เริ่มวางขายในประเทศไทยแล้วนะคะ สำหรับ iPad Pro 2018 อุ้มเชื่อว่าหลายๆคน กำลังหาข้อมูลเจ้าตัวนี้อยู่แน่ๆ และหลังจากที่อุ้มใช้งานมาเต็มๆ เกือบ 1 สัปดาห์ ก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือ TABLET OF THE YEAR สำหรับอุ้มจริงๆ เพราะ Apple จัดให้ ตาม Wish List ที่เคยอยากได้หลายประการ วันนี้จะพาไปดู รีวิว iPad Pro 2018 พร้อมป้ายยาแบบ Unlimited ตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ
WISH LIST NO.1 ขอบจอบางขึ้น ไร้ติ่ง
STATUS: COMPLETED
คำขอจากใจอันแรกเลยคือ ช่วยทำขอบจอให้มันบางๆ หน่อยได้ม๊ายยย ไหนๆ ก็ไม่ได้ปรับการดีไซน์มาตั้งนานแล้ว สรุปก็ได้ตามนั้นค่ะ เพราะครั้งนี้ เค้าตัดปุ่มโฮมออก ลดขอบทุกด้านลง ในขนาดตัวเครื่องที่เท่าเดิม อุ้มเลยได้หน้าจอ 11 นิ้ว มาในบอดี้ตัว 10.5 นิ้ว แถมตัวเครื่องยังบางขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อยอีกด้วย
การลดขอบหน้าจอ มันทำให้ iPad กลายเป็นตัวใหม่ไปเลยในความรู้สึก และถึงขอบมันจะไม่ได้บางขนาด iPhone XS Max แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นได้ดี ถ้าเทียบกับขอบจอแบบเดิมค่ะ
หน้าจอของ iPad Pro 2018 จะเป็น Liquid Retina Display นั่นก็คือจอตัวเดียวกับ iPhone XR ขนาด 2388 x 1668 ความละเอียดประมาณ 264 ppi ซึ่งจากการใช้งานมา ถึงความละเอียดจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็เต็มตาขึ้นกว่าเดิม และให้ความรู้สึกอิสระมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
WISH LIST NO.2 FACE ID ตั้งได้ นอนได้
STATUS: COMPLETED
คืออุ้มรู้อยู่แล้ว ว่า Face ID มาแน่ๆ แต่สิ่งที่กังวัลคือ การใช้งาน iPad Pro จะสมบูรณ์ที่สุด เมื่อใช้งานในแนวนอน เพราะเราต้องทั้งเขียน ทั้งติดกับ Keyboard ทาง Apple เอง เลยออกแบบ Face ID มาให้ iPad Pro โดยเฉพาะ ให้สแกนได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
และต้องบอกว่า สแกนได้ไวมาก มากจนแอบคิดว่า มันสแกนหลอกๆ รึเปล่าวะ 555 อุ้มเลยเอามือไปปิดตรงกล้อง มันเลยเตือนขึ้นมาว่า ‘กล้องถูกบังอยู่’ เอาเป็นว่ามันสแกนจริงๆ ที่ชอบใจคือ แนวนอนก็สแกนได้ไวมากเช่นเดียวกัน
WISH LIST NO.3 APPLE PENCILติดตัวเครื่อง
STATUS: COMPLETED
สำหรับการใช้งาน Apple Pencil ตั้งแต่ตัวแรก สิ่งที่ทำให้เราหงุดหงิดใจทุกครั้ง คือการพกพา เพราะถ้าเราไม่ใช้เคสที่เสียบปากกาได้ เราก็ต้องพกปากกาแยก และวันนึง เราก็จะพบว่าปากการาคาสี่พันกว่าบาท วางไว้ไหน ก็จำไม่ได้ 555
Apple Pencil 2 เลยถูกดีไซน์แบบใหม่ ให้มีด้านที่เรียบ สำหรับเอาไว้ยึดติดกับตัว iPad Pro และนอกจากจะยึดติดกับด้วยแถบแม่เหล็กแล้ว ยังสามารถชาร์จไปในตัวทุกครั้งอีกด้วย
การเชื่อมต่อ ก็ไม่ต้องทำอะไรมากค่ะ หยิบออกมา จับติดกับตัวเครื่องที่ต้องการจับคู่ เพียงเท่านี้ก็จะใช้งานได้แล้ว แต่จะรองรับเฉพาะรุ่น iPad Pro 2018 เท่านั้นนะคะ
