ลูกคนเล็กปีนี้อายุ 12 แล้ว
ด้วยความที่เด็กๆ เธอเคยชัก พัฒนาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา บางอย่างยังค่อนข้างเหมือนเด็กๆ
สิ่งที่ยังเลิกไม่ได้อย่างหนึ่งของเธอคือหมอนข้างเก่า ที่คนทั้งบ้านเรียกว่า “พี่เน่า” แต่เธอเรียกว่า “จุ๊บบี้” และยังคงตระกองกอด หมั่นหยิบมาดมมาหอม เก็บไว้ใกล้ตัวตลอด
พี่เน่า มีอายุประมาณสิบหกปี เท่าลูกสาวคนโต เพราะครอบครัวเราได้รับชุดเครื่องนอนสำหรับทารกมาเป็นของขวัญ และพี่เน่าก็เป็นหนึ่งในชุดเครื่องนอนที่ยังหลงเหลืออยู่
้ใช้กันมาสองสาวจนผ่านมาสาวที่สาม พี่เน่ายังคงได้รับความนิยมอย่างสูง
ลูกสองคนโตหย่าหมอนเน่าได้ตั้งแต่อายุหกเจ็ดขวบ แต่ลูกคนเล็ก ยังกอดอยู่จนอายุ 12
เราเห็นว่าไม่ได้การแล้ว เพราะหมอนเริ่มเป็นขุยปุย ๆ เราคิดว่าไม่ปลอดภัยเวลาเอาไปนอนด้วย เพราะลูกจะติดดึงพี่เน่ามาดมอยู่ตลอดเวลา
เรากลัวเศษเส้นใย ขุยผ้า ปุยผ้า ที่เริ่มออกมากับตัวหมอนข้าง อาจทำให้มีปัญหาทางเดินหายใจได้ เพราะหลานคนหนึ่งของสามีเคยแพ้ใยพวกนี้จนป่วยถึงขนาดเป็น SLE
วันนี้ เราเลยเริ่มปฏิบัติการแยกลูกจากพี่เน่า ซึ่งจะว่าไปก็เป็นปฏิบัติการครั้งที่ 100 กว่า ๆ เพราะทำมาตลอดแต่ไม่เคยสำเร็จ
เริ่มจากให้ป๋าซึ่งลูกจะติดและเชื่อฟังมากกว่า พูดนำก่อนว่า พี่เน่าเริ่มเป็นขุย เป็นปุยออกมาแล้ว เอาไปกอด ไปดม มันไม่ปลอดภัย
ลูกนิ่งเงียบ... ตาแดงก่ำ ไม่พูดอะไร
เราหยิบพี่เน่าขึ้นมา เอาไปให้เค้ากอดแล้วเอาพี่เน่าไปแนบตัวเค้า บอกว่า
"จุ๊บบี้อยู่กับลูกมานานแล้ว อยู่เป็นเพื่อนลูก ทำให้ลูกอบอุ่นสบายใจ ตอนนี้ จุ๊บบี้มีทางของตัวเองต้องไปแล้ว
ลูกกอดจุ๊บบี้นะคะ say goodbye แล้วขอบคุณจุ๊บบี้สำหรับการอยู่เป็นเพื่อนมาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ตอนนี้ ลูกโตแล้ว พ้นวัยที่ต้องพึ่งพิงจุ๊บบี้แล้ว จุ๊บบี้ต้องพักผ่อนเพราะดูแลลูก ๆ มาเหนื่อยเหลือเกิน"
ลูกกอดพี่เน่าแน่น บอกขอกอดอีกทีเป็นครั้งสุดท้าย
เราให้ลูกกอดพี่เน่า แล้วค่อย ๆ ดึงพี่เน่าออกมา
การจากลาเศร้าบ้างเล็กน้อย
ลูกตาแดงก่ำ
เรารีบเปลี่ยนเรื่อง ชวนลูกกับพ่อออกไปกินข้าวข้างนอก
กลับมาลูกเหลือบไปเห็นพี่เน่าอีก ขอกอดอีกที
เราคิดว่าไม่ได้การแน่ ๆ ถ้าจะปล่อยให้ลูกเห็นอยู่อย่างนี้
เลยรีบดึงพี่เน่าไปทิ้ง(โดยไม่ให้ลูกเห็น) แล้วเรื่องก็จบลง
เมื่อลูกต้องจากลาหมอนเน่า
ด้วยความที่เด็กๆ เธอเคยชัก พัฒนาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา บางอย่างยังค่อนข้างเหมือนเด็กๆ
สิ่งที่ยังเลิกไม่ได้อย่างหนึ่งของเธอคือหมอนข้างเก่า ที่คนทั้งบ้านเรียกว่า “พี่เน่า” แต่เธอเรียกว่า “จุ๊บบี้” และยังคงตระกองกอด หมั่นหยิบมาดมมาหอม เก็บไว้ใกล้ตัวตลอด
พี่เน่า มีอายุประมาณสิบหกปี เท่าลูกสาวคนโต เพราะครอบครัวเราได้รับชุดเครื่องนอนสำหรับทารกมาเป็นของขวัญ และพี่เน่าก็เป็นหนึ่งในชุดเครื่องนอนที่ยังหลงเหลืออยู่
้ใช้กันมาสองสาวจนผ่านมาสาวที่สาม พี่เน่ายังคงได้รับความนิยมอย่างสูง
ลูกสองคนโตหย่าหมอนเน่าได้ตั้งแต่อายุหกเจ็ดขวบ แต่ลูกคนเล็ก ยังกอดอยู่จนอายุ 12
เราเห็นว่าไม่ได้การแล้ว เพราะหมอนเริ่มเป็นขุยปุย ๆ เราคิดว่าไม่ปลอดภัยเวลาเอาไปนอนด้วย เพราะลูกจะติดดึงพี่เน่ามาดมอยู่ตลอดเวลา
เรากลัวเศษเส้นใย ขุยผ้า ปุยผ้า ที่เริ่มออกมากับตัวหมอนข้าง อาจทำให้มีปัญหาทางเดินหายใจได้ เพราะหลานคนหนึ่งของสามีเคยแพ้ใยพวกนี้จนป่วยถึงขนาดเป็น SLE
วันนี้ เราเลยเริ่มปฏิบัติการแยกลูกจากพี่เน่า ซึ่งจะว่าไปก็เป็นปฏิบัติการครั้งที่ 100 กว่า ๆ เพราะทำมาตลอดแต่ไม่เคยสำเร็จ
เริ่มจากให้ป๋าซึ่งลูกจะติดและเชื่อฟังมากกว่า พูดนำก่อนว่า พี่เน่าเริ่มเป็นขุย เป็นปุยออกมาแล้ว เอาไปกอด ไปดม มันไม่ปลอดภัย
ลูกนิ่งเงียบ... ตาแดงก่ำ ไม่พูดอะไร
เราหยิบพี่เน่าขึ้นมา เอาไปให้เค้ากอดแล้วเอาพี่เน่าไปแนบตัวเค้า บอกว่า
"จุ๊บบี้อยู่กับลูกมานานแล้ว อยู่เป็นเพื่อนลูก ทำให้ลูกอบอุ่นสบายใจ ตอนนี้ จุ๊บบี้มีทางของตัวเองต้องไปแล้ว
ลูกกอดจุ๊บบี้นะคะ say goodbye แล้วขอบคุณจุ๊บบี้สำหรับการอยู่เป็นเพื่อนมาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ตอนนี้ ลูกโตแล้ว พ้นวัยที่ต้องพึ่งพิงจุ๊บบี้แล้ว จุ๊บบี้ต้องพักผ่อนเพราะดูแลลูก ๆ มาเหนื่อยเหลือเกิน"
ลูกกอดพี่เน่าแน่น บอกขอกอดอีกทีเป็นครั้งสุดท้าย
เราให้ลูกกอดพี่เน่า แล้วค่อย ๆ ดึงพี่เน่าออกมา
การจากลาเศร้าบ้างเล็กน้อย
ลูกตาแดงก่ำ
เรารีบเปลี่ยนเรื่อง ชวนลูกกับพ่อออกไปกินข้าวข้างนอก
กลับมาลูกเหลือบไปเห็นพี่เน่าอีก ขอกอดอีกที
เราคิดว่าไม่ได้การแน่ ๆ ถ้าจะปล่อยให้ลูกเห็นอยู่อย่างนี้
เลยรีบดึงพี่เน่าไปทิ้ง(โดยไม่ให้ลูกเห็น) แล้วเรื่องก็จบลง