คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าเป็นสมัยอดีตกาลข้อความในหัวข้อกระทู้อาจจะจริงครับ
แต่ ณ ปัจจุบันที่ไม่จริงเพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์
ปัจจุบันเรามีวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสใช้แล้วครับ
ตัววัคซีนป้องกันอีสุกอีใสมีการพัฒนาและมีการนำมาใช้ทางคลินิกครั้งแรกเมื่อปี 1974 โดยคุณ Takahashi
โดยเป็นวัคซีนเชื้อเป็นโดยสายพันธุ์แรกที่เอามาใช้ในตอนนั้นคือ Oka strain
VZV - Varicella zoster virus - ไวรัสที่ทำให้เกิดอีสุกอีใสหรืองูสวัด เป็นไวรัสตัวเดียวกัน
Varicella -อีสุกอีใส
Herpes zoster -งูสวัด
wild-type VZV -ไวรัส VZV จากธรรมชาติ
vaccine-strain VZV -ไวรัส VZV สายพันธุ์ที่มาจากวัคซีน
โดยทั่วไปการติดเชื้อ VZV ครั้งแรกจะทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส
ส่วนงูสวัดจะเกิดจากการที่เคยได้รับเชื้ออีสุกอีใสมาก่อนแล้ว คือเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
หลังหายจากอีสุกอีใส เชื้อไวรัสจะยังคงหลบอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ
แต่บางกรณีไวรัสถูกกระตุ้นให้แสดงอาการอีกครั้ง ( เรียกว่า reactivation )
เช่นเมื่อร่างกายอ่อนแอลง
แต่ก็ยังมีภูมิบางส่วนที่คอยควบคุม
ทำให้โรคหรือตุ่มที่จะขึ้นไม่ได้ขึ้นมากทั่วร่างกายเหมือนการติดเชื้อครั้งแรกที่ขึ้นจำนวนมากทั่วตัวจนเป็นอีสุกอีใส
ก็จะมีตุ่มขึ้นแค่บางส่วน
ถ้าเป็นสมัยก่อนที่จะมีวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสมาใช้
การเป็นงูสวัดจะเกิดจากการมี reactivation ของ VZV
ดังนั้นต้องมีการติดเชื้อ VZV ก่อน ซึ่งก็คือติดเชื้อแล้วเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
แต่ที่บางรายอาจไม่มีประวัติการเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็เพราะการติดเชื้อครั้งแรกมีอาการน้อยจนไม่ทราบว่าเป็น
หรือติดเชื้อเป็นอีสุกอีใสตั้งแต่อายุน้อยๆแล้วจำไม่ได้ว่าเคยเป็น
หรือติดเชื้อครั้งแรกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเลยเลยไม่รู้ว่าเคยเป็น
การจะเป็นงูสวัดจึงต้องผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปเนื่องจากมีการผลิตและใช้วัคซีนป้องกันอีสุกอีใสขึ้นมา
ทำให้เกิดงูสวัดได้จากการได้รับวัคซีนซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิต
แต่ทำให้อ่อนกำลังลงจนไม่ก่อโรค
ร่างกายจึงเหมือนเคยได้รับเชื้ออีสุกอีใสโดยที่ไม่ต้องผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็ได้
แม้ว่าการเกิดงูสวัดหลังจากฉีดวัคซีนถือว่าเป็นสิ่งที่พบได้ไม่บ่อยนัก
แต่เนื่องจากจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนมีมาก
เราจึงพบกรณีการเป็นงูสวัดหลังการได้รับวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสได้เรื่อยๆไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ข้อมูลระยะแรกๆมีการประมาณว่าเกิดงูสวัดหลังฉีดวัคซีนประมาณ 0.18 เคสต่อการให้วัคซีน 1,000 คนต่อปี
การศึกษาในระยะต่อมาพบว่าการเกิดงูสวัดที่เกิดตามหลังการได้วัคซีนพบได้น้อยกว่าการติดเชื้อตามธรรมชาติประมาณ 4-12 เท่า