ส่วนการเขียน อุ้มว่าไม่ต่างจากเดิม แต่จะเพิ่มเติมอยู่สองอย่างค่ะ คือ
- แตะที่แถบด้านข้าง 2 ครั้ง จะเป็นการเปลี่ยนฟังก์ชั่น หรือหัวปากกา
- เวลาเครื่องล็อคอยู่ ให้เอาปากกาแตะที่หน้าจอ 1 ที จอจะติดขึ้นมา และเข้า Note ทันที
ความแตกต่างของ Apple Pencil เมื่อเทียบกับค่ายอื่นแล้ว จะมีจุดเด่นที่การเอียงปากกา แล้วจะสามารถแรเงาได้ การเขียนที่เหมือนการจดลงในกระดาษที่ทำได้ดีมากๆเลยหละค่ะ
WISH LIST NO.4 SMOOTH MULTITASKING
STATUS: IMPRESSED
คือการทำงานของ iPad Pro มันค่อนข้างจะแรงมากๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ Apple ก็บ้าพอ ที่จะใส่ชิปเซ็ต A12X Bionic เข้ามาอี๊กกก จัดคะแนน Antutu Benchmark ไปสวยๆ ที่ 564,813 คะแนน อื้อหือออออออ สูงเป็นบ้า
คะแนนสูงๆ มีประโยชน์อะไร อันนี้มันจะอ้างอิงไปถึงคำถามที่ว่า “ใช้แทน Macbook หรือ Notebook เลยได้มั้ย?” แต่อุ้มจะมาเล่าให้ฟังอีกที เมื่อได้ Smart Keyboard Folio แป้นไทยเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง ตอนนี้ขอเอาความดีงามบางอย่างจากความแรงที่บอก มาเล่าให้ฟังกันก่อนดังนี้
เล่นเกม Ragnarok Mobile พร้อมดู YouTube ชิวชิว
เราสามารถใช้งาน Multitasking สองแอพโหดๆ พร้อมกัน ได้สบายๆ โดยบางแอพ จะเปิดได้อย่างละครึ่งหน้าในแนวนอน และบางแอพ สามารถเปิดแบบ Floating ออกมาได้ นี่เป็นที่มาของการทำงานพร้อมกับหาข้อมูลในเว็บไปด้วย แถมยัง Drag & Drop ภาพหรือข้อความ โยกระหว่างสองแอพที่เปิดไว้ได้อีกด้วย
ตัดต่อผ่าน iMovie ได้ง่ายง่าย
ความแรงระดับนี้ จะทำงานตัดต่อก็เป็นเรื่องหมูๆ ถึงแม้แอพ iMovie จะยังไม่เต็มรูปแบบเหมือนใน Macbook แต่ก็สามารถตัดต่อวิดีโอเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว อย่างอุ้มใช้ iPhone ถ่ายวิดีโอ แล้ว Airdrop มาไว้บน iPad Pro ตัดต่อเสร็จ ก็อัพขึ้น YouTube ได้เลย
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ผ่านพอร์ต USB C
นี่น่าจะเป็นข้อดีที่สุดอันนึงของการอัพเกรดในครั้งนี้ เพราะอุ้มสามารถเสียบ Card Reader เข้ากับ iPad Pro เพื่อดึงเอาภาพจากกล้อง หรือจะต่อกับ GoPro Hero 7 เพื่อดึงข้อมูลจากกล้องมาเลย ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ อุ้มก็เอาไปเสียบเข้ากับทีวีที่บ้าน ผ่าน Adapter ก็จะแสดงหน้าจอ iPad Pro ขึ้นไปที่ทีวีเลยทันที (ทดสอบกับทีวี LG ได้ แต่ ทีวี Samsung ไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไร 555) ทำให้เวลาเราจะไปพรีเซ้นงาน แค่ยกเจ้า iPad Pro 2018 ไป ก็จบละ
แต่ว่ามันไม่สามารถอ่าน External Harddisk ได้นะคะ จะขึ้นว่า Error ต้องรอดูในอนาคต ว่าจะมีอุปกรณ์ตัวไหน มาต่อกับ iPad Pro 2018 ได้อีกรึเปล่า
BOTTOM LINE
นอกจากที่เล่ามาด้านบนแล้ว ยังมีอีกสองสามเรื่อง ที่อุ้มชอบการอัพเกรดในครั้งนี้นะคะ ยกตัวอย่างเช่น
