สำหรับคอหนังจีนคงไม่พลาดชื่อของผู้กำกับคนดังระดับตำนานของจีนอย่าง “จางอี้โหมว” อย่างแน่นอน ได้ไปชมมาแล้วที่ SF Cinema World เสียงในฟิล์มได้อรรถรสมาก สมกับที่ท่านผู้กำกับทุ่มเทเขียนบทสามปีและถ่ายทำอีกสองปี หนังเรื่องนี้เป็นหนังจีนกำลังภายในดราม่า นำแสดงโดยดาราชั้นนำ อาทิเช่น เติ่งเชา ซุนลี่ กวนเสี่ยวถง อู๋เหล่ย เฉิงไค หูจุน ฯลฯ
จอมคนกระบี่เงาเป็นเรื่องราวในช่วงยุคมืดของสามก๊ก สะท้อนชีวิตของ “เงา” ซึ่งเป็นตัวตายตัวแทนคอยทำภารกิจให้ตัวจริงมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ไม่อาจเป็นที่เปิดเผยและจะต้องเก็บเป็นความลับ “เงาจักต้องเคลื่อนไหวในความมืดมิดและเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าของเงา” ตัวละครแต่ละตัวล้วนมีมิติของตนเอง อีกทั้งนักแสดงแต่ละท่านก็มีความสามารถในการถ่ายทอดตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี ผู้ที่รับบทหนักของเรื่อง คือ เติ่งเชา เพราะเขาต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครสองตัว นั่นคือ ขุนพลซืออวี่และจิ่นโจวซึ่งเป็นเงาของท่านขุนพล นอกจากนี้ซุนลี่ภรรยาของเขาร่วมแสดงด้วย โดยรับบทเป็นเซียวอ้าย ภรรยาของขุนพลซืออวี่นั่นเองค่ะ
เรื่องย่อ จิ่นโจวถูกกักขังเลี้ยงอยู่ในคุกใต้ดินตั้งแต่แปดขวบ เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนให้กับท่านขุนพลซืออวี่ มีฮ่องเต้แห่งแคว้นเพ่ยผู้นำที่ไม่เอาถ่านแต่ห้วงความคิดกลับซับซ้อน มีเพียงเซียวอ้ายที่รู้ความลับและต้องคอยปกปิด “จิ่นโจว” ที่เป็นเงาของท่านขุนพล ขุนพลซืออวี่ปรารถนาให้จิ่นโจวแก้แค้นแม่ทัพหยางที่ทำให้ตนขาพิการและทวงเมืองจิ่งคืน หากเขาทำสำเร็จเขาจะได้รับอิสรภาพทันที ในขณะที่ตัวเขาเองก็มีความสัมพันธ์กับเซียวอ้ายซึ่งเกิดจากความรักและความสงสารจนทำให้เกิดความยุ่งยากตามมา บทสรุปจะเป็นเช่นไรอยากให้ลองไปชมด้วยสายตาของท่านเองค่ะ
ดูจบบอกได้คำเดียวว่าไม่ผิดหวัง นับตั้งแต่การเดินเรื่อง แม้ในช่วงต้นเรื่องอาจจะเนิบนาบไม่ทันใจคอบู๊ แต่หากดูให้เป็นศิลปะจะดูได้แบบเพลิดเพลิน นักแสดงเล่นดีทุกคน บทดี ภาพสวยออกโทนขาวดำแบบพู่กันจีน ละเมียดละไม มีจังหวะจะโคน ลีลากระบวนท่ามีทั้งอ่อนช้อยและดุดัน พิถีพิถันในงานศิลป์ให้อารมณ์และความรู้สึกได้ดีมาก แม้แต่หยาดน้ำฝนที่ตกมาไม่ขาดสาย หยดน้ำที่กระเด็นไปมา เครื่องแต่งกายประณีต อาวุธในการพุ่งชนดูน่าเกรงขราม ประจวบกับดนตรีประกอบที่คละเคล้าไปด้วยความหมองหม่น ความอ้างว้าง ความชิงชัง ในบางช่วงแม้จะไม่มีบทพูด แต่แสงสีและงานศิลป์ในแต่ละฉากรวมทั้งดนตรีและสีหน้าของตัวละคร สามารถเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลได้เป็นอย่างดี คำพูดที่คมคายแฝงปรัชญา มีความตลกร้ายสมกับชื่อเสียงของผู้กำกับคนดังจริงๆ
เป็นภาพยนตร์จีนอีกเรื่องที่โรสชอบ เพราะโดยส่วนตัวชอบจางอี้โหมวอยู่แล้ว เติ่งเชาเล่นได้ดีมาก ขอบอกไว้ก่อนว่าฉากจบนี่จี๊ดใจดีจริงๆ ให้ตีความจากสีหน้าของตัวละครเอง ตามแบบฉบับแบบหนังล่ารางวัลชอบทำกัน ดีไม่ดียังไงก็ได้เข้าชิงม้าทองคำถึง 12 ตัวทีเดียวค่ะ
หนังทุกเรื่องไม่ได้ชมแค่สนุกแต่สอดแทรกข้อคิดให้เราได้คิดตามด้วย เรื่องนี้ให้แง่คิดที่ลึกซึ้งอย่างมากในเรื่องของการปกครองคน การเป็นผู้นำ การใช้ปัญญา ผู้นำที่ดีจะต้องรำลึกถึงไพร่ฟ้า มีความกล้าหาญและเสียสละ หากเรายืมมือใครฆ่าผู้อื่น สักวันมือนั้นอาจย้อนกลับมาฆ่าเราได้ในสักวัน ผู้ใดหลงใหลในคำป้อยอย่อมไม่พบมิตรแท้ ความจริงใจแม้ไม่หวานซึ้งแต่มีคุณประโยชน์ต่อชีวิต ยอมตายแต่อย่าเสียศักดิ์ศรี เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ คนไร้ปัญญาย่อมอ่านคนไม่ออกว่าใครดีใครเลว เกิดมาแล้วต้องตายแต่จงกล้าหาญในสังเวียนรบอย่างรู้แพ้รู้ชนะ หากอดทนต่อสู้อย่างไม่ย่นย่อย่อมพลิกชะตาตนได้ราวปาฏิหาริย์ หยินหยาง ขาวหรือดำ เปรียบเช่นชีวิตคนที่เป็นเฉกเช่นเหรียญที่มีสองด้าน สำคัญแค่ว่ามีด้านดีหรือด้านชั่วมากกว่ากันและเรียนรู้ที่จะนำด้านใดมาใช้ในสภาวะใดค่ะ
Shadow…จอมคนกระบี่เงา คมคาย ลุ่มลึก งดงามตามแบบฉบับของจางอี้โหมว By Rose
สำหรับคอหนังจีนคงไม่พลาดชื่อของผู้กำกับคนดังระดับตำนานของจีนอย่าง “จางอี้โหมว” อย่างแน่นอน ได้ไปชมมาแล้วที่ SF Cinema World เสียงในฟิล์มได้อรรถรสมาก สมกับที่ท่านผู้กำกับทุ่มเทเขียนบทสามปีและถ่ายทำอีกสองปี หนังเรื่องนี้เป็นหนังจีนกำลังภายในดราม่า นำแสดงโดยดาราชั้นนำ อาทิเช่น เติ่งเชา ซุนลี่ กวนเสี่ยวถง อู๋เหล่ย เฉิงไค หูจุน ฯลฯ
จอมคนกระบี่เงาเป็นเรื่องราวในช่วงยุคมืดของสามก๊ก สะท้อนชีวิตของ “เงา” ซึ่งเป็นตัวตายตัวแทนคอยทำภารกิจให้ตัวจริงมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ไม่อาจเป็นที่เปิดเผยและจะต้องเก็บเป็นความลับ “เงาจักต้องเคลื่อนไหวในความมืดมิดและเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าของเงา” ตัวละครแต่ละตัวล้วนมีมิติของตนเอง อีกทั้งนักแสดงแต่ละท่านก็มีความสามารถในการถ่ายทอดตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี ผู้ที่รับบทหนักของเรื่อง คือ เติ่งเชา เพราะเขาต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครสองตัว นั่นคือ ขุนพลซืออวี่และจิ่นโจวซึ่งเป็นเงาของท่านขุนพล นอกจากนี้ซุนลี่ภรรยาของเขาร่วมแสดงด้วย โดยรับบทเป็นเซียวอ้าย ภรรยาของขุนพลซืออวี่นั่นเองค่ะ
เรื่องย่อ จิ่นโจวถูกกักขังเลี้ยงอยู่ในคุกใต้ดินตั้งแต่แปดขวบ เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนให้กับท่านขุนพลซืออวี่ มีฮ่องเต้แห่งแคว้นเพ่ยผู้นำที่ไม่เอาถ่านแต่ห้วงความคิดกลับซับซ้อน มีเพียงเซียวอ้ายที่รู้ความลับและต้องคอยปกปิด “จิ่นโจว” ที่เป็นเงาของท่านขุนพล ขุนพลซืออวี่ปรารถนาให้จิ่นโจวแก้แค้นแม่ทัพหยางที่ทำให้ตนขาพิการและทวงเมืองจิ่งคืน หากเขาทำสำเร็จเขาจะได้รับอิสรภาพทันที ในขณะที่ตัวเขาเองก็มีความสัมพันธ์กับเซียวอ้ายซึ่งเกิดจากความรักและความสงสารจนทำให้เกิดความยุ่งยากตามมา บทสรุปจะเป็นเช่นไรอยากให้ลองไปชมด้วยสายตาของท่านเองค่ะ
ดูจบบอกได้คำเดียวว่าไม่ผิดหวัง นับตั้งแต่การเดินเรื่อง แม้ในช่วงต้นเรื่องอาจจะเนิบนาบไม่ทันใจคอบู๊ แต่หากดูให้เป็นศิลปะจะดูได้แบบเพลิดเพลิน นักแสดงเล่นดีทุกคน บทดี ภาพสวยออกโทนขาวดำแบบพู่กันจีน ละเมียดละไม มีจังหวะจะโคน ลีลากระบวนท่ามีทั้งอ่อนช้อยและดุดัน พิถีพิถันในงานศิลป์ให้อารมณ์และความรู้สึกได้ดีมาก แม้แต่หยาดน้ำฝนที่ตกมาไม่ขาดสาย หยดน้ำที่กระเด็นไปมา เครื่องแต่งกายประณีต อาวุธในการพุ่งชนดูน่าเกรงขราม ประจวบกับดนตรีประกอบที่คละเคล้าไปด้วยความหมองหม่น ความอ้างว้าง ความชิงชัง ในบางช่วงแม้จะไม่มีบทพูด แต่แสงสีและงานศิลป์ในแต่ละฉากรวมทั้งดนตรีและสีหน้าของตัวละคร สามารถเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลได้เป็นอย่างดี คำพูดที่คมคายแฝงปรัชญา มีความตลกร้ายสมกับชื่อเสียงของผู้กำกับคนดังจริงๆ
เป็นภาพยนตร์จีนอีกเรื่องที่โรสชอบ เพราะโดยส่วนตัวชอบจางอี้โหมวอยู่แล้ว เติ่งเชาเล่นได้ดีมาก ขอบอกไว้ก่อนว่าฉากจบนี่จี๊ดใจดีจริงๆ ให้ตีความจากสีหน้าของตัวละครเอง ตามแบบฉบับแบบหนังล่ารางวัลชอบทำกัน ดีไม่ดียังไงก็ได้เข้าชิงม้าทองคำถึง 12 ตัวทีเดียวค่ะ
หนังทุกเรื่องไม่ได้ชมแค่สนุกแต่สอดแทรกข้อคิดให้เราได้คิดตามด้วย เรื่องนี้ให้แง่คิดที่ลึกซึ้งอย่างมากในเรื่องของการปกครองคน การเป็นผู้นำ การใช้ปัญญา ผู้นำที่ดีจะต้องรำลึกถึงไพร่ฟ้า มีความกล้าหาญและเสียสละ หากเรายืมมือใครฆ่าผู้อื่น สักวันมือนั้นอาจย้อนกลับมาฆ่าเราได้ในสักวัน ผู้ใดหลงใหลในคำป้อยอย่อมไม่พบมิตรแท้ ความจริงใจแม้ไม่หวานซึ้งแต่มีคุณประโยชน์ต่อชีวิต ยอมตายแต่อย่าเสียศักดิ์ศรี เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ คนไร้ปัญญาย่อมอ่านคนไม่ออกว่าใครดีใครเลว เกิดมาแล้วต้องตายแต่จงกล้าหาญในสังเวียนรบอย่างรู้แพ้รู้ชนะ หากอดทนต่อสู้อย่างไม่ย่นย่อย่อมพลิกชะตาตนได้ราวปาฏิหาริย์ หยินหยาง ขาวหรือดำ เปรียบเช่นชีวิตคนที่เป็นเฉกเช่นเหรียญที่มีสองด้าน สำคัญแค่ว่ามีด้านดีหรือด้านชั่วมากกว่ากันและเรียนรู้ที่จะนำด้านใดมาใช้ในสภาวะใดค่ะ