เห็นข่าว...บริษัทไนท์ แฟรงค์ ประเทศไทย..ผู้ให้บริการด้านข้อมูลราคาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก...ออกบทวิเคราะห์ ราคาที่ดินย่านถนนบางนา-ตราด...ว่าต่อจากนี้ 3 ปี ที่ดินบริเวณนี้จะปรับราคาขึ้นปีละ 7-10%.. คือที่ดินที่ติดถนน ตารางวาละ4 แสนบาท...ถัดออกไปอีกนิดก็ตารางวาละ 2-3 แสนบาท ที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยหน่อย ก็ตารางวาละ 5-6 หมื่นบาท....ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยหนุนจากโครงการลงทุนของรัฐและเอกชนเกิดขึ้น 6-7 โครงการใหญ่ๆ...
!!โอ้โหราคาวิ่งแรงกว่าทองคำอีก...นึกในใจใครมีที่ดินตรงนั้นรวยไม่รู้เรื่องเลย...และทันทีทันใดนั้นก็ให้ฉุกคิดถึงกรณีที่...ธนาคารกรุงไทย และเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี...เร่งขายที่ดินกว่า 4 พันไร่ซึ่งเป็นทรัพย์ค้ำประกันของ บริษัท กฤษดามหานคร...ในราคาต่ำเพียงวาละ 5,000 บาท....ทำไมขายถูกขนาดนี้?????
ในการเปิดประมูล...บริษัททีเออาร์ แลนด์ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม “เจ้าสัวเจริญสิริวัฒนภักดี” และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ เป็นผู้ชนะประมูลไปในราคา 8,914 ล้านบาท....แต่กระบวนการยังเสร็จสิ้น..เพราะเกิดข้อครหาตามมามากมาย...หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเลยยังไม่กล้าลงนามเซ็นสัญญาซื้อขาย...เพราะเกรงว่า...กรรมจะไล่ล่า....
และล่าสุดนายวิชัย กฤษดาธานนท์ จำเลยตามคำพิพากษาที่ยังคงถูกจองจำอยู่ในเรือนจำและกลุ่มบริษัท ครอบครัวกฤษดาธานนท์ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียที่ต้องร่วมชดใช้มูลละเมิด นับ 10,000 ล้าน ตามคำพิพากษาได้ออกโรงคัดค้านการขายทอดตลาดครั้งนี้อย่างหนัก โดยระบุว่ามีราคาถูกจนผิดสังเกต และเป็นการขายหลักประกันหนี้โดยมิชอบ!
ที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินแปลงใหญ่ผืนสุดท้ายที่ตั้งอยู่ในโซนสีม่วงใกล้ สนามบินสุวรรณภูมิ และยังเป็นประตูสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่กลับมีการตั้งราคาขายเอาไว้แค่ตารางวาละแค่ 5,000 บาทเท่านั้น... ต่ำกว่าราคาประเมินเมื่อครั้งที่กลุ่มกฤษดามหานครนำไปค้ำประกันเงินกู้กรุงไทยในปี 2543-44 ที่มีการประเมินไว้ไม่ต่ำกว่าวาละ 12,000 บาทหรือไร่ละกว่า 4.8 ล้านบาทหรือต่ำกว่าในอดีตเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนถึงวาละ 9,000 บาท...อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการขายในราคาที่ทำให้ลูกหนี้เสียสิทธิ์และถูกรอนสิทธิ์…
!! เป็นไปได้อย่างไรที่ที่ดินผืนใหญ่ในทำเลทอง ซึ่งเป็นที่หมายปองของนักลงทุน นักพัฒนาที่ดินและบรรดาแลนด์ลอร์ดทั้งหลาย แต่กลับมีการตั้งราคาประเมินกันไว้แค่วาละ 3,000-4,000 บาทตกไร่ละไม่ถึง 2 ล้านบาท...ถูกกว่าที่ตาบอดหลังเขาในต่างจังหวัดเสียอีก....