- กล้องหลัง สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K ที่ 30 หรือ 60 fps
- กล้องหน้า เป็น TrueDepth ถ่าย Portrait ได้
- ทำ Animoji และ Memoji ได้
- แบตอึดสุด เปิดเกมค้างไว้ 5-6 ชม. ยังเหลือแบต 25% แถมไม่ร้อนด้วย
- ลำโพง 4 ตัว เสียงดีเหมือนเดิม
ในราคาเริ่มต้นที่ 28,900 บาท สำหรับตัว iPad Pro 2018 รุ่น 11 นิ้ว 64GB WiFi ถ้าซื้อพร้อมปากกา ราคา 4,490 บาท และ Smart Keyboard Folio ราคา 6,490 บาท เซ็ตนี้จะตกที่ 39,880 บาท เงินสี่หมื่นบาท สามารถซื้อ Macbook Air 2018 ได้เช่นกัน
แน่นอนว่า การทำงานมันคนละแบบ ถ้าให้อุ้มมีแค่ iPad Pro ไม่มีคอมเลย ก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะงานตัดต่อวิดีโอรีวิว มันต้องอาศัย Macbook มากกว่า เดี๋ยวอุ้มจะขอมาเล่าอีกทีนึงหลังจากได้ของครบ ว่าถ้าใช้งานทั่วๆไป จะแทนกันได้เลยหรือไม่
แต่ตั้งแต่วันแรกที่ได้ iPad Pro 2018 มา จนถึงวันนี้ ได้ใช้งานมัน มากกว่า iPad หลายๆรุ่นที่ผ่านมา และรู้สึกว่า มันเข้ามาช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ยังไงอุ้มฝาก รีวิว iPad Pro 2018 พร้อม Apple Pencil ไว้เท่านี้ แล้วพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณมากค่า
====================================
สนับสนุนอุ้ม เพียงกดติดตามตามช่องทางต่างๆดังนี้
YouTube
Facebook
Web
IG
ขอบคุณมากค่า
[CR] รีวิว iPad Pro 2018 แบบไทยไทย | TABLET OF THE YEAR
เริ่มวางขายในประเทศไทยแล้วนะคะ สำหรับ iPad Pro 2018 อุ้มเชื่อว่าหลายๆคน กำลังหาข้อมูลเจ้าตัวนี้อยู่แน่ๆ และหลังจากที่อุ้มใช้งานมาเต็มๆ เกือบ 1 สัปดาห์ ก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือ TABLET OF THE YEAR สำหรับอุ้มจริงๆ เพราะ Apple จัดให้ ตาม Wish List ที่เคยอยากได้หลายประการ วันนี้จะพาไปดู รีวิว iPad Pro 2018 พร้อมป้ายยาแบบ Unlimited ตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ
WISH LIST NO.1 ขอบจอบางขึ้น ไร้ติ่ง
STATUS: COMPLETED
คำขอจากใจอันแรกเลยคือ ช่วยทำขอบจอให้มันบางๆ หน่อยได้ม๊ายยย ไหนๆ ก็ไม่ได้ปรับการดีไซน์มาตั้งนานแล้ว สรุปก็ได้ตามนั้นค่ะ เพราะครั้งนี้ เค้าตัดปุ่มโฮมออก ลดขอบทุกด้านลง ในขนาดตัวเครื่องที่เท่าเดิม อุ้มเลยได้หน้าจอ 11 นิ้ว มาในบอดี้ตัว 10.5 นิ้ว แถมตัวเครื่องยังบางขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อยอีกด้วย
การลดขอบหน้าจอ มันทำให้ iPad กลายเป็นตัวใหม่ไปเลยในความรู้สึก และถึงขอบมันจะไม่ได้บางขนาด iPhone XS Max แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นได้ดี ถ้าเทียบกับขอบจอแบบเดิมค่ะ
หน้าจอของ iPad Pro 2018 จะเป็น Liquid Retina Display นั่นก็คือจอตัวเดียวกับ iPhone XR ขนาด 2388 x 1668 ความละเอียดประมาณ 264 ppi ซึ่งจากการใช้งานมา ถึงความละเอียดจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็เต็มตาขึ้นกว่าเดิม และให้ความรู้สึกอิสระมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
