระหายการทำเพลงตลอดเวลา (หนังส่งพลังบวกให้คนดูมีความรู้สึกอยากลุกขึ้นมาตามความฝันบ้าง) ชื่อของ Coldplay จึงไม่เคยหายไปจากโลกของเสียงเพลงเลย แม้จะมีคนบอกว่าพวกเขาเลยจุดพีคมาแล้ว อัลบั้มใหม่ๆเริ่มดร็อป เพลงฮิตน้อยลง แต่พวกเขาก็ยังก้มหน้าก้มตา พยายามปรับตัว เรียนรู้แนวเพลงใหม่ๆ เพื่อสร้างผลงานออกมาเรื่อยๆต่อไป แถมยังเปิดกว้างที่จะร่วมงานกับทุกคน แม้กระทั่งคนที่เคยพูดจาไม่ดีกับพวกเขา เมื่อปีที่แล้ว Top 20 Rock Acts Globally ของ Spotify เพิ่งจัดอันดับให้ Coldplay เป็นสุดยอดวงร็อกเบอร์ 1 ของโลก ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะหลายคนยกให้พวกเขาคือวงดนตรีที่ดีที่สุดวงหนึ่งในยุคสมัยมาตั้งนานแล้ว
คะแนน 8/10
โดย นกไซเบอร์
https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
ปล.1 ซับไตเติ้ลในหนังดีงามมาก แปลเนื้อเพลงของ Coldplay ออกมาได้ลื่นไหล คมคายสุดๆ
ปล.2 ส่วนตัวเป็นแฟนพันธ์แท้วง Oasis แต่ก็ชอบและติดตาม Coldplay เช่นกัน
ปล.3 เพลง in my place ช่วงเอนเครดิตตรึงคนดูให้นั่งต่อได้สบาย ส่วนบทสัมภาษณ์พิเศษ แมท ไวท์ครอส ในตอนท้ายก็เติมเต็มอะไรหลายอย่าง ให้คนดูเข้าใจหนัง และทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น
รีวิว A Head Full of Dreams การผจญภัยของทหารเสือในโลกดนตรี
Coldplay : A Head Full of Dreams เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวงตลอด 20 ปี โดย แมท ไวท์ครอส ผู้กำกับเจ้าของผลงาน Oasis: Supersonic น่าเสียดายที่โคลด์เพลย์ตัดสินใจให้ฉายแค่วันเดียวทั่วโลกคือ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จำนวนผู้ชมจึงค่อนข้างจำกัด แน่นอนว่าต้องจองตั๋วล่วงหน้า และผมยอมแหงนหน้าดูจอแถวแรกของโรงหนังในรอบหลายปี เพราะเข้ามาจองเกือบไม่ทัน โชคดีที่ได้โปสเตอร์หนังเป็นที่ระลึกด้วย แอบเซ็งนิดนึงที่ต่อมาหลังจากรอบ 1 ทุ่มเต็มทุกที่ทั่วประเทศ มีเปิดรอบสามทุ่มครึ่งเพิ่ม
กลับมาที่หนัง A Head Full of Dreams มีความพิเศษหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การเป็นวงดนตรีไม่กี่วงที่มีคนตามถ่ายฟุตเทจตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งวง เพราะ คริส มาร์ติน นักร้องนำเป็นเพื่อนกับ แมท ไวท์ครอส ตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย University College of London ด้วยกัน ซึ่งความที่ แมท ถ่ายทุกอย่างมากับมือ A Head Full of Dreams จึงสื่อความเป็นวงดนตรีออกมาได้ดีกว่า Supersonic ที่เป็นการนำฟุตเทจเก่าๆของคนนั้นคนนี้มายำรวมกัน
