ห่างหายไปนานกับการร่วมรำลึกศิลปินและผลงานเพลงจากค่ายเพลงในอดีตที่เราท่านคุ้นเคยอย่าง "คีตา เรคคอร์ด" ในมุมมองของผู้เขียน
ภายหลังการเกิดคอนเสิร์ตรวมศิลปินแบบยกค่ายเมื่อต้นปี 2550 บรรดาสาวกทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ก็ยังคงสนุกไปกับเสียงเพลงที่เคยผ่านค่ายเพลงแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าศิลปินนักร้องหลายท่านได้มีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตทั้งงานเล็ก งานใหญ่ งานกุศล ก็ไม่ได้ทำให้ความทรงจำของคอเพลงต้องกลืนหายไป
จากก้าวแรกที่เป็นแค่ค่ายเพลงเล็ก ๆ สู่ความเติบใหญ่อย่างมีศักดิ์ศรี อัลบั้มหลายต่อหลายชุดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ในเมื่อเรามีความสุข ก็ย่อมมีสิ่งที่แคลงใจเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเป็นธรรมดา ทั้งการย้ายออฟฟิศ หรือจะเป็นการลาออกของคีย์แมนคนสำคัญ
หากความจำของแฟนเพลงยังดีอยู่ ในช่วงต้นปี 2535 เกิดข่าวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทคีตาฯ เมื่อนักคิดนักเขียนเพลงชื่อดัง "ประภาส ชลศรานนท์" พร้อมด้วยคนงานจำนวนหนึ่ง อาทิ ฉัตรชัย ดุริยประณีต, สุรชัย บุญแต่ง, ระวี กังสนารักษ์ ขอลาออกไปร่วมก่อตั้งบริษัท "มูเซอร์" เพื่อรับผลิตผลงานเพลงทุกรูปแบบ และกลายเป็นค่ายเพลงในเครือ ดี-เดย์ ในภายหลัง
ส่วนบริษัท "เวิร์คพอยท์" ที่บริหารงานโดย "ปัญญา นิรันดร์กุล" ไม่ขอเป็นหุ้นส่วนกับคีตาเพื่อมุ่งหน้าบริหารงานด้านรายการโทรทัศน์อย่างเต็มที่ ทำให้คีตาขาดเสาหลักกลุ่มนี้ชนิดที่แฟนเพลงไม่ทันตั้งตัว
คีตาจึงเหลือเพียง "สมพงษ์ วิศิษฐ์วาณิชย์" กับ "ภูษิต ไล้ทอง" ที่ยังคงเดินหน้าบริหารคีตาต่อไป พร้อมด้วยคนงานทั้งเก่าและใหม่ จนในช่วงปลายปีเดียวกันก็เปิดบริษัทใหม่ในเครือเพื่อรับผลิตรายการทางโทรทัศน์โดยเฉพาะ จึงเกิด "ทีวีธันเดอร์" เฉกเช่นทุกวันนี้
ดังนั้น นับตั้งแต่ต้นปี "คีตา" ได้ทยอยสร้างสรรค์และเปิดตัวผลงานเพลงชุดใหม่อย่างไม่หยุดนิ่ง เริ่มจากผลงานชุดที่ 2 ของคณะ "มะลิลา บราซิลเลี่ยน" ในชื่อชุด "ไม่อ้วนเอาเท่าไร" ที่ได้กระแสตอบรับพอสมควร ตามด้วยการกลับมาในลีลาใหม่ของ "แซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี" ที่สวมวิญญาณ "มนุษย์หมาป่า" ได้อย่างครื้นเครง ซึ่งผลงานทั้ง 2 ชุดถือเป็นผลงานทิ้งทวนของทีมงานมูเซอร์ที่คอเพลงคุ้นหูจากงานเพลงชุดก่อน ๆ อย่าง เสือ หรือ เจ้าภาพจงเจริญ
คีตาในยุคใหม่จึงประเดิมด้วยนักร้องสาวเจ้าของวลี "สู้ตายค่ะ" กับตำนานล้านตลับอย่าง "อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์" ในชุดที่ 2 "อารมณ์เนี้ยะ" ที่พาบทเพลงเด่น ๆ อย่าง ลาก่อน, กว้างมากไป, แม่บอก ออกสู่ความนิยม เป็นการเก็บเกี่ยวความสำเร็จอีกครั้งของเธอคนนี้ ถึงจะไม่ฮือฮาเท่างานชุดแรกก็ตาม
ผลงานถัดมาเป็นการกลับมาของสามหนุ่มที่คุณคุ้นเคย นั่นคือ "สามโทน" กับซีรีส์อัลบั้ม "สามโทน สามใจ" ซึ่งเป็นการหยิบงานเพลงยอดนิยมของศิลปินท่านอื่นมาทำดนตรีใหม่ในสไตล์ของนักร้องแต่ละคน แต่ละม้วน แถมด้วยเพลงใหม่พิเศษที่บรรจุไว้ทั้ง 3 ชุด พร้อมแผนการโปรโมทที่แยบยลด้วยการหยั่งเสียงของแฟนเพลงว่าจะเลือก(ฟัง)ใครดี?