WISH LIST NO.2 FACE ID ตั้งได้ นอนได้
STATUS: COMPLETED
คืออุ้มรู้อยู่แล้ว ว่า Face ID มาแน่ๆ แต่สิ่งที่กังวัลคือ การใช้งาน iPad Pro จะสมบูรณ์ที่สุด เมื่อใช้งานในแนวนอน เพราะเราต้องทั้งเขียน ทั้งติดกับ Keyboard ทาง Apple เอง เลยออกแบบ Face ID มาให้ iPad Pro โดยเฉพาะ ให้สแกนได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
และต้องบอกว่า สแกนได้ไวมาก มากจนแอบคิดว่า มันสแกนหลอกๆ รึเปล่าวะ 555 อุ้มเลยเอามือไปปิดตรงกล้อง มันเลยเตือนขึ้นมาว่า ‘กล้องถูกบังอยู่’ เอาเป็นว่ามันสแกนจริงๆ ที่ชอบใจคือ แนวนอนก็สแกนได้ไวมากเช่นเดียวกัน
WISH LIST NO.3 APPLE PENCILติดตัวเครื่อง
STATUS: COMPLETED
สำหรับการใช้งาน Apple Pencil ตั้งแต่ตัวแรก สิ่งที่ทำให้เราหงุดหงิดใจทุกครั้ง คือการพกพา เพราะถ้าเราไม่ใช้เคสที่เสียบปากกาได้ เราก็ต้องพกปากกาแยก และวันนึง เราก็จะพบว่าปากการาคาสี่พันกว่าบาท วางไว้ไหน ก็จำไม่ได้ 555
Apple Pencil 2 เลยถูกดีไซน์แบบใหม่ ให้มีด้านที่เรียบ สำหรับเอาไว้ยึดติดกับตัว iPad Pro และนอกจากจะยึดติดกับด้วยแถบแม่เหล็กแล้ว ยังสามารถชาร์จไปในตัวทุกครั้งอีกด้วย
การเชื่อมต่อ ก็ไม่ต้องทำอะไรมากค่ะ หยิบออกมา จับติดกับตัวเครื่องที่ต้องการจับคู่ เพียงเท่านี้ก็จะใช้งานได้แล้ว แต่จะรองรับเฉพาะรุ่น iPad Pro 2018 เท่านั้นนะคะ
ส่วนการเขียน อุ้มว่าไม่ต่างจากเดิม แต่จะเพิ่มเติมอยู่สองอย่างค่ะ คือ
- แตะที่แถบด้านข้าง 2 ครั้ง จะเป็นการเปลี่ยนฟังก์ชั่น หรือหัวปากกา
- เวลาเครื่องล็อคอยู่ ให้เอาปากกาแตะที่หน้าจอ 1 ที จอจะติดขึ้นมา และเข้า Note ทันที
ความแตกต่างของ Apple Pencil เมื่อเทียบกับค่ายอื่นแล้ว จะมีจุดเด่นที่การเอียงปากกา แล้วจะสามารถแรเงาได้ การเขียนที่เหมือนการจดลงในกระดาษที่ทำได้ดีมากๆเลยหละค่ะ
WISH LIST NO.4 SMOOTH MULTITASKING
STATUS: IMPRESSED
คือการทำงานของ iPad Pro มันค่อนข้างจะแรงมากๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ Apple ก็บ้าพอ ที่จะใส่ชิปเซ็ต A12X Bionic เข้ามาอี๊กกก จัดคะแนน Antutu Benchmark ไปสวยๆ ที่ 564,813 คะแนน อื้อหือออออออ สูงเป็นบ้า
คะแนนสูงๆ มีประโยชน์อะไร อันนี้มันจะอ้างอิงไปถึงคำถามที่ว่า “ใช้แทน Macbook หรือ Notebook เลยได้มั้ย?” แต่อุ้มจะมาเล่าให้ฟังอีกที เมื่อได้ Smart Keyboard Folio แป้นไทยเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง ตอนนี้ขอเอาความดีงามบางอย่างจากความแรงที่บอก มาเล่าให้ฟังกันก่อนดังนี้
เล่นเกม Ragnarok Mobile พร้อมดู YouTube ชิวชิว
เราสามารถใช้งาน Multitasking สองแอพโหดๆ พร้อมกัน ได้สบายๆ โดยบางแอพ จะเปิดได้อย่างละครึ่งหน้าในแนวนอน และบางแอพ สามารถเปิดแบบ Floating ออกมาได้ นี่เป็นที่มาของการทำงานพร้อมกับหาข้อมูลในเว็บไปด้วย แถมยัง Drag & Drop ภาพหรือข้อความ โยกระหว่างสองแอพที่เปิดไว้ได้อีกด้วย