หนังเล่าเรื่องราวการผจญภัยของ Coldplay ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ คริส ชวน จอนนี่ บัคแลนด์ มือกีตาร์ขี้อายทำวงด้วยกันในหอพักนักศึกษา ตามมาการร่วมวงของ กาย เบอร์รี่แมน มือเบสผู้เงียบขรึม และ การตกกระไดพลอยโจนของ วิล แชมเปี้ยน มือกีตาร์เจ้าของฉายาตู้เพลงเคลื่อนที่ ซึ่งต้องมาหัดตีกลองเพราะมือกลองที่ติดต่อไว้ไม่มาตามนัด ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นโชว์ครั้งแรกในคลับ ด้วยชื่อวงเห่ยๆอย่าง สตาร์ฟิช ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็น โคลด์เพลย์ เนื่องจากวงของเพื่อนๆในหอไม่ใช้ชื่อนี้แล้ว แน่นอนว่าตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ชื่อวงนี้ไปตลอด ทว่าก็ไม่เคยได้เปลี่ยนมันอีกเลย
A Head Full of Dreams น่าจะทำให้แฟนคลับของวงชื่นชอบอัลบั้มนี้มากขึ้น หนังเน้นถ่ายทอดมิตรภาพอันยาวนานและแน่นแฟ้นของคนในวง ที่อาจเปรียบได้กับเรื่องดาร์ตาญังและสามทหารเสือ คริส คือ ดาร์ตาญัง ทหารหนุ่มรูปงามที่อยู่แถวหน้า รายล้อมด้วย อาโตร์ ปอร์โต อารามิสสามทหารเสือที่มีฝีมือด้านดนตรีอย่าง จอนนี่, วิล และ กาย วงของพวกเขาไม่ต่างจากวงอื่นคือ ฟรอนท์แมน โด่งดังมีชื่อเสียงที่สุด กระนั้น หนังก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ Coldplay เป็นไม่กี่แบนด์ในโลกที่ให้ความสำคัญกับทุกคนในวงเท่าเทียมกัน มีความเป็นทีม ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงพอกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หลายๆเพลงพวกเขาร้องประสานกันอย่างลงตัว ซึ่งต่างกับ Oasis ที่มีสองพี่น้องตระกูลกัลลาเกอร์เป็นแกนหลัก แย่งกันร้องนำในบางเพลง
จะว่าไปถ้าเปรียบ Oasis: Supersonic คือด้านมืด Coldplay : A Head Full of Dreams ก็เป็นด้านสว่าง สองเรื่องนี้ค่อนข้างต่างกันสุดขั้ว Supersonic เผยให้เห็นความขัดแย้งของคนในวงและสองพี่น้อง ขณะที่ A Head Full of Dreams นำเสนอความรักไคร่กลมเกลียวของคนในวงที่ขยับจากเพื่อนจนกลายเป็น ครอบครัว
บทสัมภาษณ์ของ โนล กับ เลียม เต็มไปด้วยความกร่าง อหังการ หยาบคาย แต่บทสัมภาษณ์ของ คริส เต็มไปด้วยความมั่นใจ ขี้เล่น จริงจัง รวมถึงบทสัมภาษณ์เพื่อนในวง และ ฟิลล์ ผู้จัดการวงคนแรก เพื่อนสนิทของ คริส ที่เขายกให้เป็นสมาชิกคนที่ 5 ล้วนเต็มไปด้วยความถ่อมตัว
โอเอซิส มีการไล่เพื่อนในวงออก การลาออก เปลี่ยนตัวสมาชิกครั้งแล้วครั้งเล่า จนวงแตก ในทางกลับกัน โคลด์เพลย์ ไม่เคยเปลี่ยนสมาชิกในวงเลย มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดแค่เกือบเปลี่ยนตัวมือกลอง ซึ่งพวกเขาก็คิดได้หลังจากเปิดออดิชั่นมือกลองคนใหม่ไม่นาน คริส กับเพื่อนๆก็ไปตามง้อ วิล กลับมาเป็นกระดูกสันหลังหรือฐานที่แข็งแรงของวงอีกครั้ง คริส ยืนยันว่า มือกลอง สำคัญมากกับวงดนตรี มักเป็นตำแหน่งแพะรับบาปในห้องอัด รวมถึงพูดว่า หากเขาไล่ วิล ออกจากวงไปถาวร Coldplay อาจพบจุดเปลี่ยนถึงขั้นล่มสลายเลยทีเดียว จุดนี้แสดงให้เห็นพวกเขาเป็นวงที่มีความสามัคคีมากๆ ช่างต่างจาก ป๋าโนล ที่ชี้นิ้วไล่ โทนี แม็คคารอล มือกลองคนแรกออกจากวงโอเอซิสอย่างง่ายดาย ไร้เยื่อใย แต่ในสารคดี สองวงมีฉากคล้ายๆกันคือการบุกตลาดอเมริกา ซึ่งทั้ง Oasis และ Coldplay เจอประสบการณ์ที่เลวร้ายไม่ต่างกัน
ความสุดยอดของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากคนดูจะได้เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศ World Tour ครั้งล่าสุดของวง (คนไทยที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตน่าจะอินไม่แพ้ชาติไหน เพราะมีฉากในกรุงเทพฯเยอะมากๆ) ตัดสลับกับฟุตเทจเก่า-ใหม่ หายาก เล่าที่มาของแต่ละเพลง ได้สัมผัสกับนิสัยใจคอแท้ๆของคนในวง ได้ฟังดราฟ์แรกที่น่าทึ่งของหลายเพลง ได้รู้จักคนเบื้องหลังอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับวง ได้เห็นคลิปลับการปรากฏตัวของเซเลปในวงการเพลงและวงการบินเทิงที่มาช่วยวงทำเพลง อย่าง บียอนเซ่ , กวินเน็ธ พัลโทรว์ และ โนล กัลลาเกอร์ เป็นต้น
Supersonic ถูกถ่ายทอดออกมาในแง่ของวงดนตรีที่มีพรสวรรค์ การรวมตัวกันของเด็กเหลือขอในชนบทของอังกฤษ ฐานะค่อนข้างยากจน แต่ Coldplay ถูกถ่ายทอดออกมาในแง่ของวงดนตรีที่มีความมุ่งมั่น หนุ่มมหาลัยหล่อเหลา การศึกษาดี บ้านค่อนข้างรวย รวมตัวกันในเมืองหลวงของอังกฤษตั้งวงดนตรีตามล่าความฝัน ในพาร์ทของการดิ้นรน บ้าบิ่น ห่ามๆแมนๆ Oasis อาจได้ใจคนดูมากกว่า ทว่า Coldplay ก็น่าชื่นชมในแง่ของความตั้งใจที่จะเป็นศิลปิน ด้วยการทิ้งอนาคตของตัวเอง วางเดิมพันกับสิ่งที่พวกเขารัก และทำมันได้สำเร็จ
คริส เป็นผู้สร้างแรงบันดาลได้อย่างยอดเยี่ยม คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยแนวคิดดีๆมากมาย เช่นเดียวกับเนื้อเพลงของเขา อีกอย่างคือ คริส เป็นคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร แล้วมุ่งไปจนสุดทาง ชอบที่ผู้กำกับเคยสัมภาษณ์เขาไว้ในอดีต แทบทุกประโยคอาจดูเหมือนเป็นคำโม้ โอ้อวด แต่อีกไม่กี่ปีถัดมามันเกิดขึ้นจริงๆทุกถ้อยคำ ราวกับ แมท ไวท์ครอส ผู้กำกับมองเห็นอนาคตว่า ไอ้แก๊งนี้ดังแน่ ชอบที่มีการนำหนัง Back to the Future มาเชื่อมโยง เพราะตลอดการรับชม ให้ความรู้สึกเหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนไปย้อนมาจริงๆ
พาร์ทหม่นๆของหนัง มีช่วงที่ วิล เสียแม่กับ ตอนที่ คริส ต้องต่อสู้กับคำวิจารณ์ของสื่อ คำถากถางของคนในวงการ (Alan McGee ผู้ก่อตั้งค่าย Creation records บอกว่าเพลงของพวกเขา เหมือนเพลงฉี่รดที่นอน , เลียม กัลลาเกอร์ พูดว่า Coldplay ไม่ใช่ร็อกแอนด์โรลล์) ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ออกมาตอบโต้อะไร (มีแขวะคืนบ้างตอนเมาๆ) เพียงแต่แสดงฝีมือให้เห็น ด้วยยอดขายแผ่นที่ถล่มทลาย ทัวร์เกือบ 1 ร้อยครั้งต่อปี เพลงกับอัลบั้มใหม่ที่มีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนที่วิจารณ์พวกเขาแทบไม่มีผลงานในวงการเพลงแล้ว แรกทีเดียว คริส นอยกับคำวิจารณ์มาก แต่สุดท้ายเขาก็คิดได้ว่า จะแคร์คนที่ไม่ชอบเขาทำไม ในเมื่อยังมีคนอีกมากมายที่ชอบพวกเขา เขาไม่สามารถทำให้คนทุกคนชอบได้อยู่แล้ว ชุดความคิดนี้ปลดปล่อยเขาจากความทุกข์