ส่วนนักร้องมาดขี้เหงาเมื่อปีกลาย "นีโน่-เมทนี บุรณศิริ" กลับมาออกเพลงใหม่ตามเสียงเรียกร้องภายหลังการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ อัลบั้ม "นีโน่ คัมแบ็ค" จึงเกิดขึ้นซึ่งมีเพลงฮิตติดลมบนอย่าง "แม่เจ้าประคุณทูนหัว" และ "ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น"
ปีนี้ คีตาได้สร้างศิลปินหน้าใหม่ประดังเข้ามาที่นี่กันอย่างมากมาย หลากหลายรสชาติ ทั้งการเปิดตัว "โก้-นฤเบศร์ จินปิ่นเพชร" กับงานเพลงแนวป๊อปแดนซ์กึ่งร็อกชุด "จิ๊กโก้" ที่มีเพลงเด่นอย่าง "ต้ม-ยำ-ทำ-แกง", "เอา-เลย-มั้ย" และ "หมด-ใจ"
สี่หนุ่มเลือดใหม่ขาแดนซ์ "ยูโฟร์" อันประกอบด้วย "ซันนี่-เคน-นิค-เบียร์" กับงานเพลง "ปลื้มอกปลื้มใจ" และ "สักวันหนึ่ง"
ทายาทดารานักพากย์อย่าง "ยุ้ย-ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี" มากับแนวใส ๆ ปนเซอร์ ๆ ร้องเพลง "รู้แล้วจะหนาว" จนได้รับความนิยมอีกระดับหนึ่ง
"หนุ่มเบิร์ธ-กิติกร เพ็ญโรจน์" ที่ปัจจุบันผันตัวเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับอาหาร ก็เคยออกเทปร้องเพลงตามที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม ในอัลบั้ม "เบิร์ธ ผู้ชายที่ไม่ธรรมดา" ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดแรกและชุดเดียวในวงการเพลงของเขา มีเพลง "ทางฝัน" และ "ไม่จำนนใจ" เป็นเพลงแนะนำ
เช่นเดียวกับวงดนตรีสายเฮฟวี่ "ยังบลัด" มากับอัลบั้มชุดเดียวที่มีชื่อว่า "กองทัพใหม่" พอเป็นที่รู้จักของคอเพลงร็อกรุ่นเก๋าอยู่บ้าง
ช่วงส่งท้ายปี วงการเพลงกลับมาคึกคักถึงขีดสุดสำหรับการรอคอยศิลปินแถวหน้าของค่าย ทั้ง "แสงระวี อัศวรักษ์" กับอัลบั้ม "พยัคฆ์สาวแสงระวี" ที่เพิ่มดีกรีความเซ็กซี่มากขึ้น โดยเฉพาะการแต่งกายที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทว่าในงานชุดนี้มีการพัฒนาทางด้านน้ำเสียงการร้องของเธอได้ดีและชัดขึ้นกว่าเดิม แต่ภายหลังจากการแนะนำงานเพลงชุดนี้ เธอก็อำลาวงการบันเทิงอย่างถาวร
และพระเอกนักร้องตลอดกาล ว่าที่ผู้กำกับหนัง 500 ล้าน..."อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" กับอัลบั้มชุดที่ 4 โดยใช้ชื่อว่า "พงษ์พัฒน์ ภาค 3" ซึ่งถือเป็นการกลับสู่เหย้าด้วยสไตล์ร็อกแบบเบา ๆ ฟังสบาย ๆ เพราะได้นักดนตรีคนคุ้นเคยอย่าง เดชา อินทาภิรัต มารับหน้าที่โปรดิวซ์ ใส่เสียงกีตาร์ แต่งเพลง และทำดนตรีเกือบทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ขาร็อกและแฟนคลับของพี่อ๊อฟเป็นต้องผิดหวังไปข้ามปีเลย
ชอบชุดไหน มาคุยกัน สวัสดี.
