มุมมองเกี่ยวกับการกินเนื้อสัตว์

กระทู้คำถาม
เมื่อนำพุทธพจน์ในสูตรเหล่านี้มารวมกัน ก็จะได้มุมมองวิธีคิด (ไม่เกี่ยวกับประเด็นกินได้กินไม่ได้)
การคิดพิจารณาแต่ในแง่กินได้กินไม่ได้อาจตกลงไปสู่สีลลัพพตปรามาส การลูบๆคลำๆในสีลและปฏิปทา ไม่รู้ถึงเหตุและผล ไม่รู้เป้าหมายและมรรค ของศีลและปฏิปทา

เชื่อตถาคตไหมว่า ? สัตว์โลกที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องบุตรของเราหาไม่ได้ง่ายๆ ในสังสารวัฏ

แม้ว่าพระศาสดาทรงไม่ห้ามกินเนื้อภายใต้ เงื่อนไขว่าเนื้อบางชนิดที่ห้าม และเนื้อที่ไม่รู้เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ก็กินได้ ถึงอย่างนั้น ขณะกินก็ควรทำในใจเสมอว่ากำลังกินเนื้อบุตร ดังในพระสูตร ปุตตมังสสูตร
เพราะเนื้อทั้งหลายที่กิน ก็คือเนื้อของสัตว์ที่ในอดีตเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องของเราในชาติก่อนๆ พิจารณาให้ดีตรงนี้ก็จะสลดสังเวช แม้ว่าการกินไม่ผิดศีล ก็จะทำให้ไม่มัวเมาในอาหาร ไม่กินเพื่อความคะนอง หรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกาย แต่กินเพื่อทรงขันธ์เพื่อภาวนาต่อไป

อานิสงค์ของการพิจารณาอาหารคือคำข้าวนี้คือ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดี ซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ(ปล.คหสต. อนาคามี)


ปุตตมังสสูตร
//
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหาร(ปล.อาหารคือคำข้าว)จะพึงเห็นได้อย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เหมือน
อย่างว่า ภรรยาสามี ๒ คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร
เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดาร
อยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขา
ทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของ
เราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดาร
นี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ
คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร
จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากัน
พินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจ
นั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้าม
ทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า
ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย
ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อ
ความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทาน
เนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่ง
เกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์
อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ
//

๔ มาตุสูตร
[๔๕๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา โดย
กาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลยข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯพอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๔
[สูตรทั้งปวงก็มีเปยยาลอย่างเดียวกันนี้]

๕ ปิตุสูตร
[๔๕๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นบิดา
โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลยดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๕

๖ ภาตุสูตร
[๔๕๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่ชาย
น้องชาย โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๖

๗ ภคินีสูตร
[๔๕๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่หญิง
น้องหญิง โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๗

๘ ปุตตสูตร
[๔๕๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นบุตร
โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลยดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๘

๙ ธีตุสูตร
[๔๕๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่
กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ สัตว์ที่
ไม่เคยเป็นธิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนด
ที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ภิกษุทั้งหลายพวกเธอได้เสวยทุกข์ ความ
เผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุ
เพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น
ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๙
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่