คริส มาเสียศูนย์ในชีวิตอีกครั้งเมื่อเลิกรากับ กวินเน็ธ ครั้งนี้น่าจะหนักหน่วงที่สุด แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนๆในวงที่เข้ามาประคับประคองดูแล รวมถึงเยียวยาด้วยการร่วมกันสร้างสรรค์เพลงดีๆออกมา หลายๆซีนในหนังทำให้แฟนๆของวงนํ้าตาคลอหน่วย บางคนถึงขั้นเสียนํ้าตา ซาบซึ้งกับเรื่องราวของวง และหลังจากดูหนังจบ ความหมายในเนื้อเพลงต่างๆของ Coldplay ที่คุณเคยฟังอาจจะเปลี่ยนแปลงไป (ในทางที่ดี) รวมถึงคุณจะรักพวกเขา 4 คนมากขึ้นด้วย
Coldplay กับประวัติศาสตร์ 20 ปีของพวกเขายิ่งใหญ่ น่าประทับใจมาก รวมถึงมีความสนุกสนาน มีมุขตลกแทรกอยู่เป็นระยะ จากอารมณ์ขันของคนในวง (คนที่ไม่ใช่แฟนเพลงอาจจะมีงงๆ เบื่อๆบ้าง ในบางฉาก) พวกเขาไม่ใช่วงดนตรีธรรมดา Coldplay ถือกำเนิดในช่วงปลายๆของเทปคาสเซ็ท เติบโตในสมัยที่การได้ลงนิยตสาร เล่นสดในวิทยุ และการออกทีวีมีความหมายกับชีวิต ก่อนจะผ่านยุคซีดี เข้าสู่ยุค MP3 มาจนถึงยุคที่ผู้คนไม่ซื้อแผ่นเพลง ไม่สนใจขอลายเซ็นต์ เก็บสะสมสิ่งของศิลปินน้อยลง เปลี่ยนมาฟังเพลงผ่านโลกออนไลน์ Coldplay ผ่านร้อนผ่านหนาวจากวงเด็กกะโปโลในวงการบริตป็อป สู่การเป็นขาใหญ่ พวกเขาเป็นไม่กี่วงในโลกที่ยืนหยัดอยู่ได้ ยังคงมีแผ่น EP แผ่นรวมอัลบั้มวางขาย ของที่ระลึกหมดเกลี้ยงทุกครั้งที่ขาย รวมถึงมีแผ่นเสียงให้สะสมอยู่
สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ได้ ก็คือความรักที่มีต่อเสียงเพลง ไฟในใจที่ลุกโชน กระหายการทำเพลงตลอดเวลา (หนังส่งพลังบวกให้คนดูมีความรู้สึกอยากลุกขึ้นมาตามความฝันบ้าง) ชื่อของ Coldplay จึงไม่เคยหายไปจากโลกของเสียงเพลงเลย แม้จะมีคนบอกว่าพวกเขาเลยจุดพีคมาแล้ว อัลบั้มใหม่ๆเริ่มดร็อป เพลงฮิตน้อยลง แต่พวกเขาก็ยังก้มหน้าก้มตา พยายามปรับตัว เรียนรู้แนวเพลงใหม่ๆ เพื่อสร้างผลงานออกมาเรื่อยๆต่อไป แถมยังเปิดกว้างที่จะร่วมงานกับทุกคน แม้กระทั่งคนที่เคยพูดจาไม่ดีกับพวกเขา เมื่อปีที่แล้ว Top 20 Rock Acts Globally ของ Spotify เพิ่งจัดอันดับให้ Coldplay เป็นสุดยอดวงร็อกเบอร์ 1 ของโลก ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะหลายคนยกให้พวกเขาคือวงดนตรีที่ดีที่สุดวงหนึ่งในยุคสมัยมาตั้งนานแล้ว
คะแนน 8/10
โดย นกไซเบอร์ https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
ปล.1 ซับไตเติ้ลในหนังดีงามมาก แปลเนื้อเพลงของ Coldplay ออกมาได้ลื่นไหล คมคายสุดๆ
ปล.2 ส่วนตัวเป็นแฟนพันธ์แท้วง Oasis แต่ก็ชอบและติดตาม Coldplay เช่นกัน
ปล.3 เพลง in my place ช่วงเอนเครดิตตรึงคนดูให้นั่งต่อได้สบาย ส่วนบทสัมภาษณ์พิเศษ แมท ไวท์ครอส ในตอนท้ายก็เติมเต็มอะไรหลายอย่าง ให้คนดูเข้าใจหนัง และทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น