ย้อนอดีต "คีตา" ปี'35...ยุคขาดเสาหลัก แต่ไม่ขาดรสชาติดนตรี
ภายหลังการเกิดคอนเสิร์ตรวมศิลปินแบบยกค่ายเมื่อต้นปี 2550 บรรดาสาวกทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ก็ยังคงสนุกไปกับเสียงเพลงที่เคยผ่านค่ายเพลงแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าศิลปินนักร้องหลายท่านได้มีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตทั้งงานเล็ก งานใหญ่ งานกุศล ก็ไม่ได้ทำให้ความทรงจำของคอเพลงต้องกลืนหายไป
จากก้าวแรกที่เป็นแค่ค่ายเพลงเล็ก ๆ สู่ความเติบใหญ่อย่างมีศักดิ์ศรี อัลบั้มหลายต่อหลายชุดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ในเมื่อเรามีความสุข ก็ย่อมมีสิ่งที่แคลงใจเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเป็นธรรมดา ทั้งการย้ายออฟฟิศ หรือจะเป็นการลาออกของคีย์แมนคนสำคัญ
หากความจำของแฟนเพลงยังดีอยู่ ในช่วงต้นปี 2535 เกิดข่าวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทคีตาฯ เมื่อนักคิดนักเขียนเพลงชื่อดัง "ประภาส ชลศรานนท์" พร้อมด้วยคนงานจำนวนหนึ่ง อาทิ ฉัตรชัย ดุริยประณีต, สุรชัย บุญแต่ง, ระวี กังสนารักษ์ ขอลาออกไปร่วมก่อตั้งบริษัท "มูเซอร์" เพื่อรับผลิตผลงานเพลงทุกรูปแบบ และกลายเป็นค่ายเพลงในเครือ ดี-เดย์ ในภายหลัง
ส่วนบริษัท "เวิร์คพอยท์" ที่บริหารงานโดย "ปัญญา นิรันดร์กุล" ไม่ขอเป็นหุ้นส่วนกับคีตาเพื่อมุ่งหน้าบริหารงานด้านรายการโทรทัศน์อย่างเต็มที่ ทำให้คีตาขาดเสาหลักกลุ่มนี้ชนิดที่แฟนเพลงไม่ทันตั้งตัว
คีตาจึงเหลือเพียง "สมพงษ์ วิศิษฐ์วาณิชย์" กับ "ภูษิต ไล้ทอง" ที่ยังคงเดินหน้าบริหารคีตาต่อไป พร้อมด้วยคนงานทั้งเก่าและใหม่ จนในช่วงปลายปีเดียวกันก็เปิดบริษัทใหม่ในเครือเพื่อรับผลิตรายการทางโทรทัศน์โดยเฉพาะ จึงเกิด "ทีวีธันเดอร์" เฉกเช่นทุกวันนี้
ดังนั้น นับตั้งแต่ต้นปี "คีตา" ได้ทยอยสร้างสรรค์และเปิดตัวผลงานเพลงชุดใหม่อย่างไม่หยุดนิ่ง เริ่มจากผลงานชุดที่ 2 ของคณะ "มะลิลา บราซิลเลี่ยน" ในชื่อชุด "ไม่อ้วนเอาเท่าไร" ที่ได้กระแสตอบรับพอสมควร ตามด้วยการกลับมาในลีลาใหม่ของ "แซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี" ที่สวมวิญญาณ "มนุษย์หมาป่า" ได้อย่างครื้นเครง ซึ่งผลงานทั้ง 2 ชุดถือเป็นผลงานทิ้งทวนของทีมงานมูเซอร์ที่คอเพลงคุ้นหูจากงานเพลงชุดก่อน ๆ อย่าง เสือ หรือ เจ้าภาพจงเจริญ
คีตาในยุคใหม่จึงประเดิมด้วยนักร้องสาวเจ้าของวลี "สู้ตายค่ะ" กับตำนานล้านตลับอย่าง "อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์" ในชุดที่ 2 "อารมณ์เนี้ยะ" ที่พาบทเพลงเด่น ๆ อย่าง ลาก่อน, กว้างมากไป, แม่บอก ออกสู่ความนิยม เป็นการเก็บเกี่ยวความสำเร็จอีกครั้งของเธอคนนี้ ถึงจะไม่ฮือฮาเท่างานชุดแรกก็ตาม
ผลงานถัดมาเป็นการกลับมาของสามหนุ่มที่คุณคุ้นเคย นั่นคือ "สามโทน" กับซีรีส์อัลบั้ม "สามโทน สามใจ" ซึ่งเป็นการหยิบงานเพลงยอดนิยมของศิลปินท่านอื่นมาทำดนตรีใหม่ในสไตล์ของนักร้องแต่ละคน แต่ละม้วน แถมด้วยเพลงใหม่พิเศษที่บรรจุไว้ทั้ง 3 ชุด พร้อมแผนการโปรโมทที่แยบยลด้วยการหยั่งเสียงของแฟนเพลงว่าจะเลือก(ฟัง)ใครดี?