แต่เมื่อคณะกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ กรมที่ดินประเมินราคาที่ดินประกอบการขายทอดตลาดไว้แค่ ตร.วาละ 3,000-4,000 บาทและกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลขายทอดตลาดในราคาเพียง ตร.วาละ 5,000 บาท โดยตั้งราคาประมูลตั้งต้นไว้รวม 8,914 ล้านบาท.....แทนที่ธนาคารกรุงไทยในฐานะเจ้าหนี้จะดำเนินการทักท้วงการประเมินราคาหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้ที่ต่ำติดดินจนอาจทำให้แบงก์เสียประโยชน์ ก็กลับเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิ์คัดค้านหรือทักท้วงใดๆ...แถมยังดันไปรับรองความถูกต้องและเห็นชอบกับราคาประเมินดังกล่าวทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าอาจเป็นเหตุให้ธนาคารได้รับความเสียหายจากส่วนต่างของเงิน ที่จะได้รับจากการประมูลนับหมื่นล้านบาท...ในส่วนของภาครัฐเองก็ได้รับความเสียหายจากการขาดรายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ไปอีกนับ 1,000 ล้านบาทด้วย ถือเป็นความเสียหายที่ประเทศชาติได้รับโดยตรง...เจ้าหน้าที่ของรัฐทำไมไม่ลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ....?????
ไม่เพียงเท่านั้น...ยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าการประมูลขายทอดตลาดที่ดินทั้ง 215 แปลง เนื้อที่กว่า 4,400 ไร่ครั้งนี้ยังพบพิรุธ เป็นการจงใจนำเอาที่ดินของลูกหนี้ 3 รายของแบงก์กรุงไทยที่มีคดีฟ้องร้องอยู่ต่างศาลมา “มัดตราสัง” รวมกันออกขายในครั้งเดียว...คำถามคือ...ว่าแบงก์กรุงไทยและสำนักงานบังคับคดีเอาอำนาจอะไรมายึดที่ดินของลูกหนี้ออกขายทอดตลาดไปพร้อมกัน....ทั้งที่แต่ละแปลงยังคงมีคดีความคาราคาซังกันอยู่หลายศาล...
เอาเถอะ....แม้ว่าการดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินหลักประกันแปลงดังกล่าว ทั้งแบงก์กรุงไทยและกรมบังคับคดีจะอ้างว่าจะดำเนินการภายใต้ “เกราะกำบังของศาล” แต่เชื่อแน่ว่า หากในอนาคตมีการรื้อฟื้นกรณีขายหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้ก้อนนี้ขึ้นมา...และพบว่ามีกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใครบางคน และพิสูจน์ได้ว่า เป็นการลิดรอนสิทธิ์ของลูกหนี้โดยไม่เป็นธรรม...ผู้บริหารแบงก์กรุงไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง...คงไม่อาจรอดพ้นความรับผิดชอบไปได้อย่างแน่นอน!!!
ที่มา :
https://www.naewna.com/business/columnist/37782
ผู้บริหารแบงก์กรุงไทยและเจ้าหน้าที่รัฐ...มีหนาวแน่... ระวังกรรมจะไล่ล่า...โทษฐานทำชาติเสียประโยชน์
!!โอ้โหราคาวิ่งแรงกว่าทองคำอีก...นึกในใจใครมีที่ดินตรงนั้นรวยไม่รู้เรื่องเลย...และทันทีทันใดนั้นก็ให้ฉุกคิดถึงกรณีที่...ธนาคารกรุงไทย และเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี...เร่งขายที่ดินกว่า 4 พันไร่ซึ่งเป็นทรัพย์ค้ำประกันของ บริษัท กฤษดามหานคร...ในราคาต่ำเพียงวาละ 5,000 บาท....ทำไมขายถูกขนาดนี้?????
ในการเปิดประมูล...บริษัททีเออาร์ แลนด์ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม “เจ้าสัวเจริญสิริวัฒนภักดี” และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ เป็นผู้ชนะประมูลไปในราคา 8,914 ล้านบาท....แต่กระบวนการยังเสร็จสิ้น..เพราะเกิดข้อครหาตามมามากมาย...หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเลยยังไม่กล้าลงนามเซ็นสัญญาซื้อขาย...เพราะเกรงว่า...กรรมจะไล่ล่า....
และล่าสุดนายวิชัย กฤษดาธานนท์ จำเลยตามคำพิพากษาที่ยังคงถูกจองจำอยู่ในเรือนจำและกลุ่มบริษัท ครอบครัวกฤษดาธานนท์ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียที่ต้องร่วมชดใช้มูลละเมิด นับ 10,000 ล้าน ตามคำพิพากษาได้ออกโรงคัดค้านการขายทอดตลาดครั้งนี้อย่างหนัก โดยระบุว่ามีราคาถูกจนผิดสังเกต และเป็นการขายหลักประกันหนี้โดยมิชอบ!
ที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินแปลงใหญ่ผืนสุดท้ายที่ตั้งอยู่ในโซนสีม่วงใกล้ สนามบินสุวรรณภูมิ และยังเป็นประตูสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่กลับมีการตั้งราคาขายเอาไว้แค่ตารางวาละแค่ 5,000 บาทเท่านั้น... ต่ำกว่าราคาประเมินเมื่อครั้งที่กลุ่มกฤษดามหานครนำไปค้ำประกันเงินกู้กรุงไทยในปี 2543-44 ที่มีการประเมินไว้ไม่ต่ำกว่าวาละ 12,000 บาทหรือไร่ละกว่า 4.8 ล้านบาทหรือต่ำกว่าในอดีตเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนถึงวาละ 9,000 บาท...อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการขายในราคาที่ทำให้ลูกหนี้เสียสิทธิ์และถูกรอนสิทธิ์…
!! เป็นไปได้อย่างไรที่ที่ดินผืนใหญ่ในทำเลทอง ซึ่งเป็นที่หมายปองของนักลงทุน นักพัฒนาที่ดินและบรรดาแลนด์ลอร์ดทั้งหลาย แต่กลับมีการตั้งราคาประเมินกันไว้แค่วาละ 3,000-4,000 บาทตกไร่ละไม่ถึง 2 ล้านบาท...ถูกกว่าที่ตาบอดหลังเขาในต่างจังหวัดเสียอีก....
แต่เมื่อคณะกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ กรมที่ดินประเมินราคาที่ดินประกอบการขายทอดตลาดไว้แค่ ตร.วาละ 3,000-4,000 บาทและกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลขายทอดตลาดในราคาเพียง ตร.วาละ 5,000 บาท โดยตั้งราคาประมูลตั้งต้นไว้รวม 8,914 ล้านบาท.....แทนที่ธนาคารกรุงไทยในฐานะเจ้าหนี้จะดำเนินการทักท้วงการประเมินราคาหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้ที่ต่ำติดดินจนอาจทำให้แบงก์เสียประโยชน์ ก็กลับเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิ์คัดค้านหรือทักท้วงใดๆ...แถมยังดันไปรับรองความถูกต้องและเห็นชอบกับราคาประเมินดังกล่าวทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าอาจเป็นเหตุให้ธนาคารได้รับความเสียหายจากส่วนต่างของเงิน ที่จะได้รับจากการประมูลนับหมื่นล้านบาท...ในส่วนของภาครัฐเองก็ได้รับความเสียหายจากการขาดรายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ไปอีกนับ 1,000 ล้านบาทด้วย ถือเป็นความเสียหายที่ประเทศชาติได้รับโดยตรง...เจ้าหน้าที่ของรัฐทำไมไม่ลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ....?????
ไม่เพียงเท่านั้น...ยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าการประมูลขายทอดตลาดที่ดินทั้ง 215 แปลง เนื้อที่กว่า 4,400 ไร่ครั้งนี้ยังพบพิรุธ เป็นการจงใจนำเอาที่ดินของลูกหนี้ 3 รายของแบงก์กรุงไทยที่มีคดีฟ้องร้องอยู่ต่างศาลมา “มัดตราสัง” รวมกันออกขายในครั้งเดียว...คำถามคือ...ว่าแบงก์กรุงไทยและสำนักงานบังคับคดีเอาอำนาจอะไรมายึดที่ดินของลูกหนี้ออกขายทอดตลาดไปพร้อมกัน....ทั้งที่แต่ละแปลงยังคงมีคดีความคาราคาซังกันอยู่หลายศาล...
เอาเถอะ....แม้ว่าการดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินหลักประกันแปลงดังกล่าว ทั้งแบงก์กรุงไทยและกรมบังคับคดีจะอ้างว่าจะดำเนินการภายใต้ “เกราะกำบังของศาล” แต่เชื่อแน่ว่า หากในอนาคตมีการรื้อฟื้นกรณีขายหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้ก้อนนี้ขึ้นมา...และพบว่ามีกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใครบางคน และพิสูจน์ได้ว่า เป็นการลิดรอนสิทธิ์ของลูกหนี้โดยไม่เป็นธรรม...ผู้บริหารแบงก์กรุงไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง...คงไม่อาจรอดพ้นความรับผิดชอบไปได้อย่างแน่นอน!!!
ที่มา : https://www.naewna.com/business/columnist/37782