มีการศึกษาขนาดใหญ่ใน US การศึกษาหนึ่งพบว่า
เกิดงูสวัดในเด็กที่ได้รับวัคซีนประมาณ 48 คนต่อเด็กที่ได้รับวัคซีน 1 แสนคน ต่อปี
เทียบกับงูสวัดในเด็กที่เกิดตามหลังการติดเชื้ออีสุกอีใสตามธรรมชาติจะมีประมาณ 230 คนต่อ 1 แสนคน ต่อปี
ถ้าเอาเด็กที่เป็นงูสวัดที่เกิดตามหลังการได้รับวัคซีนมาดูว่าเกิดจากไวรัสแบบไหน
พบว่าเด็กที่เป็นงูสวัดหลังได้รับวัคซีนก็ไม่ได้เกิดจากไวรัสที่เป็น vaccine-strain VZV เสียทั้งหมด
คือเป็น vaccine-strain VZV ราว 50-85 % ส่วนที่เหลือเป็น wild-type VZV
ตรงนี้บ่งบอกว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนบางส่วนก็ไปรับเชื้อ wild-type VZV แล้วเกิดงูสวัดตามมาก็ได้ แต่เป็นส่วนน้อยกว่า
ส่วนที่มากกว่าก็คือเป็น reactivation ของ vaccine-strain VZV เองเลย
แต่ยังถือว่าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ reactivation ของ wild-type VZV แล้วเกิดเป็นงูสวัดในเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน
ถ้าอ่านยาวไปแล้วงง
สรุปคือ
งูสวัดเกิดจากการกระตุ้นเชื้ออีสุกอีใสที่มีอยู่แล้วในร่างกายให้แสดงอาการของโรคอีกครั้ง
การมาของวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
สามารถทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ได้รับเชื้ออีสุกอีใสได้โดยไม่ต้องเป็นโรคอีสุกอีใสได้เหมือนการติดเชื้ออีสุกอีใสโดยธรรมชาติ
เราจึงสามารถเป็นงูสวัดได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาก่อนได้ครับ
แต่ ณ ปัจจุบันที่ไม่จริงเพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์
ปัจจุบันเรามีวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสใช้แล้วครับ
ตัววัคซีนป้องกันอีสุกอีใสมีการพัฒนาและมีการนำมาใช้ทางคลินิกครั้งแรกเมื่อปี 1974 โดยคุณ Takahashi
โดยเป็นวัคซีนเชื้อเป็นโดยสายพันธุ์แรกที่เอามาใช้ในตอนนั้นคือ Oka strain
VZV - Varicella zoster virus - ไวรัสที่ทำให้เกิดอีสุกอีใสหรืองูสวัด เป็นไวรัสตัวเดียวกัน
Varicella -อีสุกอีใส
Herpes zoster -งูสวัด
wild-type VZV -ไวรัส VZV จากธรรมชาติ
vaccine-strain VZV -ไวรัส VZV สายพันธุ์ที่มาจากวัคซีน
โดยทั่วไปการติดเชื้อ VZV ครั้งแรกจะทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส
ส่วนงูสวัดจะเกิดจากการที่เคยได้รับเชื้ออีสุกอีใสมาก่อนแล้ว คือเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
หลังหายจากอีสุกอีใส เชื้อไวรัสจะยังคงหลบอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ
แต่บางกรณีไวรัสถูกกระตุ้นให้แสดงอาการอีกครั้ง ( เรียกว่า reactivation )
เช่นเมื่อร่างกายอ่อนแอลง
แต่ก็ยังมีภูมิบางส่วนที่คอยควบคุม
ทำให้โรคหรือตุ่มที่จะขึ้นไม่ได้ขึ้นมากทั่วร่างกายเหมือนการติดเชื้อครั้งแรกที่ขึ้นจำนวนมากทั่วตัวจนเป็นอีสุกอีใส
ก็จะมีตุ่มขึ้นแค่บางส่วน
ถ้าเป็นสมัยก่อนที่จะมีวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสมาใช้
การเป็นงูสวัดจะเกิดจากการมี reactivation ของ VZV
ดังนั้นต้องมีการติดเชื้อ VZV ก่อน ซึ่งก็คือติดเชื้อแล้วเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
แต่ที่บางรายอาจไม่มีประวัติการเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็เพราะการติดเชื้อครั้งแรกมีอาการน้อยจนไม่ทราบว่าเป็น
หรือติดเชื้อเป็นอีสุกอีใสตั้งแต่อายุน้อยๆแล้วจำไม่ได้ว่าเคยเป็น
หรือติดเชื้อครั้งแรกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเลยเลยไม่รู้ว่าเคยเป็น
การจะเป็นงูสวัดจึงต้องผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปเนื่องจากมีการผลิตและใช้วัคซีนป้องกันอีสุกอีใสขึ้นมา
ทำให้เกิดงูสวัดได้จากการได้รับวัคซีนซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิต
แต่ทำให้อ่อนกำลังลงจนไม่ก่อโรค
ร่างกายจึงเหมือนเคยได้รับเชื้ออีสุกอีใสโดยที่ไม่ต้องผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็ได้
แม้ว่าการเกิดงูสวัดหลังจากฉีดวัคซีนถือว่าเป็นสิ่งที่พบได้ไม่บ่อยนัก
แต่เนื่องจากจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนมีมาก
เราจึงพบกรณีการเป็นงูสวัดหลังการได้รับวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสได้เรื่อยๆไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ข้อมูลระยะแรกๆมีการประมาณว่าเกิดงูสวัดหลังฉีดวัคซีนประมาณ 0.18 เคสต่อการให้วัคซีน 1,000 คนต่อปี
การศึกษาในระยะต่อมาพบว่าการเกิดงูสวัดที่เกิดตามหลังการได้วัคซีนพบได้น้อยกว่าการติดเชื้อตามธรรมชาติประมาณ 4-12 เท่า
มีการศึกษาขนาดใหญ่ใน US การศึกษาหนึ่งพบว่า
เกิดงูสวัดในเด็กที่ได้รับวัคซีนประมาณ 48 คนต่อเด็กที่ได้รับวัคซีน 1 แสนคน ต่อปี
เทียบกับงูสวัดในเด็กที่เกิดตามหลังการติดเชื้ออีสุกอีใสตามธรรมชาติจะมีประมาณ 230 คนต่อ 1 แสนคน ต่อปี
ถ้าเอาเด็กที่เป็นงูสวัดที่เกิดตามหลังการได้รับวัคซีนมาดูว่าเกิดจากไวรัสแบบไหน
พบว่าเด็กที่เป็นงูสวัดหลังได้รับวัคซีนก็ไม่ได้เกิดจากไวรัสที่เป็น vaccine-strain VZV เสียทั้งหมด
คือเป็น vaccine-strain VZV ราว 50-85 % ส่วนที่เหลือเป็น wild-type VZV
ตรงนี้บ่งบอกว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนบางส่วนก็ไปรับเชื้อ wild-type VZV แล้วเกิดงูสวัดตามมาก็ได้ แต่เป็นส่วนน้อยกว่า
ส่วนที่มากกว่าก็คือเป็น reactivation ของ vaccine-strain VZV เองเลย
แต่ยังถือว่าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ reactivation ของ wild-type VZV แล้วเกิดเป็นงูสวัดในเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน
ถ้าอ่านยาวไปแล้วงง
สรุปคือ
งูสวัดเกิดจากการกระตุ้นเชื้ออีสุกอีใสที่มีอยู่แล้วในร่างกายให้แสดงอาการของโรคอีกครั้ง
การมาของวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
สามารถทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ได้รับเชื้ออีสุกอีใสได้โดยไม่ต้องเป็นโรคอีสุกอีใสได้เหมือนการติดเชื้ออีสุกอีใสโดยธรรมชาติ
เราจึงสามารถเป็นงูสวัดได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการเป็นอีสุกอีใสมาก่อนได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
จริงมั้ยครับที่คนไม่เคยเป็นอีสุกอีใสก็จะไม่มีโอกาสเป็นงูสวัด