ส่วนนักร้องมาดขี้เหงาเมื่อปีกลาย "นีโน่-เมทนี บุรณศิริ" กลับมาออกเพลงใหม่ตามเสียงเรียกร้องภายหลังการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ อัลบั้ม "นีโน่ คัมแบ็ค" จึงเกิดขึ้นซึ่งมีเพลงฮิตติดลมบนอย่าง "แม่เจ้าประคุณทูนหัว" และ "ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น"
ปีนี้ คีตาได้สร้างศิลปินหน้าใหม่ประดังเข้ามาที่นี่กันอย่างมากมาย หลากหลายรสชาติ ทั้งการเปิดตัว "โก้-นฤเบศร์ จินปิ่นเพชร" กับงานเพลงแนวป๊อปแดนซ์กึ่งร็อกชุด "จิ๊กโก้" ที่มีเพลงเด่นอย่าง "ต้ม-ยำ-ทำ-แกง", "เอา-เลย-มั้ย" และ "หมด-ใจ"
สี่หนุ่มเลือดใหม่ขาแดนซ์ "ยูโฟร์" อันประกอบด้วย "ซันนี่-เคน-นิค-เบียร์" กับงานเพลง "ปลื้มอกปลื้มใจ" และ "สักวันหนึ่ง"
ทายาทดารานักพากย์อย่าง "ยุ้ย-ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี" มากับแนวใส ๆ ปนเซอร์ ๆ ร้องเพลง "รู้แล้วจะหนาว" จนได้รับความนิยมอีกระดับหนึ่ง
"หนุ่มเบิร์ธ-กิติกร เพ็ญโรจน์" ที่ปัจจุบันผันตัวเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับอาหาร ก็เคยออกเทปร้องเพลงตามที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม ในอัลบั้ม "เบิร์ธ ผู้ชายที่ไม่ธรรมดา" ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดแรกและชุดเดียวในวงการเพลงของเขา มีเพลง "ทางฝัน" และ "ไม่จำนนใจ" เป็นเพลงแนะนำ
เช่นเดียวกับวงดนตรีสายเฮฟวี่ "ยังบลัด" มากับอัลบั้มชุดเดียวที่มีชื่อว่า "กองทัพใหม่" พอเป็นที่รู้จักของคอเพลงร็อกรุ่นเก๋าอยู่บ้าง
ช่วงส่งท้ายปี วงการเพลงกลับมาคึกคักถึงขีดสุดสำหรับการรอคอยศิลปินแถวหน้าของค่าย ทั้ง "แสงระวี อัศวรักษ์" กับอัลบั้ม "พยัคฆ์สาวแสงระวี" ที่เพิ่มดีกรีความเซ็กซี่มากขึ้น โดยเฉพาะการแต่งกายที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทว่าในงานชุดนี้มีการพัฒนาทางด้านน้ำเสียงการร้องของเธอได้ดีและชัดขึ้นกว่าเดิม แต่ภายหลังจากการแนะนำงานเพลงชุดนี้ เธอก็อำลาวงการบันเทิงอย่างถาวร
และพระเอกนักร้องตลอดกาล ว่าที่ผู้กำกับหนัง 500 ล้าน..."อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" กับอัลบั้มชุดที่ 4 โดยใช้ชื่อว่า "พงษ์พัฒน์ ภาค 3" ซึ่งถือเป็นการกลับสู่เหย้าด้วยสไตล์ร็อกแบบเบา ๆ ฟังสบาย ๆ เพราะได้นักดนตรีคนคุ้นเคยอย่าง เดชา อินทาภิรัต มารับหน้าที่โปรดิวซ์ ใส่เสียงกีตาร์ แต่งเพลง และทำดนตรีเกือบทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ขาร็อกและแฟนคลับของพี่อ๊อฟเป็นต้องผิดหวังไปข้ามปีเลย