ตัดต่อผ่าน iMovie ได้ง่ายง่าย
ความแรงระดับนี้ จะทำงานตัดต่อก็เป็นเรื่องหมูๆ ถึงแม้แอพ iMovie จะยังไม่เต็มรูปแบบเหมือนใน Macbook แต่ก็สามารถตัดต่อวิดีโอเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว อย่างอุ้มใช้ iPhone ถ่ายวิดีโอ แล้ว Airdrop มาไว้บน iPad Pro ตัดต่อเสร็จ ก็อัพขึ้น YouTube ได้เลย
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ผ่านพอร์ต USB C
นี่น่าจะเป็นข้อดีที่สุดอันนึงของการอัพเกรดในครั้งนี้ เพราะอุ้มสามารถเสียบ Card Reader เข้ากับ iPad Pro เพื่อดึงเอาภาพจากกล้อง หรือจะต่อกับ GoPro Hero 7 เพื่อดึงข้อมูลจากกล้องมาเลย ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ อุ้มก็เอาไปเสียบเข้ากับทีวีที่บ้าน ผ่าน Adapter ก็จะแสดงหน้าจอ iPad Pro ขึ้นไปที่ทีวีเลยทันที (ทดสอบกับทีวี LG ได้ แต่ ทีวี Samsung ไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไร 555) ทำให้เวลาเราจะไปพรีเซ้นงาน แค่ยกเจ้า iPad Pro 2018 ไป ก็จบละ
แต่ว่ามันไม่สามารถอ่าน External Harddisk ได้นะคะ จะขึ้นว่า Error ต้องรอดูในอนาคต ว่าจะมีอุปกรณ์ตัวไหน มาต่อกับ iPad Pro 2018 ได้อีกรึเปล่า
BOTTOM LINE
นอกจากที่เล่ามาด้านบนแล้ว ยังมีอีกสองสามเรื่อง ที่อุ้มชอบการอัพเกรดในครั้งนี้นะคะ ยกตัวอย่างเช่น
- กล้องหลัง สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K ที่ 30 หรือ 60 fps
- กล้องหน้า เป็น TrueDepth ถ่าย Portrait ได้
- ทำ Animoji และ Memoji ได้
- แบตอึดสุด เปิดเกมค้างไว้ 5-6 ชม. ยังเหลือแบต 25% แถมไม่ร้อนด้วย
- ลำโพง 4 ตัว เสียงดีเหมือนเดิม
ในราคาเริ่มต้นที่ 28,900 บาท สำหรับตัว iPad Pro 2018 รุ่น 11 นิ้ว 64GB WiFi ถ้าซื้อพร้อมปากกา ราคา 4,490 บาท และ Smart Keyboard Folio ราคา 6,490 บาท เซ็ตนี้จะตกที่ 39,880 บาท เงินสี่หมื่นบาท สามารถซื้อ Macbook Air 2018 ได้เช่นกัน
แน่นอนว่า การทำงานมันคนละแบบ ถ้าให้อุ้มมีแค่ iPad Pro ไม่มีคอมเลย ก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะงานตัดต่อวิดีโอรีวิว มันต้องอาศัย Macbook มากกว่า เดี๋ยวอุ้มจะขอมาเล่าอีกทีนึงหลังจากได้ของครบ ว่าถ้าใช้งานทั่วๆไป จะแทนกันได้เลยหรือไม่
แต่ตั้งแต่วันแรกที่ได้ iPad Pro 2018 มา จนถึงวันนี้ ได้ใช้งานมัน มากกว่า iPad หลายๆรุ่นที่ผ่านมา และรู้สึกว่า มันเข้ามาช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ยังไงอุ้มฝาก รีวิว iPad Pro 2018 พร้อม Apple Pencil ไว้เท่านี้ แล้วพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณมากค่า
====================================
สนับสนุนอุ้ม เพียงกดติดตามตามช่องทางต่างๆดังนี้
YouTube
Facebook
Web
IG
ขอบคุณมากค่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม