แนะเด็กหนุ่ม 70 คน ถูกทหารติดเอชไอวีตุ๋ย เข้าตรวจเชื้อ ยันใช้ยาเป็ปไม่ได้ผล เหตุเลย 72 ชม.แล้ว


ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ ชี้ เด็กหนุ่มกว่า 70 คน ที่มีเซ็กซ์กับทหารม้าติดเชื้อ HIV ควรเข้ารับการตรวจเชื้อ แจงกินยาเป็ปไม่ได้ผล เหตุเกิน 72 ชั่วโมงไปแล้ว แต่ยอมรับบางคนเสี่ยงมีเชื้ออยู่แล้ว จากการมีเซ็กซ์ผ่านเว็บหาคู่ ด้านกรมควบคุมโรค เตือนผู้ปกครองสังเกตบุตรหลานแชตกับคนไม่รู้จัก อาจถูกล่อลวง

จากกรณีการจับกุมทหารม้ารายหนึ่ง ที่หลอกล่อเด็กหนุ่มกว่า 70 คน มามีเพศสัมพันธ์ด้วย ผ่านแอปพลิเคชันหาคู่เกย์ โดยหลอกใช้รูปโปรไฟล์เป็นหนุ่มหน้าตาดี โดยที่เจ้าตัวติดเชื้อเอชไอวี

วันนี้ (9 พ.ย.) พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ หัวหน้าทีมป้องกันการติดเชื้อ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของอดีตทหารติดเชื้อเอชไอวีกับเด็กทั้ง 70 คน ควรได้รับการตรวจเชื้อเอชไอวี อย่างละเอียด เพราะยังไม่มีความแน่ชัดว่าทหารคนนี้ได้รับประทานยาต้านไวรัสหรือไม่ และปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดลดลงแล้วหรือไม่ เพราะหากทหารคนนี้รับประทานยาต้านไวรัส โอกาสที่เด็กทั้ง 70 คน จะติดเชื้อเอชไอวีก็เป็นศูนย์ แต่มีความเสี่ยงที่จะได้รับโรคอื่นแทน ทั้งหนองใน ซิฟิลิส

พญ.นิตยา กล่าวว่า ส่วนการรับประทานยาเป็ป ที่ใช้สำหรับกรณีมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือกรณีถูกข่มขืน หรือกรณีสวมถุงยางอนามัยแล้วแตกนั้น สำหรับน้องๆ ทั้ง 70 คน ถือว่าไม่มีผล เนื่องจากเป็นการมีเพศสัมพันธ์เกิน 72 ชั่วโมงแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจว่า การมีเพศสัมพันธ์ในลักษณะนี้ ผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นไปได้ว่า ไม่ใช่การล่อลวง เพราะเว็บนี้รู้กันดีในกลุ่มคนว่า เป็นเว็บหาคู่ ฉะนั้น เด็กเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะมีโรคเดิมอยู่เช่นกัน โอกาสการได้รับเชื้อเอชไอวีจะมากน้อย ยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางกายขณะมีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยผู้ถูกกระทำ มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้มาก ขณะนี้เป็นผู้กระทำโอกาสการติดเชื้อมีน้อยกว่า

ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า เชื้อเอชไอวีไม่ได้ติดต่อกันง่าย สามารถติดต่อได้แค่ 3 ช่องทางหลักเท่านั้น คือ 1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นช่องทางที่มีการติดเชื้อมากที่สุด และหากร่วมเพศทางทวารหนักอาจเกิดการถลอก ฉีกขาด เป็นแผลได้ง่าย มีโอกาสติดเชื้อมากกว่าช่องทางอื่น 2. การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้มีเชื้อ HIV และ 3. การถ่ายทอดเชื้อ HIV จากแม่สู่ลูก ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อน้อยกว่าร้อยละ 0.5 นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ต้องมีองค์ประกอบครบ 3 ข้อ ทั้งช่องทางเข้าออกของเชื้อ ปริมาณของเชื้อ และคุณภาพของเชื้อ

สำหรับประชาชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือประเมินตนเองว่า มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อดังกล่าว สามารถเข้ารับคำปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อ HIV ได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง โดยใช้เพียงบัตรประชาชนที่มีเลข 13 หลักเท่านั้น และรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ฟรีตามสิทธิ

สำหรับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถรับบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้โดยไม่ต้องขอคำยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อให้รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง หากรู้ว่าติดเชื้อ HIV จะได้เข้ารับการรักษาทันที ทำให้วางแผนดูแลสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว เป็นการหยุดการแพร่ระบาดเชื้อ HIV ได้อีกทางหนึ่ง และปัจจุบันการตรวจหาการติดเชื้อ HIV แบบทราบผลการตรวจในวันเดียว ทำให้ประหยัดเวลาและสามารถเริ่มการรักษาได้เร็ว จะทำให้มีสุขภาพดี ชีวิตยืนยาว เรียนหนังสือได้ ทำงานได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ

“ขอแนะนำผู้ปกครองว่า ควรดูแล สอดส่อง และสังเกตบุตรหลานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารกับบุคลที่ไม่รู้จักผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ แอปพลิเคชัน โปรแกรมสนทนาต่างๆ เพราะในช่วงวัยรุ่นอาจเกิดความคึกคะนอง อยากรู้ อยากลอง อาจถูกล่อลวง และนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยได้ง่าย เสี่ยงติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ หากพบเห็นบุตรหลานกระทำไม่เหมาะสม ต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ผู้ปกครองควรให้เวลากับลูกหลานและส่งเสริมให้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

ข่าวจาก : MGR Online
https://mgronline.com/qol/detail/9610000111983
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่