มุกเดิม ลากตลาดด้วยข่าว และตบตลาดด้วยข่าวเดิมๆ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเป็นวันแรกในรอบสี่วันเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ รวมทั้งการที่นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง และค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ภายหลังเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีน ก่อนที่ในเวลาต่อมาไม่นาน ปธน.ได้เผยว่า เขาคิดว่า สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,270.83 จุด ลดลง 109.91 จุด หรือ -0.43% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,723.06 จุด ลดลง 17.31 จุด หรือ -0.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,356.99 จุด ลดลง 77.06 จุด หรือ -1.04%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P ปรับตัวขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.7%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดแดนบวกในการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ แต่พลิกเคลื่อนไหวแดนลบในเวลาต่อมา โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ โดยราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ทรุดตัวลงกว่า 6% หลังจากที่ทางบริษัทเปิดเผยยอดขาย iPhone ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายหุ้นแอปเปิล หลังจากที่บริษัทประกาศปรับการรายงานผลประกอบการ โดยจะยกเลิกการรายงานยอดขายของ iPhone, iPad และ Mac โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสถัดไป ซึ่งสร้างความประหลาดใจต่อนักลงทุน
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่แอปเปิลประกาศเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรายงานผลประกอบการดังกล่าว เป็นการแสดงว่าบริษัทอาจต้องการปกปิดบางสิ่งบางอย่าง ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของบริษัท โดยระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แอปเปิลเปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าคาดประจำเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยระบุว่า บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 6.29 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.258 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.146 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.91 ดอลลาร์/หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.07 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า กำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 2.78 ดอลลาร์/หุ้น
แอปเปิลระบุว่า บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงินบริษัท ที่ระดับ 46.9 ล้านเครื่อง และมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ระดับ 3.72 หมื่นล้านดอลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขาย iPhone จะอยู่ที่ระดับ 47 ล้านเครื่อง และรายได้จากการขาย iPhone จะอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ แอปเปิลยังได้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2562 ของบริษัทในช่วง 8.9-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.29 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันหลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด โดยดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด ทันทีที่นายคุดโลว์ออกมาให้ข่าวดังกล่าว
คำกล่าวของนายคุดโลว์มีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 3 รายในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายคุดโลว์ออกมาโต้รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก ปธน.ทรัมป์ก็ได้เผยว่า การพูดคุยกับผู้นำจีนนั้นมีความคืบหน้า และเขาคิดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ ซึ่งคำกล่าวของผู้นำสหรัฐได้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดช่วงลบลงไปได้เป็นอย่างมาก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ และข้อมูลนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งความวิตกนี้ก็ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์
นอกจากข้อมูลการจ้างงานแล้ว วานนี้ยังได้มีการเปิดเผยตัวเลขดุลการค้าเดือนก.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย. ด้วยเช่นกัน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 5.40 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากแตะระดับ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.70 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 8.63 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
สำหรับการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.126 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.666 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รายงานระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 4.3% สู่ระดับ 4.02 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปี สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนคิดเป็นวงเงิน 3.014 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากพุ่งขึ้น 2.6% ในเดือนส.ค.
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน ลดลง 0.1% ในเดือนก.ย. หลังจากที่ลดลง 0.2% ในเดือนส.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลร่วง 6.6%
หุ้นสตาร์บัคส์ พุ่งกว่า 9% หลังบริษัทเผยยอดขายเติบโตแข็งแกร่ง
หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ร่วงกว่า 9% หลังบริษัทเผยกำไรไตรมาสสามที่ผิดไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
หุ้นไซแมนเทค พุ่ง 4% หลังบริษัทเผยตัวเลขขาดทุนน้อยกว่าคาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 109.91 จุด หุ้นแอปเปิลดิ่ง,วิตกเฟดขึ้นดบ. ขณะจับตาข้อพิพาทการค้ากับจีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเป็นวันแรกในรอบสี่วันเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ รวมทั้งการที่นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง และค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ภายหลังเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีน ก่อนที่ในเวลาต่อมาไม่นาน ปธน.ได้เผยว่า เขาคิดว่า สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,270.83 จุด ลดลง 109.91 จุด หรือ -0.43% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,723.06 จุด ลดลง 17.31 จุด หรือ -0.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,356.99 จุด ลดลง 77.06 จุด หรือ -1.04%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P ปรับตัวขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.7%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดแดนบวกในการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ แต่พลิกเคลื่อนไหวแดนลบในเวลาต่อมา โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ โดยราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ทรุดตัวลงกว่า 6% หลังจากที่ทางบริษัทเปิดเผยยอดขาย iPhone ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายหุ้นแอปเปิล หลังจากที่บริษัทประกาศปรับการรายงานผลประกอบการ โดยจะยกเลิกการรายงานยอดขายของ iPhone, iPad และ Mac โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสถัดไป ซึ่งสร้างความประหลาดใจต่อนักลงทุน
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่แอปเปิลประกาศเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรายงานผลประกอบการดังกล่าว เป็นการแสดงว่าบริษัทอาจต้องการปกปิดบางสิ่งบางอย่าง ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของบริษัท โดยระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แอปเปิลเปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าคาดประจำเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยระบุว่า บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 6.29 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.258 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.146 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.91 ดอลลาร์/หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.07 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า กำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 2.78 ดอลลาร์/หุ้น
แอปเปิลระบุว่า บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงินบริษัท ที่ระดับ 46.9 ล้านเครื่อง และมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ระดับ 3.72 หมื่นล้านดอลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขาย iPhone จะอยู่ที่ระดับ 47 ล้านเครื่อง และรายได้จากการขาย iPhone จะอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ แอปเปิลยังได้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2562 ของบริษัทในช่วง 8.9-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.29 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันหลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด โดยดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด ทันทีที่นายคุดโลว์ออกมาให้ข่าวดังกล่าว
คำกล่าวของนายคุดโลว์มีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 3 รายในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายคุดโลว์ออกมาโต้รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก ปธน.ทรัมป์ก็ได้เผยว่า การพูดคุยกับผู้นำจีนนั้นมีความคืบหน้า และเขาคิดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ ซึ่งคำกล่าวของผู้นำสหรัฐได้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดช่วงลบลงไปได้เป็นอย่างมาก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ และข้อมูลนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งความวิตกนี้ก็ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์
นอกจากข้อมูลการจ้างงานแล้ว วานนี้ยังได้มีการเปิดเผยตัวเลขดุลการค้าเดือนก.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย. ด้วยเช่นกัน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 5.40 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากแตะระดับ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.70 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 8.63 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
สำหรับการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.126 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.666 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รายงานระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 4.3% สู่ระดับ 4.02 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปี สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนคิดเป็นวงเงิน 3.014 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากพุ่งขึ้น 2.6% ในเดือนส.ค.
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน ลดลง 0.1% ในเดือนก.ย. หลังจากที่ลดลง 0.2% ในเดือนส.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลร่วง 6.6%
หุ้นสตาร์บัคส์ พุ่งกว่า 9% หลังบริษัทเผยยอดขายเติบโตแข็งแกร่ง
หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ร่วงกว่า 9% หลังบริษัทเผยกำไรไตรมาสสามที่ผิดไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
หุ้นไซแมนเทค พุ่ง 4% หลังบริษัทเผยตัวเลขขาดทุนน้อยกว่าคาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช